English Grammar

March 12, 2018 | Author: TTRS | Category: N/A
Share Embed Donate


Short Description

Good basic grammar book, good explaination and easy understanding....

Description

1

INDEX Chapter 1 == If-Clause ( ประโยคเงื่อนไข ) == Chapter 2 == Question Tag == Chapter 3 == Tenses (1) Present Simple Tense == Chapter 4 == Tenses (2) Present Continuous Tense == Chapter 5 == Tenses (3) Past Simple Tense == Chapter 6 == Tenses (4) Present Perfect Tense == Chapter 7 == Tenses (5) Future Simple Tense == Chapter 8 == Singular and Plural == Chapter 9 == Tenses (6) Past Continuous Tense == Chapter 10 == Tenses (7) Present Perfect Continuous Tense == Chapter 11 == Tenses (8) Past Perfect Tense == Chapter 12 == Tenses (9) Future Perfect Tense == Chapter 13 == Errors in Tenses (1) == Chapter 14 == Errors in Tenses (2) == Chapter 15 == Indirect Speech : Introduction == Chapter 16 == Indirect Speech : หลักการเปลี่ยน == Chapter 17 == Indirect Speech : ประโยคคำาสั่งหรือประโยคขอร้อง == Chapter 18 == Indirect Speech : ประโยคคำาถาม == Chapter 19 == Indirect Speech : ประโยคที่ใช้ LET'S == Chapter 20 == Indirect Speech : ประโยคอุทาน ( Exclamation ) == Chapter 21 == Indirect Speech : รวมประโยคหลายแบบเข้าด้วยกัน === Chapter 22 == Indirect Speech : ประโยค Direct ทีข่ ึ้นต้นด้วย Yes หรือ No == Chapter 23 == Indirect Speech : ข้อสังเกตอื่นๆ == Chapter 24 == Passive Voice : Introduction == Chapter 25 == Passive Voice : หลักการเปลี่ยน ==

Chapter 26 == 12 Tenses == Chapter 27 == Chapter 28 == Chapter 29 == Chapter 30 == Chapter 31 == Chapter 32 == === Chapter 33 == Chapter 34 == Chapter 35 == Chapter 36 == Chapter 37 == Chapter 38 == Chapter 39 == Chapter 40 == Chapter 41 == Chapter 42 == better === Chapter 43 == Chapter 44 == Chapter 45 == Chapter 46 == Chapter 47 == Chapter 48 == Chapter 49 == Chapter 50 == Chapter 51 == === Chapter 52 == Chapter 53 == Chapter 54 == Chapter 55 == Chapter 56 == Chapter 57 ==

Passive Voice : Passive Passive Passive Passive Passive Passive

Voice Voice Voice Voice Voice Voice

: : : : : :

ตัวอย่างการเปลี่ยนประโยค

Active

คำากริยาที่ไม่สามารถทำาเป็นประโยค

เป็น

Passive

2 ใน

Passive ได้ ==

== ประโยคคำาสั่ง == ประโยคที่ไม่ต้องการ by == กรณีมีกรรม 2 ตัว === กรณีมีกริยาช่วย ( Helping Verbs ) ประโยคคำาถาม

Passive Voice : กรณีอื่นๆ === Verb : Introduction === Verb : หน้าที่ของ Verb to Be === Verb : หน้าที่ของ Verb to Do === Verb : หน้าที่ของ May, Might === Verb : หน้าที่ของ Verb to Have === Verb : หน้าที่ของ Will, Shall === Verb : หน้าที่ของ Would, Should === Verb : หน้าที่ของ Can, Could === Verb : หน้าที่ของ Have to, Have got to, Had Verb : หน้าที่ของ Must === Verb : หน้าที่ของ Ought to === Verb : หน้าที่ของ Dare === Verb : หน้าที่ของ Need === Verb : หน้าที่ของ Used to === Sentences : Simple Sentence === Sentences : Compound Sentence === Sentences : Complex Sentence === Sectences : Compound Complex Sentence Word Building : Common Word Building : Common Word Building : Common Word Building : Common Preposition : On === Preposition : In ===

Prefixes (1) === Prefixes (2) === Prefixes (3) === Suffixes ===

Chapter Chapter Chapter Chapter Chapter Chapter

58 59 60 61 62 63

== == == == == ==

Preposition Preposition Preposition Preposition Preposition Preposition

บทที่ ๑

: : : : : :

At === By === Out of === With === Before & After === Of

( Chapter 1 )

( If-Clause ) If -Clause หรือที่เรารู้จักกันดีในภาษาไทยว่า " ประโยคเงื่อนไข ( Conditional Sentence ) " นั้นนะครับ ถ้าหากจะแบ่งหลักๆ จริงๆ ละก็ ผมขอแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ เลยนะครับ ( นักเรียนที่นา่ รักของผม กรุณาอย่าเพิ่งง่วงหาวนอนไปก่อนนะครับผมจะอธิบายไม่เยิ่นเย้อหรอกครับ.....รับรอง ^_^ ) ที่ผมเลือกเอาเรื่องมาพูดก่อน ก็ผมเห็นว่า มีโอกาสจะได้ใช้เยอะครับประโยค If-Clause เนี่ย แบบที่ 1 การใช้เงื่อนไขที่จะเป็นจริง ( Future Possible ) If + Present Simple Tense + Subj. + will + V1 ประโยคเงื่อนไข

แบบนี้นะครับ ใช้สำาหรับเหตุการณ์ที่ผู้พูดแน่ใจว่า เงื่อนไขนั้นจะเป็นจริง ผลทีจ่ ะเกิดก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน

If Alex studies hard, he will pass the exam. ถ้าอเล็กซ์ขยันเรียน เขาก็จะสอบผ่านนะ

( ผู้พูดแน่ใจว่า เขาจะสอบผ่านอย่างแน่นอน ถ้าเขามีความตั้งใจจริง ) If she hurries, she will be in time. ถ้าหล่อนรีบ หล่อนก็จะทันเวลาชัวร์

