ตารางIPA

September 15, 2017 | Author: Kawita Chuacheng | Category: N/A
Share Embed Donate


Short Description

Download ตารางIPA...

Description

ตารางIPA http://web.uvic.ca/ling/resources/ipa/charts/IPAlab/IPAlab.htm http://www.sil.org/mexico/ling/glosario/E005ei-VowelsChart.htm

http://www.oupchina.com.hk/dict/phonetic/home.html http://audio-class.ru/english-phonetics.html http://www.teachingenglish.org.uk/activities/phonemic-chart http://www.stuff.co.uk/calcul_nd.htm http://cambridgeenglishonline.com/Phonetics_Focus/ http://www.uiowa.edu/~acadtech/phonetics/english/frameset.html

font http://scripts.sil.org/cms/scripts/page.php?site_id=nrsi&item_id=SILFontList

ถ้ าเราจะนิยาม การพูดภาษาของมนุษย์ในแง่ที่สมั พันธ์กบั ระบบการทางานของอััยัะในร่างกาย “การพูด” ก็คือผลของการทางานที่ประสานสัมพันธ์กนั อย่างมีระบบของอััยัะชุดหนึง่ ในร่างกาย ซึง่ อยูภ่ ายใต้ การคับคุมของสมอง สิ่งที่คัรให้ คัามสนใจก็คือ อััยัะชุดนี ้มิได้ ถกู เจาะจงสร้ างขึ ้นมาเพื่อทาหน้ าที่ในการพูดโดยตรง แต่ทั่าอััยัะทุกชิ ้นที่มีสั่ นเกี่ยัข้ องในการพูดเหล่านันมี ้ หน้ าที่หลักเพื่อการดารงชีัิตอยูแ่ ล้ ัทังสิ ้ ้น เช่น การหายใจ การกิน การกลืน การเคี ้ยัอาหาร และการดมกลิ่นเป็ นต้ น และต่อมาจึงทาหน้ าที่เสริมอย่างหนึง่ คือ “การพูด” ซึง่ อาจกล่าัได้ อีกนัยหนึง่ ั่า ร่างกายของคนมีอััยัะชุดหนึง่ ซึง่ ใช้ สาหรับการดารงชีัิตอยู่แล้ ัโดยปรกติ ต่อมาจึงได้ มีการดัดแปลงการทางานของอััยัะต่างๆ เหล่านันขึ ้ ้นมาทาหน้ าที่รองที่มีคัามสาคัญอีกประการหนึ่งคือ “การเปล่งเสียงในภาษา หรื อการพูด” นัน่ เอง ซึง่ การพูดนี ้เป็ นคุณสมบัตเิ ฉพาะตัั (species-specific) ของมนุษย์เท่านันไม่ ้ มีสตั ั์ประเภทใด ที่จะมี “ภาษา” ซึง่ เป็ นระบบสาหรับใช้ ในการติดต่อสื่อสารเช่นที่มนุษย์มี หากจะมีการสื่อสารระหั่างสัตั์บางประเภท ก็เป็ นเพียงการเปล่งเสียง (vocalization) เพื่อสื่อคัามหมายพื ้นฐานบางอย่างเท่านัน้ หาใช่การพูด (speech) ไม่ ดังจะเห็นได้ ัา่ ในสัตั์ชนต ั ้ ่าซึง่ ไม่มีการใช้ ภาษาหรื อการออกเสียงก็มีอััยัะต่างๆ ซึง่ มีบทบาทในการพูด เช่น ปอด กล่องเสียง ลิ ้น ฟั น และริมฝี ปากอยูแ่ ล้ ั แต่สตั ั์เหล่านันก็ ้ ไม่สามารถจะพูดหรื อใช้ ภาษาได้ ในบทนี ้จะกล่าัถึงอััยัะต่างๆ ที่เกี่ยัข้ องกับการพูดทังหมด ้ โดยจะไม่เน้ นสาระทางด้ านสรี รัิทยาและกายัิภาคศาสตร์ ให้ ละเอียดมากนัก คือการกล่าัถึงเท่าที่มีคัามจาเป็ นต่อผู้ที่อยูใ่ นแัดังภาษาศาสตร์ เท่านัน้ ผู้ที่มีคัามสนใจจะทราบรายละเอียดของการทางานโดยละเอียดของอััยัะเหล่านัน้ สามารถอ่านได้ จากตารากายัิภาคศาสตร์ และสรี รัิทยาทัั่ ไป แผนภาพข้ างบนเป็ นแผนภาพที่แสดงอััยัะต่างๆ ที่มีบทบาทในเรื่ อง “การพูด” ซึง่ จะกล่าัถึงรายละเอียดของอััยัะเหล่านันที ้ ละอััยัะ โดยจะกล่าัถึงชื่อสามัญ ซึง่ เป็ นภาษาอังกฤษธรรมดาซึง่ อยูใ่ นรูปคานาม และชื่อที่อยูใ่ นรูปคาคุณศัพท์ที่ใช้ ในการเรี ยกชื่อพยัญชนะ ซึง่ มักจะดัดแปลงมาจากคาในภาษาละติน ยกตััอย่างเช่น เสียงที่เกิดจากฐานริมฝี ปาก (lips)จะมีชื่อในทางภาษาศาสตร์ ัา่ (labial sound) ซึง่ หมายถึงเสียงที่ฐานริมฝี ปาก ริมฝี ปากทัง้ สอง (lips) ริมฝี ปากมีหน้ าที่ในการปิ ดช่องปาก (oral cavity) ในขณะที่กาลัง ทาเสียงพยัญชนะอยู่ ริมฝี ปากทังสองคู ้ น่ ี ้อาจอยูใ่ นลักษณะ “ริมฝี ปากห่อกลม”

ขณะกาลังออกเสียงพยัญชนะบางตัั คาที่อยูใ่ นรูปคุณศัพท์ คือ labial (ในภาษาละติน labia แปลั่า ริมฝี ปาก) เมื่อใดก็ตามที่มีการใช้ ริมฝี ปากทังคู ้ เ่ ป็ นฐานกรณ์ เราจะเรี ยกเสียงนันั่ ้ า bilabial sound ฟั น (teeth) ฟั นก็เป็ นอััยัะอีกชิ ้นหนึง่ ที่มีบทบาทในการทาให้ เกิดเสียงพูด เสียงที่เกิดที่ฐานฟั น เรี ยกั่าdental sounds (ในภาษาละติน dentes แปลั่า ฟั น) ส่ันมากในการทาให้ เกิดเสียงในภาษานันฟั ้ นบนจะมีบทบาทมากกั่าฟั นล่าง ลิน้ (tongue) ลิ ้นเป็ นอััยัะออกเสียงที่มีคัามอ่อนพริั้ มากที่สดุ ในบรรดาอััยัะออกเสียงทังหมด ้ คาั่าtongue นี ้ในหลายๆ ภาษามีคัามหมายั่า “ภาษา” เนื่องจากลิ ้นเป็ นอััยัะที่มีคัามยืดหยุน่ ตััสูงจังทาให้ ลิ ้นเป็ นต้ นกาเนิดเสียงพูดจานันมาก ทังนี ้ ้ก็เนื่องจากการใช้ ตาแหน่งต่างๆ และการจัดท่าต่างๆ ของลิ ้นนัน่ เอง เราัสามารถแบ่งลิ ้นออกเป็ นตาแหน่งต่างๆ ได้ อย่างคร่าัๆ ดังนี ้ คือ -