(

) แบบที่ 2 การใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นจริง ( Present Unreal ) If + Past Simple Tense + Subj. + would + V1 ผู้พูดมั่นใจว่า ถ้าหล่อนรีบก็จะทันเวลาอย่างแน่นอน

สำาหรับแบบนี้นะครับ จะใช้ถึงเหตุการณ์สมมุติที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ก็เพ้อฝันจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยล่ะครับ ฮ่าๆๆๆ

If I were a millionnaire, I would travel around the world. ถ้าอั๊วะได้เป็นเศรษฐีเงินล้าน อั๊วะจะเที่ยวรอบโลก

( ความจริงแล้ว อั๊วะคงจะไม่มีบุญได้เป็นหรอกว่ะ แค่ฝันไปลมๆ แล้งๆ เท่านั้นแหละ ) If I were a bird, I would be very happy. ถ้าฉันได้เป็นนก ฉันคงจะดีใจไม่น้อยทีเดียว

(

) แบบที่ 3 การใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นจริงในอดีต ( Past Unreal ) If + Past Perfect Tense + Subj. + would have + V3 ความจริงแล้ว คนจะกลายเป็นนกได้ยังไงล่ะ ไม่จริงหรอก

ส่วนแบบนี้นะครับก็เป็นการสมมุติเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นแต่อดีตกาลนานนมแล้ว ผู้พูดก็ทราบดีนะครับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ เป็นยังไง แต่กน็ ำามาพูดสมมุติใหม่ ในทางตรงกันข้ามไงล่ะครับ

3

If you had stayed home, you would have seen him. ถ้าเธออยู่บ้านตอนนั้น เธอคงจะเจอเขาแล้วแหละ

( ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ เธอออกไปข้างนอก ก็เลยไม่ได้เจอเขา ) If Pim had not gone out, she would not have got wet. ถ้าพิมไม่ออกไปข้างนอก หล่อนก็คงจะไม่เปียกหรอกนะ

(

ความจริงก็คือ เธอได้ออกข้างนอก แล้วเธอก็กลับมาอย่างลูกหมาตกนำ้า

)

If-Clause แบบนี้ไปอีก นั่นก็คือ If-Clause ที่ใช้กบั เหตุการณ์ที่เป็นความจริงเสมอ ( Real Condition ) รูปแบบก็จะแบบ If + Present Simple Tense + Present Simple Tense ยกตัวอย่างเช่น If there is no water, we absolutely die. นอกจากนี้นะครับ จริงๆ แล้วบางที่ก็อาจจะเพิ่ม

ถ้าหากปราศจากนำ้าแล้ว พวกเราก็จะต้องตายอย่างแน่นอน

(

เป็นความจริงใช่ไหมล่ะครับ รึใครจะเถียง

?

อิอิอิ

)

บทที่ ๒

Question Tag Question Tag

"

นะครับ ก็คือ การตั้งคำาถามท้ายประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธ ส่วนใหญ่มักจะใช้ในการสนทนามากกว่าที่จะใช้ในภาษาเขียนครับ ซึ่งก็จะมีหลักการตั้งประโยคคำาถามแบบนี้ง่ายๆ ก็คือ

"

ประโยคคำาถามแบบนี้นะครับ

1. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคบอกเล่า Question Tag จะต้องเป็นปฏิเสธ 2. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคปฎิเสธ Question Tag จะต้องเป็นบอกเล่า 3. ต้องใส่เครื่องหมาย Comma คั่นระหว่างประโยคหลักกับ Question Tag เสมอ 4. ตัว Question Tag ต้องเป็นกริยาช่วยเสมอครับ 5. หากไม่มีกริยาช่วยในประโยคหลัก ให้ใช้ Verb to do มาช่วย 6. กริยาช่วยตรง Question Tag ต้องใช้รูปย่อเสมอ และไม่มีรูป amn't I ให้ใช้ aren't I แทน 7. กริยาช่วยเหล่านั้น จะต้องเปลี่ยนไปตาม Tense ทีป่ ระโยคหลักนะครับ จะยกตัวอย่างประโยคคำาถาม Question Tag ให้ดูนะครับ I am a student, aren't I? ฉันเป็นนักเรียนใช่ไหมเนี่ย???? ( ประโยคนี้ตั้งให้เห็นเฉยๆ ครับ ว่าอย่าใช้ amn't I ให้ใช้ aren't I แทน แต่ความหมายอย่าไปใส่ใจเลยครับ เพราะคงจะไม่มีใครมาบ้าถามตัวเองแบบนี้ ) Cathy won't go shopping with us tomorrow, will she? เคที่จะไม่ไปช้อปปิ้งกับพวกเราพรุ่งนี้ใช่ไหม? ( กริยาช่วย คือ will ) He need not study French, need he? เขาไม่จำาเป็นต้องเรียนภาษาฝรั่งเศสใช่ไหม? ( ดูให้ดีๆ นะครับ กริยา need ในที่นที้ ำาหน้าที่เป็นกริยาช่วย เพราะฉะนั้น อย่าใช้ Verb to do มาช่วยเด็ดขาด อ้อ...คำาว่า dare และก็ Verb to have ด้วยนะครับ ต้องดูซักหน่อยว่า ตอนไหนมันเป็นกริยาช่วย ตอนไหนมันเป็นกริยาแท้ )

4

Peter ate my apple, didn't he? ปีเตอร์กินแอปเปิล้ ของฉันใช่ไหม? ( ประโยคหลักเป็น Past Simple Tense และไม่มีกริยาช่วย เพราะฉะนั้น ต้องเอา Verb to do Past ด้วยนะครับ )

Question Tag ในประโยคคำาสั่ง Question Tag ในประโยคคำาสั่ง ขอร้อง เชื้อเชิญ เราสามารถทำาตรง Question Tag you ไปเลยครับ ประโยคข้างหน้าจะเป็นบอกเล่าปฏิเสธ หรือเป็น Tense ไหนก็ไม่ต้องไปสนใจ แต่ต้องแน่ใจนา ว่ามันเป็นประโยคกลุ่มนี้จริงๆ Stop speaking loudly, will you? หยุดแหกปากซักทีได้ไหม? Open those windows for me, will you? ช่วยเปิดหน้าต่างให้ฉันหน่อยได้ไหม?