ปลายลิ ้นหรื อลิ ้นส่ันปลาย (tip of the tongue) ส่ันต่อจากปลายลิ ้น (blade of the tongue) ลิ ้นส่ันหน้ าหรื อลิ ้นส่ันต้ น (front of the tongue) ลิ ้นส่ันกลาง (center of the tongue) ลิ ้นส่ันหลัง (back of the tongue) โคนลิ ้น (root of the tongue) คาคุณศัพท์ของคาั่า ลิ ้น คือ lingual, ส่ันคาคุณศัพท์ของคาั่า tip และ blade คือ apical และlaminal ตามลาดับ ปุ่ มเหงือก (alveolar ridge หรื อ gum ridge) คือส่ันที่อยู่ตอ่ จากฟั นบน รูปคุณศัพท์ของคาๆ นี ้คือalveolar เพดานแข็ง (the palate) คานี ้มาจากภาษาละตินั่า palatum โดยทัั่ ไปถ้ ากล่าัถึง palate เฉยๆ มักจะเป็ นที่เข้ าใจกันโดยทัั่ ๆ ไปั่าหมายถึง เพดานแข็ง หรื อ hard palate แต่ถ้าจะหมายถึงเพดานอ่อน (velum) จะต้ องกล่าัเต็มรูปั่า soft palate เสมอ บริเัณที่เรี ยกั่า เพดานแข็งเริ่มต้ นจากส่ันปลายสุดของปุ่ มเหงือกมายังส่ันต้ นของเพดานอ่อน รูปคาที่เป็ นคาคุณศัพท์ของคาๆ นี ้ คือ palatal เพดานอ่ อน (soft palate มาจากภาษาละตินั่า velum) เพดานอ่อนคือส่ันของเพดานปากที่อยู่ตอ่ จากเพดานแข็ง

หน้ าที่ของเพดานอ่อนในเรื่ องภาษาหรื อการพูดมี 2 อย่าง คือเพดานอ่อนอาจทาหน้ าที่เป็ น passive articulator ให้ ลิ ้นส่ันหลัง เลื่อนเข้ ามาใกล้ หรื อเลื่อนมาชิดเพื่อให้ เกิดเสียงในกรณีนี ้เราเรี ยก เสียงที่เกิดขึ ้นั่าvelar sound กรณี 2 เพดานอ่อนสามารถที่จะเลื่อนขึ ้นหรื อลงได้ ถ้ าเพดานอ่อน ลดระดับลงมาก็จะทาให้ มรช่องทางของอากาศสูโ่ พรงจมูก ทาให้ เกิดเสียงนาสิก (nasal sound) แต่ถ้าเพดานอ่อนยกตััขึ ้นไปก็จะไปปิ ดกันทางเดิ ้ นของอากาศที่จะเข้ าสูโ่ พรงจมูกทาให้ อากาศระบายออก ทางช่องปากได้ ทางเดียั ทาให้ เกิดเป็ นเสียงพยัญชนะที่เรี ยกั่าเสียงช่องปาก ( oral sound) และถ้ ามีลมระบายออกทางปาก และจมูกพร้ อมๆกัน ก็อาจเกิดเป็ นพยัญชนะ หรื อสระแบบที่มีเสียงขึ ้นจมูก (nasalized sound) เสียงที่เกิดจากการเคลื่อนตััของลิ ้นส่ันหลัง สูเ่ พดานอ่อนเรี ยกั่าVelar Sounds ส่ันปลายสุดของเพดานอ่อนที่เป็ นติง่ ห้ อยลงมาคือลิ ้นไก่ (uvular) และเสียงที่ลิ ้นไก่ทาหน้ าที่เป็ นส่ันฐานกรณ์ จะมีชื่อั่า uvular sound ช่ องปาก (oral cavity) ช่องปากนี ้เป็ นอััยัะอีกส่ันหนึง่ ที่มีคัามสาคัญในการพูด กล่าัคือ ช่องปาก จะทาหน้ าที่เป็ น resonance chamber ซึง่ มีบทบาทมากในการสัน ่ สะท้ อนเสียงที่เดินทางผ่านมาถึงบริเัณนี ้ ทังนี ้ ้เพราะช่องปากสามารถจะเปลี่ยนแปลงเป็ น resonance chamber รูปร่างต่างๆ กัน เนื่องจากรูปร่างของมันแปรผันไปตามการจัดท่าของลิ ้น ริ มฝี ปาก และขากรรไกร โพรงจมูก (nasal cavity) คุณสมบัตหิ รื อลักษณะของเสียงพูดที่เกิดขึ ้นจะแปรผันไปตามการปิ ดเปิ ดของช่องทางออกของอากาศที่จะ ออกสู่โพรงจมูก ซึง่ เป็ นผลมาจากการยกขึ ้นหรื อเลื่อนลงของเพดานอ่อน ช่ องคอ (pharynx) ช่องคอคือช่องทางเดินของอากาศ ที่อยูด่ ้ านหลังของโคนลิ ้น ทาหน้ าที่เป็ น resonance chamber อีกอันหนึง่ ในบางภาษารูปร่างของช่องคอนี ้จะแปรผันไปเพื่อให้ คณ ุ ภาพเสียงที่เปล่งออกมามีลกั ษณะต่างๆ เช่นในภาษาอาหรับ จะมีเสียงประเภทหนึง่ ที่เรี ยกั่า emphatic sounds เป็ นกลุม ่ ของเสียงที่มีการตีบช่องคอ โดยการเคลื่อนโคนลิ ้นเข้ าหาผนังช่องคอทางด้ านหลังร่ัมกับการทางานของฐานกรณ์ที่ทาให้ เกิดเสียงนันโ ้ ดยตรง หลอดลม (trachea) เป็ นช่องทางเดินของอากาศที่เชื่อมโยงระหั่างกล่องเสียงไปยังปอด โดยการเชื่อมโยงของท่อลมเล็กๆ ในปอด (bronchi) ขณะที่มีการกินอาหารหรื อการกลืนอาหาร ช่องทางเข้ าหลอดลมจะถูกปิ ดโดยepiglottis หรื อบางท่านเรี ยกลิ ้นกล่องเสียง ซึง่ จะช่ัยป้องกันไม่ให้ เกิดอาการสาลัก อันเนื่องมาจากอาหารตกลงไปในหลอดลม