Question Tag 1. ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย That is, This is ข้อควรจำาในการทำา

ส่วน

Question Tag

ให้ใช้

5

มาช่วยและทำาให้เป็นรูป

ได้โดยเติม คำาว่า

will

isn't it?

หรือ

is it

2. ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย There is, There are, There was, There were ส่วน Question Tag ให้ใช้ Verb to be รูปนั้นๆ ตามประธานและ Tense + there เช่น There is a computer at your house, isn't there? บ้านของเธอมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช่ไหม? 3. ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย These are, Those are ส่วน Question Tag ให้ใช้ aren't they หรือ are they แล้วแต่กรณี

4. เช่น

ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคความซ้อน ส่วน

Question Tag

ให้ถือเอากริยาในประโยค

Main Clause

เป็นหลักนะจ๊ะ

Chirstina told us she could come, didn't she? คริสตินาบอกพวกเราว่า หล่อนจะมาได้ใช่ไหม? ( สังเกตว่ามีคำากริยาคือ told เพราะฉะนั้น ก็ต้องใช้ Verb to do ในรูปอดีตมาช่วยนะครับ ) 5. ถ้าประโยคข้างหน้ามีคำาที่ให้ความหมายเชิงปฏิเสธ เช่น seldom, hardly, scarcely, rarely, never, few, little, neither, none, nobody, nothing คำาเหล่านี้นะครับ มีความหมายในทางปฏิเสธอยู่ในตัวของมันเองแล้ว ดังนั้นในส่วนของ Question Tag นั้น จะต้องทำาในรูปบอกเล่าครับ เช่น Nothing is interesting, is it? ไม่มีอะไรน่าสนใจใช่ไหม? ท่านสามารถอ่านบทเรียนก่อนหน้านี้ได้ที่ ดรรชนี ( Index ) ได้นะคร้าบ คำาถามอุ่นเครื่อง ( Warm-up Question ) ในครั้งต่อไป ผมจะเริ่มพูดเรื่องของ Tense แล้วนะครับ ก็เลยมีคำาถามจะมาถามท่านผู้อ่านที่เคารพทั้งหลายครับว่า ท่านทราบหรือไม่ว่า Tense ในภาษาอังกฤษนั้นมีทั้งหมดเท่าไรเอ่ย???? ไม่มีชิงโชคหรอกนะครับ ( ฮา ) เมล์มาบอกผมก็ได้ครับ ว่ามีอะไรบ้าง จะสอบถามก็ได้นะครับ เพราะผมว่าเรื่อง Tense นีค่ งต้องคุยกันอีกนานครับ อ้อ.....หากจะเรียนเรื่อง Tense นี่นะครับ ท่านควรจะสามารถผันกริยาทั้ง 3 ช่องได้อย่างคล่องแคล่วแล้วนะครับ โดยเฉพาะกริยากลุ่มที่มีการผันแบบเฉพาะ ( Irregular Verbs ) ซึ่งมีเป็นจำานวนเยอะพอสมควรทีเดียวครับผมคงจะไม่สามารถเอามาลงได้ทั้งหมดหรอกนะ ( แต่ถา้ ท่านผู้อ่านเรียกร้องมากๆ ก็ไม่แน่ครับ อิอิอิ ) ผมแนะว่า หากท่านยังผันกริยาไม่ค่อยคล่องนัก กรุณาลองซื้อหนั งสือตารางผันกริยา 3 ช่องมาอ่านดูก็ได้ครับ เล่มละไม่กี่บาทเองครับ หรือจะลองไปเปิดภาคผนวกของพจนานุกรมภาษาอังกฤษบางเล่มก็จะมีครับ เน้นให้จำาเฉพาะกลุ่ม Irregular Verbs ก็เพียงพอแล้วครับ ส่วนที่เหลือก็คือเติมตัวลงท้าย ( Suffix ) -ed หมดเลยครับ บทที่ ๓

TENSES (1) : Present Simple Tense ทำาความเข้าใจก่อน

Tense

12 Tenses ด้วยกันนะครับ สามารถแบ่งเป็น 4 กล่มใหญ่ๆ คือ _______ Simple Tense _______ ธรรมดา _______ Continuous Tense _______ กำาลังกระทำา _______ Perfect Tense _______ สมบูรณ์ _______ Perfect Continuous Tense _______ สมบูรณ์กำาลังกระทำา ช่องว่างที่เว้นไว้นั้น ก็ให้ท่านเติม Present, Past, หรือ Future ลงไปครับ ( ปัจจุบัน, อดีต, หรืออนาคต ) 4x3 ทั้งหมดก็เป็น 12 Tenses พอดีครับ ไม่ขาดไม่เกิน ส่วนเรื่องโครงสร้าง ผมจะทยอยพูดไปเรื่อยๆ นะครับ Present Simple Tense Subject + Verb 1 + (Object) 1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงเสมอ หรือเหตุการณ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่น The sun rises in the east and sets in the west. ในภาษาอังกฤษนัน้ มีทั้งหมด

พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก

The cat has four legs. แมวมีสี่ขา

6

2. ใช้แสดงถึงการกระทำาที่เป็นปรกตินิสัย ( Habitual Fact ) หรือการกระทำานั้นเกิดขึ้นเป็นประจำา ( Repeated Action ) ซึ่งมักจะมี Adverb of Frequency แสดงอยู่ด้วย เช่น always, sometimes, often, everyday, every week, usually, generally, frequently เป็นต้น I have my breakfast at seven o'clock everyday. ผมรับประทานอาหารเช้าเวลา 7 นาฬิกาทุกวัน Everybody wears thick clothes in winter. ทุกๆ คนสวมเสื้อหนาๆ ในฤดูหนาว

We go to temple every Sunday morning. พวกเราไปวัดทุกๆ เช้าวันอาทิตย์

3. ใช้แสดงถึงการกระทำาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือสภาพที่เป็นปัจจุบัน เช่น She understands what you say. เธอเข้าใจทีค่ ุณพูด

I have four notebooks in the suitcase. ฉันมีสมุด 4 เล่มอยู่ในกระเป๋า 4. ใช้แสดงถึงการกระทำาในอนาคต ซึ่งตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะปฏิบัติ The next semester begins in two weeks. อีก 2 อาทิตย์จึงจะเปิดเทอมหน้า He sets sail on Saturday for Samui. เขาจะออกเรือไปสมุยในวันเสาร์ หมายเหตุ อย่าลืมนะครับว่าถ้าประธานเป็นเอกพจน์ บุรษุ ที่ ห้ามลืมกฎข้อนี้เด็ดขาดนะครับ

!!!