นอกเหนือจากอััยัะออกเสียงที่กล่าัมาแล้ ั ยังมีอััยัะที่มีบาบาทสาคัญอย่างยิ่งในการผลิตเสียงพูด ซึง่ จะกล่าัถึงในรายละเอียดให้ มากเป็ นพิเศษอีก 2 ส่ัน คือ ปอด และกล่องเสียง กล่ องเสียง (larynx) กล่องเสียงเป็ นอััยัะที่อยูต่ อนบนสุดของหลอดลมมีคัามซับซ้ อนภายในตัักล่องเสียงประกอบด้ ัยกระดู กอ่อนหลายชิ ้นจัดตััเรี ยงกันอยูใ่ นลักษณะช่ังบนกั้ าง ช่ังล่างแคบ ยึดติดกันโดยเอ็น พังผืด กล้ ามเนื ้อและข้ อต่อ กระดูกชิ ้นสาคัญๆ ที่ประกอบกันเป็ นกล่องเสียงมี 4 ชิ ้น คือ -

Hyoid bone เป็ นขอบเขตบนสุดของกล่องเสียง และเป็ นที่เกาะของกล้ ามเนื ้อลิ ้น

-

Thyroid cartilage อยูท ่ างด้ านหน้ า ส่ันหนึง่ คือบริเัณที่เรี ยกั่า ลูกกระเดือก (Adam’s apple)

-

Cricoid cartilage เป็ นกระดูกอ่อนที่เล็ก แต่หนาและแข็งแรงมาก อยูใ่ นระดับต่าที่สด ุ ในกล่องเสียง

-

ทาหน้ าที่เป็ นฐานของกล่องเสียง Arytenoid cartilage เป็ นกระดูกอ่อนชิ ้นเล็กๆ 2 ชิ ้น รูปร่างคล้ ายปิ รามิด อยูต่ ิดกับผิัด้ านหลังตอนบนของ cricoid cartilage เราสามารถจะสัมผัสบางส่ันของกล่องเสียงได้ โดยัางทาบนิ ้ัมือไปที่ลาคอส่ันหน้ า ซึง่ จะสัมผัสกับส่ันหน้ าของกล่องเสียงซึง่ เป็ นส่ันของกระดูกอ่อน thyroid และจะหาได้ ง่ายมากในเพศชา ย โดยจับที่บริเัณที่เรี ยกั่าลูกกระเดือก ซึง่ เป็ นมุมประมาณ 70 องศา อย่างไรก็ตามในเพศหญิงก็สามารถคลาหากระดูกอ่อนชิ ้นนี ้ได้ ไม่ยาก โครงสร้ างภายในของกล่องเสียงจะเหมือนกันหมดทังเพศหญิ ้ งและเพศชาย ส่ันที่ตา่ งกันก็คือ ขนาดของกล่องเสียง ผู้ชายจะใหญ่กั่าผู้หญิง ด้ านบนของกล่องเสียงจะอยู่ตอ่ ขากโคนลิ ้น ส่ันด้ านล่างจะเชื่อมติดกันกับกระดูกังแหันข้ อแรกของหลอดลม ทางด้ านหลังจะสัมผัสกับช่องคอ (pharynx) ตรงบริเัณที่เปิ ดเข้ าสูห่ ลอดอาหาร (oesophagus) ภายในกล่องเสียงจะมีอััยัะที่ทาหน้ าที่สาคัญมากในการพูดคือ เส้ นเสียง ( vocal cords) ัางพาดอยู่ เส้ นเสียง (Vocal cords, Vocal folds, vocal bands, vocal lips, true vocal folds) เส้ นเสียงมีชื่อทางกายัิภาคั่า plicae มีบทบาทมากในการทาให้ เกิดเสียงพูดในภาษา มีลกั ษณะที่เป็ นกล้ ามเนื ้อคูพ่ ิเศษ ซึง่ ประกอบด้ ัยแผ่นเนื ้อเยื่อ (tissue) และเอ็น (ligament) ัางพาดอยูใ่ นแนันอน แถบช่ังกลางของกล่องเสียง ซึง่ ไม่มีบทบาทในการเปล่งเสียงพูดตามปรกติ แต่สามารถเปิ ดปิ ดได้ เพื่อกันไม่ให้ อากาศออกจากหลอดลม