3 คือ He, She, It

กริยาที่ใช้ต้องเติม

s

เสมอ

พวกเรามักจะลืมบ่อยๆ เสมอ ก็อย่างว่านะครับ ภาษาไทยของเราไม่มี

การผันกริยาใดทั้งสิ้น เลยไม่ค่อยจะคุ้นเคย หลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง แต่อย่าลืมบ่อยนะครับ

^o^

บทที่ ๔

TENSES (2) : Present Continuous Tense Subject + is, am, are + Verb -ing + ( Object )

1. และจบลงในอนาคต เช่น

ใช้เมื่อการกระทำานั้นกำาลังดำาเนินอยู่ในปัจจุบัน

(

ขณะที่พูด

)

My uncle is listening to the radio. ลุงของผมกำาลังฟังวิทยุ

และยังทำาต่อเนื่องมาจนถึงบัดนั้น

7

8

What is he doing? เขากำาลังทำาอะไรเหรอ? 2. แสดงถึงการกระทำาที่เกิดขึ้น ซึ่งจำาเป็นจะต้องเกิดขึ้นขณะที่กล่าวนั้นจริงๆ เช่น More and more people are using Internet. ผูค้ นเริ่มเล่นอินเทอร์เน็ตมากๆ ขึน้ ทุกทีทุกที

Accidents are happening more and more frequently. อุบตั ิเหตุเกิดขึ้นมากและบ่อยขึ้น

3. ใช้แสดงเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งแน่ใจว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เช่น We are planning to go to the beach next week. พวกเราวางแผนจะไปเที่ยวทะเลอาทิตย์หน้า

She is going abroad next Tuesday. หล่อนจะไปต่างประเทศวันอังคารหน้า

4.

Present Continuous Tense เชื่อมด้วย and ( กรณีเป็น 2 ประโยค ) ให้ตัดกริยา Verb to be ที่อยู่ขา้ งหลัง and ออกเสีย เช่น My father is smoking a cigarette and watching television. ถ้าประโยค

คุณพ่อของฉันกำาลังสูบบุหรีแ่ ละดูโทรทัศน์

Continuous Tense ( ทุกชนิด ) ไม่ได้!!! กริยาจำาพวกนี้นะครับ กรุณาเอามาแต่งเฉพาะใน Simple Tense เท่านั้นนะครับ ๑. กริยาที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น see, smell, feel, hear, taste, etc. I see the beautiful mountain. กริยาที่นำามาแต่งเป็น

ฉันดูภูเขาอันงดงาม

เช่น

: I am seeing the beautiful mountain. ( กรุณาอย่าคิดแบบภาษาไทยนะครับ ไม่เหมือนกันครับ ) ๒. กริยาที่แสดงถึงภาวะของจิต ( State of Mind ), แสดงความรู้สึก ( Feeling ), ความผูกพัน ( Relationship ) ไม่นิยมนำามาแต่งใน Continuous Tense เช่น know, understand, love, hate, seem, like, disagree, notice, remember, dislike, prefer, distrust, possess, own, differ, deserve, consist of, doubt, suppose, mean, contain, refuse, depend, ไม่ใช้

appear, wish, have, detest, trust, recall, forget, consider, agree, belong, believe, etc. I know him very well

9

ผมรู้จักเขาดี

: I am knowing him very well. He believes that taxes are too high. อย่าใช้

เขาเชื่อว่าภาษีแพงเกินไป อย่าใช้

: He is believing that taxes are too high.

หลักการเติม

-ing

(1). กริยาทีล่ งท้ายด้วย e ให้ตดั e ทิ้งเสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น write => writing, move => moving, live => living tremble => trembling, argue => arguing, take => taking (2). กริยาทีล่ งท้ายด้วย ee ให้เติม -ing ได้เลย ไม่มีการตัดอะไรทั้งสิ้น เช่น see => seeing, agree => agreeing, free => freeing (3). กริยาทีล่ งท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยนเป็น y ก่อน แล้วถึงจะเติม -ing เช่น die => dying, lie => lying, tie => tying [ หมายเหตุ : ski => skiing ] (4). กริยาที่มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว และเป็นพยางค์เดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีกตัวหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น stop => stopping, run => running, sit => sitting, get => getting, dig => digging (5). กริยาที่มี 2 พยางค์ซึ่งออกเสียงหนัก ( Stress ) ที่พยางค์หลัง และพยางค์หลังมีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีกตัวหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น occur => occurring, begin => beginning, refer => referring, offer => offerring (6). กริยา 2 พยางค์ต่อไปนี้ จะเพิ่มตัวสะกดเข้ามาแล้วเติม -ing หรือไม่ก็ได้ [ แบบอเมริกัน ] : travel => traveling, quarrel => quarreling [ แบบอังกฤษ ] : travel => travelling, quarrel => quarrelling บทที่ ๕

TENSES (3) : Past Simple Tense Subject + Verb ( Past Form ) + ( Object )

1. ใช้แสดงเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ้นสุดลงไปแล้ว มักจะมี Adverb บอกเวลาในอดีตกำากับด้วย เช่น yesterday, once, ago, formerly, last night, last year, last month, etc. เช่น She saw you yesterday. หล่อนเห็นคุณเมื่อวานนี้

I went to Berline last year. ผมไปเบอร์ลินเมื่อปีที่แล้ว

My mother went out four hours ago. พ่อของฉันออกไปข้างนอก 4 ชั่วโมงแล้ว 2. ใช้เมื่อแสดงเหตุการณ์หนึ่งกระทำาเป็นประจำาในอดีต แต่บัดนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เช่น When he was young, he was very clever. เมื่อตอนเขายังเด็ก เขาเป็นคนที่ฉลาดมากๆ

I used to get up early in the morning. ฉันเคยตื่นนอนตอนเช้าตรู่ ( ปัจจุบันไม่ได้ตื่นเช้าแล้ว ) 3. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาหนึ่งในอดีต และระยะเวลานั้นได้ล่วงเลยมาแล้ว เช่น They lived there during last spring. พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว

I heard the blacksmith working all day long. ฉันได้ยินช่างตีเหล็กทำางานตลอดทั้งวัน

4. ใช้แสดงถึงการสมมุติหรือข้อแม้ ในปัจจุบันหรือในอนาคต ซึ่งจะตามหลังคำาว่า If, Unless, Wish If I were you I would love her.

เช่น

ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะรักเธอ

I wish you would love me one day. ฉันหวังว่าเธอจะรักฉันซักวันหนึ่ง บทที่ ๖

TENSES (4) : Present Perfect Tense Subject + Verb to have + past participle

วิธีใช้

1. แสดงถึงการกระทำาที่เกิดขึ้นในอดีต และดำาเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันในขณะที่พูดอยู่ เช่น Her family have lived in Chiang Mai since 1979.

10

11

. . 1979 I have studied English for ten years. ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ครอบครัวของเธออาศัยอยู่ในเชียงใหม่ตั้งปี ค ศ

2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งสิ้นสุดลงใหม่ๆ มักจะมีคำาว่า just, already, yet เช่น I have already finished my homework. ผมเพิ่งทำาการบ้านของผมเสร็จ

He has not read that book yet. เขายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นเลย

3. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ผลของเหตุการณ์ก็ยังคงมีมาจนถึงปัจจุบันในขณะที่พูด เช่น I have read them before. ฉันเคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน

The servant has cooked her dinner. คนรับใช้ทำาอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว

4. ใช้แสดงถึงการกระทำาซึ่งเริ่มต้น และสิ้นสุดลงในอดีต แต่ยังอาจจะเกิดขึ้นได้อีก มักจะมี Adverb of Frequency เช่น sometimes, once, twice, many times, several times, ever, never ตัวอย่างเช่น I have visited Los Angeles twice. ผมไปเที่ยวลอสแองเจลลิสมา 2 ครั้งแล้ว This is all of the best books I have ever read.

อยู่ด้วย

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยอ่านมา

Since และ For ผิดพลาด! ชื่อแฟ้มไม่ได้ระบุ " Since " แปลว่า 'ตัง้ แต่' ใช้กบั เวลาอันเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นั้นในอดีต จะเป็น Since + เวลาที่เริ่มต้น เช่น since yesterday, since 1979, since the Cold War, since Monday, since last week เป็นต้น นอกจากนี้ Since อาจจะบวกกับประโยคที่เป็น Past Simple Tense ได้ด้วย รูปแบบจะเป็น Present Perfect Tense + since + Past Simple Tense หลักการใช้

เช่น

since his father died, since I was born, since she quit her work เป็นต้น " For "

'

แปลว่า เป็นเวลา

'

ใช้กับจำานวนเวลานับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มาจนถึงขณะที่พูด

ตัง้ แต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันว่าเป็นเวลานานเท่าไร เพราะฉะนั้น

For +

For

ระยะเวลา ยกตัวอย่างเช่น

ใช้บอกความยาวของเวลา

for two days, for six hours, for three years, for a long time, for a few minutes เป็นต้น

12

Yet, Just, และ Already " Yet " แปลว่า 'ยัง' จะใช้ในประโยคปฏิเสธเสมอครับผม และนิยมวางไว้ท้ายสุดของประโยค เช่น I have not watched that movie yet. " Just " แปลว่า 'เพิ่งจะ' ส่วน " Already " แปลว่า 'เรียบร้อยแล้ว' จะใช้ในประโยคบอกเล่าครับ และจะ วางไว้หน้ากริยาหลัก ( Main Verb ) เสมอ เช่น He has just gone to work. I have already closed the window. อย่าลืมนะครับ!!! ท่านต้องแม่นในการผันกริยาช่องที่ 3 คือ Past Participle เมื่อต้องใช้ Perfect Tense ทั้งแบบ Regular Verbs หรือ Irregular Verbs ครับผม!!! (O'_'O) หลักการใช้

บทที่ ๗

Tenses (5) : Future Simple Tense วิธีใช้

1. ใช้เพื่อแสดงถึงการกระทำาหรือสภาพในอนาคต เช่น He will travel to Singapore next year. เขาจะไปเที่ยวสิงคโปร์ปีหน้า

The plane will leave the airport in a few minutes. เครื่องบินจะออกจากท่าอากาศยานในอีก 2-3 นาทีข้างหน้า (be) going to แทน will หรือ shall 1. ใช้ (be) going to + V1 เพื่อแสดงความตั้งใจ ( Intention ) แทน will และ shall ได้ เช่น She is going to buy a car next month. หล่อน ( ตั้งใจ ) จะซื้อรถยนต์เดือนหน้า We are going to visit our grandfather tomorrow. พวกเรา ( ตั้งใจ) จะไปเยี่ยมคุณปู่ในวันพรุ่งนี้ การใช้

2. ใช้ (be) going to + V1

will

และ

shall

I think it is going to rain. ฉันคิดว่าฝนจะต้องตก ( อย่างแน่นอน ) 3. ใช้ (be) going to + V1 เพื่อแสดงข้อความซึ่งเชื่อว่าจะเป็นจริงเช่นนั้นโดยปราศจากข้อสงสัยแทน will

และ

shall

ได้ เช่น

ได้ เช่น

เพื่อแสดงการคาดคะเน

( Suggestion )

His wife is going to have a baby.