กล้ ามเนื ้อที่ประกอบเป็ นเส้ นเสียงทังคู ้ จ่ ะเริ่มจากผิัทางด้ านหลังของกระดูก thyroid ตรงมุมหลังด้ านใน โดยรัมเป็ นจุดร่ัมจุดเดียัแล้ ัแยกห่างออกจากกันมาเกาะที่ปมกระดู ุ่ ก arytenoids ซึง่ อยูด่ ้ านหลังของก ล่องเสียง ผิัด้ านในของกล่องเสียงเป็ นบริเัณที่เปิ ด ไม่ได้ ยดึ ติดกับอะไร เส้ นเสียงจะเปิ ดและปิ ดโดยการทางานของกระดูกอ่อน Arytenoid ซึง่ จะดึงกล้ ามเนื ้อเส้ นเสียงให้ ลเู่ ข้ าหากั นหรื อแยกออกจากันจะมีชอ่ งั่างระหั่างเส้ นเสียงเกิดขึ ้น มีชื่อั่า glottis หรื อ rima glottidis ซึง่ สามารถจะเปลี่ยนแปลงขนาดและรู ปร่างออกไปได้ หลายแบบขึ ้นอยูก ่ บั การทางานของกระดูก อ่อน Arytenoid นอกจากนี ้การตึงตััของเส้ นเสียงยังปรับเปลี่ยนได้ ตามการเปลี่ยนแปลงของกระดูกอ่อน t hyroid ทังนี ้ ้เมื่อเส้ นเสียงัางตััอยู่ตามปรกติจะมีลกั ษณะมน แต่เมื่อถูกดึงให้ ตงึ จะมีลกั ษณะเป็ นสัน เส้ นเสียงจะทางานในรูปแบบต่างๆ กัน ทาให้ เกิดเสียงต่างๆ โดยทัั่ ๆ ไปการทางานของเส้ นเสียงจะขึ ้นอยูก่ บั รูปแบบของการสัน่ (vibrate) ของเส้ นเสียงเป็ นสาคัญ ทังนี ้ ้การสัน่ ของเส้ นเสียงยังจะขึ ้นกับขนาดของเส้ นเสียงด้ ัย เปรี ยบเหมือนเครื่ องสายลักษณะต่างๆ ทาให้ เกิดเสียงดนตรี ที่แตกต่างกันไปและขนาดของเส้ นเสียงที่ัา่ นี ้จะแตกต่างกันตามอายุ เพศ และพัฒนาการทางกายภาพของแต่ละบุคคลอีกด้ ัย ตรมปรกติ เด็กและผู้หญิงจะมีเส้ นเสียงที่สนและเล็ ั้ กกั่าผู้ชาย กล่าัคือ โดยทัั่ ๆ ไปเสียงเด็กจะสูงกั่าเสียงผู้หญิง และเสียงผู้หญิงจะสูงกั่าเสียงผู้ชาย ปอด (Lungs) เป็ นอััยัะที่สาคัญอีกชิ ้นหนึง่ ในการผลิตเสียงพูด เป็ นต้ นกาเนิดใหญ่ของพลังงานที่ทาให้ เกิดเสียง ปอดตังอยู ้ ใ่ นบริเัณทรังอก (thoracic cavity) ลักษณะภายนอกของปอด เป็ นเนื ้อเยื่อชนิดพิเศษ มีลกั ษณะนิ่มคล้ ายฟองน ้า ไม่มีกล้ ามเนื ้อหรื อกระดูกประกอบอยู่ โดยปรกติมีสีชมพูเรื่ อๆ ได้ รับการห่อหุ้มป้องกันโดยกระดูกซี่โครง ซึง่ อ้ อมจากทางด้ านหลังมาทางด้ านหน้ าเชื่อมกับกระดูกอก (Sternum) ยกเั้ นกระดูกซี่โครงสองคูล่ า่ งสุด ซึง่ ไม่ได้ เชื่อมติดกับกระดูกอก ภายในปอดประกอบด้ ัยถุงลมเล็กๆ (alveoli) มากมาย ซึง่ ทาหน้ าที่ฟอกโลหิต และในถุงลมเล็กๆ นี ้จะประกอบด้ ัยหลอดลมฝอยจานันมากซึง่ รัมกันเป็ นหลอดลมแขนงใหญ่ 2 หลอด เรี ยกั่า bronchi ซึง่ จะเชื่อมตัักับหลอดลมอีกทีหนึง่ ปอดมี 2 ข้ าง แต่ละข้ างจะมีจานันกลับไม่เท่ากัน คือ ปอดข้ างขัาจะมี 3 กลีบ และปอดข้ างซ้ ายจะมีกลีบ 2 กลีบ บริเัณที่ใต้ ปอดจะเป็ นกระบังลม (Diaphragm) ซึง่ มีลกั ษณะคล้ ายโดมหรื อฝาชีคั่า ตััปอดเคลื่อนไหัไม่ได้ แต่เนื ้อเยื่อของปอดยืดหยุน่ ได้ ด้ัยการทางานของอััยัะอื่นๆ เช่น กล้ ามเนื ้อระหั่างกระดูกซี่โครง (Intercostal muscle) และกระบังลม

ในการแปรเสียงหรื อกล่อมเกลาเสียง (Articulation) เพื่อให้ เกิดเป็ นเสียงพยัญชนะต่างๆในภาษานัน้ การแปรเสียงหรื อกล่อมเกลาเสียงจะเกิดขึ ้น ณ จุดต่างๆ (Place of Articulation) ภายในช่องออกเสียง (Vocal Tract) ของเรา ในบทนี ้จะกล่าัถึงบริเัณต่างๆ ที่มีคัามเป็ นไปได้ ที่จะเป็ นตาแหน่งที่เกิดของเสียงในภาษาต่างๆ ตลอดจนลักษณะัิธีออกเสียง ( Manner of Articulation) แบบต่างๆ ที่สามารถจะเกิดขึ ้นได้ ในภาษาต่างๆ โดยละเอียด

โดยจะยกตััอย่างเสียงต่างในภาษาประกอบด้ ัย ตาแหน่ งของการเกิดเสียงบริเวณต่ างๆ (Place of Articulation) คานี ้ถ้ าจะเรี ยกให้ สนและย่ ั้ อมีชื่อเฉพาะั่าฐานกรณ์ ซึง่ หมายถึงอััยัะแปรเสียงหรื อกล่อมเกลาเสียงโดยรัม แต่ถ้าจะแยกกลุม่ ของอััยัะแปรเสียงออกมาตามลักษณะของการเคลื่อนไหัก็จะแบ่งได้ เป็ น 2 กลุม่ คือ กลุ่มที่เคลื่อนที่ไม่ ได้ (Passive Articulator หรื อ Upper Articulator) หรื อมีชื่อเฉพาะสันๆ ้ ั่า ฐาน ซึง่ ได้ แก่ อััยัะต่อไปนี ้ ริมฝี ปากบน (upper lip) 1.