แทน

13

ภรรยาของเขาจะมีลูกแล้ว

(be) going to + V1 ในกรณีต่อไปนี้ 1. เหตุการณ์ที่เป็นอนาคตอันแท้จริง ( Exact Futurity ) ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น I will be twenty-one next year. ผมจะมีอายุ 21 ในปีหน้า ( ห้ามใช้ : I am going to be twenty-one next year. ) Today is the 3rd; tomorrow will be the 4th. วันนี้เป็นวันที่ 3 พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ 4 ( ห้ามใช้ : Today is the 3rd; tomorrow is going to be the 4th. ) 2. ห้ามใช้ (be) going to + V1 ในประโยคเงื่อนไขที่เชื่อมด้วย If ใช้ได้เฉพาะ will และ shall เท่านั้น John will be successful if he tries hard. ห้ามใช้

จอห์นจะประสบความสำาเร็จถ้าเขาพยายามอย่างจริงจัง

( ห้ามใช้ : John is going to be successful if he tries hard. ) They will be on time if they hurry. พวกเขาจะทันเวลาถ้าพวกเขารีบหน่อย

( ห้ามใช้ : They are going to be on time if they hurry. ) 3. ห้ามใช้ (be) going to + V1 กับกริยาที่แสดงการรับรู้ เช่น understand, forget, like, remember, love, know, etc. I will remember this experience forever. ผมจะจำาประสบการณ์นี้ตลอดไป

( ห้ามใช้ : I am going to remember this experience forever. ) He will like it if he sees. เขาคงจะชอบถ้าเขาเห็น

(

ห้ามใช้

: He is going to like it if he sees. ) บทที่ ๘

Singular and Plural

หลักการเปลี่ยน

14

1. คำานามโดยทั่วไปเมื่อเปลี่ยนจากเอกพจน์เป็นพหูพจน์มักจะเติม " s " ลงที่ท้ายคำานั้น เช่น cup -----> cups ( ถ้วย ) book -----> books ( หนังสือ ) elephant -----> elephants ( ช้าง ) lamp -----> lamps ( โคมไฟ ) house -----> houses ( บ้าน ) car -----> cars ( รถยนต์ ) 2. คำาเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย s, x, z, ch หรือ sh เมื่อเปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์จะต้องเติม es เช่น kiss -----> kisses ( จูบ ) box -----> boxes ( กล่อง ) watch -----> watches ( นาฬิกา ) brush -----> brushes ( แปรง ) topaz -----> topazes ( บุษราคัม ) ยกเว้น : monarch -----> monarchs ( กษัตริย์ ) เพราะว่าพยัญชนะ ch ออกเสียงเป็น /ค/ ไม่ใช่ /ช/ ครับ

3. คำาเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย o และหน้า o เป็นพยัญชนะ ให้เติม es เช่น motto -----> mottoes ( คติพจน์ ) potato -----> potatoes ( มัน ) mango ----> mangoes ( มะม่วง ) ยกเว้น : คำาเหล่านี้เติม s เมื่อทำาเป็นพหูพจน์ bamboo -----> bamboos ( ไม้ไผ่ ) radio ---->radios (วิทยุ ) kilo -----> kilos ( กิโลชั่งขายของ ) piano -----> pianos ( เปียโน ) kangaroo -----> kangaroos ( จิงโจ้ ) dynamo -----> dynamos ( ไดนาโม ) photo -----> photos ( รูปถ่าย ) memo -----> memos ( บันทึก ) zero -----> zeros ( เลขศูนย์ ) zoo ------> zoos ( สวนสัตว์ ) banjo -----> banjos ( เครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ) embryo -----> embryos ( เด็กในท้อง ) casino ------> casinos ( บ่อนการพนัน ) solo ------> solos(โซโล ) Eskimo -----> Eskimos ( ชนเผ่าเอสกิโม ) studio -----> studio ( สตูดิโอ ) ฯลฯ หมายเหตุ : คำาเหล่านี้จะเลือกเติม s หรือ es ก็ได้ เมื่อต้องการทำาเป็นพหูพจน์ ได้แก่ buffalo ( ควาย ), cargo ( สินค้า ), calico ( ผ้าเนื้อหยาบ ), domino ( โดมีโน ), grotto ( ถำ้า ), halo ( แสงเป็นวงกลม ), lasso ( เชือกบ่วงบาศ ), mosquito ( ยุง ), portico ( หลังคาทางเดิน ), proviso ( ข้อแม้ ), volcano ( ภูเขาไฟ )

4. คำานามที่ลงท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น lady -----> ladies ( สุภาพสตรี ) country -----> contries ( -----> cities ( เมือง )

15 ประเทศ

) city

5. คำานามที่ลงท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย เช่น donkey ------> donkeys ( ลา ) boy -----> boys ( เด็กชาย ) day -----> days ( วัน ) monkey -----> monkeys ( ลิง ) key -----> keys ( ลูกกุญแจ ) ray ----> rays ( รังสี ) 6. คำานามที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe ให้เปลี่ยน f หรือ fe เป็น v แล้วเติม es เช่น wife -----> wives ( ภรรยา ) life -----> lives ( ชีวติ ) knife ------> knives ( มีด ) wolf -----> wolves ( หมาป่า ) calf -----> calves ( ลูกวัว ) shelf -----> shelves ( หิ้ง ) หมายเหตุุ ๑). คำาต่อไปนี้สามารถเติม s หรือจะใช้ -ves ก็ได้ คือ scarf ( ผ้าพันคอ ), wharf ( ท่าเรือ ) ๒). คำาต่อไปนี้ให้เติมด้วย s ไปเลย ได้แก่ reef ( หินโสโครก ), grief ( ความเศร้าโศก ), gulf ( อ่าว ), dwarf ( คนแคระ ), turf ( พื้นหญ้า ), chief ( หัวหน้า ), roof ( หลังคา ), hoof ( กีบเท้าสัตว์ ), cliff ( หน้าผา ), proof ( หลักฐาน ), strife ( การวิวาท ), safe ( ตู้นิรภัย ), fife ( ขลุ่ย ) handkerchief ( ผ้าเช็ดหน้า )

7. นามบางคำาจะเปลี่ยนรูปไปจากเดิมเมื่อเป็นพหูพจน์ ซึ่งจะต้องใช้การจดจำา เช่น man -----> men ( ผู้ชาย ) woman -----> women ( ผู้หญิง ) foot -----> feet ( ฟุต ) mouse ------> mice ( หนู ) louse -----> lice ( เหา ) child -----> children ( เด็ก )

16

goose -----> geese ( ห่าน ) tooth -----> teeth ( ฟัน ) ox -----> oxen ( วัวตัวผู้ ) 8. คำานามบางคำามีรูปเอกพจน์เหมือนกับรูปพหูพจน์ เช่น sheep ( แกะ ), deer ( กวาง ), salmon ( ปลาแซลมอน ), grouse ( ไก่ป่า ), cod ( ปลาค็อด ), fish ( ปลา ), bison ( กระทิง ), swine ( หมูป่า ), reindeer ( กวางเรนเดียร์ ), herring ( ปลาเฮอร์ริง ) 9. คำาที่มาจากภาษากรีกหรือละติน เมื่อเป็นพหูพจน์จะเป็นไปตามกฎของภาษากรีกหรือละติน เช่น agendum -----> agenda ( หัวข้อการประชุม ) erratum -----> errata ( ผิด ) datum -----> data ( ข้อมูล ) memorandum -----> memoranda ( บันทึก ) radius -----> radii ( รัศมี ) crisis -----> crises (วิกฤตการณ์ ) phenomenon -----> phenomena ( ปรากฏการณ์ ) oasis -----> oases ( โอเอซิส ) axis -----> axes(แกน ) thesis -----> theses ( วิทยานิพนธ์ ) appendix -----> appendices (ดรรชนี) basis -----> bases(พื้นฐาน ) 10. คำานามผสมที่มีบุพบทมาคั่น ให้เติม s ที่ทา้ ยคำาแรก หากต้องการทำาเป็นพหูพจน์ เช่น sister-in-law -----> sisters-in-law ( พี่สะใภ้, น้องสะใภ้ ) passer-by -----> passers-by ( คนที่เดินผ่านไปมา ) ผมขอสรุปคร่าวๆ แต่เพียงเท่านี้นะครับ เรื่องเอกพจน์พหูพจน์นี้ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนกันพอสมควรทีเดียวนะครับ คำาบางคำาอาจจะมีรูปเสมือนเป็นพหูพจน์ แต่จริงๆ

news เป็นต้นครับ หรือคำาบางคำา ก็ต้องทำาให้เป็นรูปพหูพจน์อยู่เสมอ อย่างเช่น pants, glasses, scissors เป็นต้น คำาบางคำาแม้รูปเอกพจน์กับพหูพจน์ อาจจะให้ความหมายที่แตกต่างกันไปเลยครับ ........ แล้วเป็นเอกพจน์ก็มีนะครับ อย่างเช่น

บทที่ ๙

Tenses (6) : Past Continuous Tense Subject + was, were + V-ing + Object

วิธีใช้

1. ใช้ในเหตุการณ์ที่แสดงอาการกำาลังกระทำาในอดีต เช่น They were speaking in the bookstore. พวกเขากำาลังพูดอยู่ในร้านขายหนังสือ

17

She was going to post office. หล่อนกำาลังจะไปที่ทำาการไปรษณีย์

2. ใช้แสดงถึงการกระทำาที่ต่อเนื่องกันในอดีต เช่น What were you doing all last summer? เธอทำาอะไรตลอดฤดูร้อนที่แล้วเหรอ? I was enjoying myself at the seaside. ผมรื่นเริงกับการเที่ยวทะเล

3.

2

ใช้เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น โดยมีหลักการแต่งประโยคดังนี้ คือ

เหตุการณ์ โดยขณะที่เหตุการณ์อันหนึ่งกำาลังดำาเนินไปอยู่ก่อน และยังมีเหตุการณ์ที่สอง ซึ่งเป็นเหตุการณ์สั้นๆ เกิดแทรกเข้ามา

Past Continuous Tense เหตุการณ์ที่เกิดทีหลังใช้ Past Simple Tense เช่น While he was walking along the road, he saw an accident. เหตุการณ์ใดที่ดำาเนินอยู่ใช้

ขณะที่เขากำาลังเดินไปตามถนนอยู่นั้น เขาก็ได้เห็นอุบัติเหตุ

When I returned home, she was playing pingpong. ตอนทีฉ่ ันกลับบ้าน เธอกำาลังเล่นปิงปองอยู่

4.

2 อย่างที่เกิดขึน้ หรือดำาเนินอยู่หร้อมกันในเวลาเดียวกันในอดีต ซึ่งจำาเป็นต้องใช้ Past Continuous ซึ่งมักจะมีคำาว่า while หรือ as มาเชื่อม เช่น I was playing while you were studying. ใช้กับเหตุการณ์

ฉันกำาลังเล่นในขณะที่เธอกำาลังเรียน

ทั้งคู่

He was listening to the radio as she was cooking. เขากำาลังฟังวิทยุในขณะที่หล่อนกำาลังทำาอาหาร ผิดพลาด

!

ชื่อแฟ้มไม่ได้ระบุ

5. ใช้กับเหตุการณ์ที่กำาลังเกิดขึ้นหรือดำาเนินอยู่ ณ เวลาจุดใดจุดหนึ่งในอดีตตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน เช่น They were cleaning the room at eight o'clock yesterday. พวกเขากำาลังทำาความสะอาดห้องตอน 8 โมงเมือ่ วานนี้ When I saw him, he was watering in the garden. ขณะที่ผมเห็นเขา เขากำาลังรดนำ้าตันไม้อยู่ในสวน

6. ใช้ในการสมมุติหรือเป็นข้อแม้ หรือการคาดคะเนเพื่อแสดงถึงการกระทำาที่ต่อเนื่องกัน เช่น What would you do if it was raining? คุณจะทำาอย่างไรถ้าฝนกำาลังตก?