-

-

ฟั นบน (upper teeth) ปุ่ มเหงือก (gum ridge หรื อ alveolar ridge) เพดานแข็ง (hard palate) เพดานอ่อน (soft palate หรื อ velum) ลิ ้นไก่ (uvula) อััยัะชิ ้นนี ้แม้ ัา่ จะถูกจัดอยูใ่ นกลุม่ ที่เรี ยกั่า upper articulators หรื ออััยัะที่อยูส ่ ั่ นบนของช่องปากหรื อเพดานปากก็ตาม แต่เป็ นอััยัะที่สามารถเคลื่อนที่ได้ 2. กลุ่มที่เคลื่อนที่ได้ (Active Articulator หรื อ Lower Articulator) หรื อมีชื่อเฉพาะสันๆ ้ ั่า กรณ์ ซึง่ ได้ แก่ อััยัะต่อไปนี ้ คือ ริมฝี ปากล่าง (Lower lip) -

ลิ ้น (tongue) ซิงเป็ นอััยัะที่มีคัามยืดหยุน่ ตััสูงที่สดุ ดังที่กล่าัมาแล้ ัในตอนต้ น ในบทที่ั่าด้ ัยเรื่ องอััยัะในการแกเสียง ในการทาให้ เกิดเสียงพยัญชนะเสียงใดเสียงหนึง่ ขึ ้นมานัน้ กระแสอากาซที่เดินทางผ่านเข้ ามาในช่องออกเสียง (vocal tract) จะต้ องถูกกักกันในลั ้ กษณะใดลักษณะหนึง่ การกักกันกระแสอากาศก็ ้ จะกระทาได้ โดยอััยัะกลุม่ ที่เคลื่อนที่ได้ (Active Articulators) จะเคลื่อนที่เข้ าไปหา, เข้ าไปใกล้ , หรื อเข้ าไปชิดอััยัะกลุม ่ ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ (Passive Articulator) เมื่อกระแสอากาศเดินทางผ่านจุดกักกันเหล่ ้ านันก็ ้ จะก่อให้ เกิดเสยงพยัญชนะประเภทต่างๆ ที่แตกต่างกันไปตามรูปแบบของการกักกันกระแสอากาศหรื ้ อที่เรี ยกั่าลักษณะัิธีออกเสียง ( Manner of Articulation) ณ จุดเกิดเสียงต่างๆกัน และคาที่ใช้ สาหรับเรี ยกชื่อพยัญชนะส่ันหนึง่ ก็มาจากคาระบุตาแหน่งของการกักกันกระแสอากาศดั ้ งกล่า ั ซึง่ ได้ แก่ Bilabial (เสียงที่เกิดจากริ มฝี ปากทังคู ้ )่ เกิดจากริมฝี ปากล่างเคลื่อนเข้ าไปหาริมฝี ปากบน เช่น

เสียงแรกของคาั่า “my” ในภาษอังกฤษ เสียงแรกของคาั่า “ปู” ในภาษาไทย Labiodental (เสียงที่เกิดจากริ มฝี ปากล่างและฟั นบน)

เกิดจากริมฝี ปากล่างเคลื่อนเข้ าไปหาฟั นบนด้ านหน้ า เช่น เสียงแรกของคาั่า “เฝ้า” ในภาษาไทย, เสียงแรกของคาั่า “van” ในภาษาอังกฤษ Dental (เสียงที่เกิดจากปลายลิ ้นหรื อส่ันถัดจากปลายลิ ้นกับฟั นบน)

เกิดจากปลายลิ ้นหรื อส่ันถัดจากปลายลิ ้นเคลื่อนเข้ าไปหาฟั นบนด้ านหน้ า เช่น เสียงแรกของคาั่า “thin” ในภาษาอังกฤษ

Alveolar (เสียงที่เกิดจากปลายลิ ้นหรื อส่ันถัดจากปลายลิ ้นกับปุ่ มเหงือก)

เกิดจากปลายลิ ้นหรื อส่ันถัดจากปลายลิ ้นเคลื่อนเข้ าไปหาปุ่ มเหงือก เช่น เสียงแรกของคาั่า “นก” ในภาษาไทย, เสียงแรกของคาั่า “tip” ในภาษาอังกฤษ Retroflex (เสียงที่เกิดจากปลายลิ ้นหรื อส่ันใต้ ปลายลิ ้นกับส่ันปลายสุดของปุ่ มเหงือกที่ตอ ่ กับเพ

ดานแข็ง) เกิดจากปลายลิ ้นซึ่งอาจจะเป็ นผิับน (upper surface) หรื อส่ันใต้ ปลายลิ ้นเคลื่อนเข้ าไปหาส่ันปลายสุดของปุ่ มเหงือกที่ตอ่ กับเพดานแข็ง เช่น เสียงตัั “ร” หรื อ “ส” ในตาแหน่งพยัญชนะต้ นของภาษาไทยถิ่นใต้ บางสาเนียง และเสียง “r” ในภาษาอังกฤษสาเนียงอเมริกนั บางสาเนียง Palato-Alveolar (เสียงที่เกิดจากส่ันถัดจากปลายลิ ้นกับส่ันปลายสุดของปุ่ มเหงือก)

เกิดจากการใช้ สั่ นถัดปลายลิ ้นเคลื่อนเข้ าไปหาส่ันปลายสุดของปุ่ มเหงือกที่ตอ่ กับเพดานแข็ง เช่น เสียงแรกของคาั่า “show”ในภาษาอังกฤษ Palatal (เสียงที่เกิดจากลิ ้นส่ันต้ นกับเพดานแข็ง) เกิดจากการใช้ ลิ ้นส่ันต้ น (front of the tongue) เคลื่อนเข้ าไปหาเพดานแข็ง เช่น เสียงแรกของคาที่แปลั่า “ยาก”

ในภาษาไทยถิ่นอีสาน [] และเสียงแรกของคาั่า “nyamuk” ในภาษามาเลเซีย ซึง่ แปลั่า ยุง Velar (เสียงที่เกิดจากลิ ้นส่ันหลังกับเพดานอ่อน)

เกิดจากการใช้ ลิ ้นส่ันหลังเคลื่อนเข้ าไปหาเพดานอ่อน เช่น เสียงแรกของคาั่า “คน” ในภาษาไทย เสียงแรกของคาั่า “give” ในภาษาอังกฤษ Uvular (เสียงที่เกิดจากลิ ้นส่ันหลังกับลิ ้นไก่) เกิดจากการยกลิ ้นส่ันหลังเข้ าไปหาลิ ้นไก่ เช่น

เสียงแรกของคาั่า “rouge” ในภาษาฝรั่งเศส Pharyngeal (เสียงที่เกิดจากโคนลิ ้นกับผนังช่องคอด้ านหลัง)

เกิดจากการดึงโคนลิ ้นไปทางด้ านหลังเข้ าหาผนังช่องคอด้ านหลัง เช่น เสียงแรกในคาที่แปลั่า “ลุง” ในภาษาอาหรับ ([amm]) Glottal (เสียงที่เกิดจากเส้ นเสียง) เกิดจากการเคลื่อนเข้ าหากันของเส้ นเสียงทังคู ้ ่

โดยอาจจะเคลื่อนเข้ ามาติดกัน เช่น เสียงแรกของคาั่า “home” ในภาษาอังกฤษ, เสียงแรกของคาั่า “อู”่ ในภาษาไทย

ดัดแปลงจาก www.sil.org/computing/ipahelp/ip...ace2.htm

View more...

Comments

Copyright ©2017 KUPDF Inc.
SUPPORT KUPDF