18

I wish I were going with you to England. ฉันคิดว่าฉันกำาลังจะไปอังกฤษกับเธอ

: กรุณาลองกลับไปอ่านที่ บทที่ 4 Present Continuous Tense Continuous ( ทุกชนิด ) ไม่ได้ด้วยนะครับ เมื่อเป็นการทบทวนแล้วเสริมความเข้าใจอีกรอบคร้าบ หมายเหตุ

เรื่องกริยาที่นำามาแต่งเป็น

บทที่ ๑๐

Tenses (7) : Present Perfect Continuous Tense Subject + have/has been + V-ing + Object

วิธีใช้

( ขณะที่พูด ) และจะคงดำาเนินต่อไปอีกในอนาคต ( นี่คือจุดที่แตกต่างจาก Present Perfect Tense ครับ ) มักจะมีคำาว่า since ( from that time ), ever, until now, for......weeks,for a long time, since then, since ...... o'clock ยกตัวอย่างเช่น I have been living here for ten years. ผมได้อยู่อาศัยที่นี่มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ( ประโยคนี้หมายความว่า ผมได้อยู่อาศัยที่นี่มาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีทแี่ ล้ว จนกระทั่งมาถึงเวลาที่พูดประโยคนี้ก็ได้อยู่เป็นเวลา 10 ปี และปีที่ 11 หรือ 12 หรือต่อไปเรื่อยๆ ก็จะยังคงอยู่ต่อไปอีก แต่ถ้าผู้พูดกล่าวว่า " I have lived here for ten years. " ก็หมายความว่าผมได้อยู่อาศัยมาแล้วเป็นเวลา 10 ปี แต่วา่ ปีที่ 11 หรือต่อๆ ไปจะอยู่ต่อหรือไม่นั้น ไม่อาจทราบได้ครับ ) อย่างไรก็ตาม Tense นี้ไม่ค่อยใช้กันบ่อยนัก ส่วนมากนิยมใช้ Present Perfect Tense กันมากกว่าครับผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กริยาที่มีความหมายเป็นการกระทำาที่ไม่นาน ไม่ควรนำามาแต่งด้วย Present Perfect Continuous Tense โดยเด็ดขาด กริยาที่สามารถนำามาแต่งเป็น Present Perfect Continuous Tense นั้น แสดงถึงการกระทำา หรือสภาพซึ่งเริ่มขึ้นในอดีตและได้กระทำาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จะต้องคำานึงว่าเป็นกริยาที่สามารถ

play, teach, study, learn, live, work, stand, sit, sleep, read, wait, rest เป็นต้น กระทำานานๆ ได้นะคร้าบ เช่น

บทที่ ๑๑

Tenses (8) : Past Perfect Tense Subject + had + V3 ( Past Participle ) + Object

19

วิธีใช้

1 ).

ใช้แสดงถึงการกระทำาที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีเหตุการณ์

Past Perfect Tense ดังตัวอย่าง

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาภายหลังใช้

2

เหตุการณ์เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะใช้

Past Simple Tense

When I had done my work, I went home. เมื่อฉันทำางานเสร็จแล้ว ฉันก็กลับบ้าน

( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนคือ การทำางานที่เสร็จแล้ว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังคือ ฉันกลับบ้าน ) I had lost my pen so I was unable to do the exercise. ฉันทำาปากกาหาย ฉันจึงไม่สามารถทำาแบบฝึกหัดได้

( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนคือ ฉันทำาปากกาหาย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังคือ ฉันไม่สามารถทำาแบบฝึกหัดได้ ) 2 ). ใช้กบั กริยาที่เป็น Past และ Present Perfect Tense เมื่อต้องการทำา Direct Speech ให้เป็น Indirect Speech Direct Speech : " I have finished my work. " she said. Indirect Speech : She said that she had finished her work เธอพูดว่าเธอได้ทำางานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

Direct Speech : " What did you do with the money? ", she asked. Indirect Speech : He asked me that what I had done with the money. เขาได้ถามผมว่าได้นำาเงินไปใช้อะไรบ้าง? 3 ). ใช้ตามหลัง if, unless, wish, etc. เพื่อแสดงการสมมุติที่ไม่เป็นจริงในอดีต ( If-Clause แบบที่ 3 : Past Unreal ดูเพิ่มเติมได้ที่ Chapter 1 = If-Clause ( ประโยคเงื่อนไข ) = ได้นะคร้าบ ) ตัวอย่างเช่น If you had come in time, my brother could not have died. ถ้าเธอมาทันเวลาพี่ชายของฉันคงไม่ตาย

I wish you had told me before I came. ผมหวังว่าคุณจะบอกผมก่อนที่ผมจะมา บทที่ ๑๒

Tenses (9) : Future Perfect Tense Subject + will + have + V3 ( Past Participle ) + Object

20

วิธีใช้

1). แสดงถึงการกระทำาซึ่งสำาเร็จเรียบร้อยหรือใกล้ระยะเวลาที่กำาหนดในอนาคต เช่น He will have left the house in an hour. เขาจะออกจากบ้านไปในเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้

I will have finished my dinner before half past eight. ฉันจะรับประทานอาหาเย็นเสร็จก่อนเวลา 8.30 น. 2). แสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ณ เวลาใดเวลาหนึ่งตามที่ระบุไว้อย่างชัดเจน มักจะมีคำาว่า by tomorrow, by next month, by the end of June, by dinner time, by next spring, etc. เช่น I will have finished my homework by dinner time. ก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น ผมจะทำาการบ้านเสร็จเรียบร้อย

( ขณะที่พูดยังทำาการบ้านไม่เสร็จ แต่เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นจะเสร็จอย่างแน่นอน ) They will have moved in a new house by the end of next year. เมื่อสิ้นปีหน้า พวกเขาจะได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้นหลังใหม่แล้ว

(

ขณะที่พูดยังไม่ได้ย้าย ก่อนสิ้นปีจะย้ายอย่างแน่นอน

) บทที่ ๑๓

Errors in Tenses (1) 1). มักจะใช้ Tense ปะปนกันภายในหนึ่งประโยค เช่น ไม่ใช้ : They asked him to be captain, but he refuses. ใช้ : They asked him to be captain, but he refused. พวกเขาขอร้องให้เขาเป็นกัปตัน แต่เขาปฏิเสธ คำาอธิบาย

2).

:

ถ้าเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่เป็นอดีต ประโยคที่เชื่อมกันต่อไปจะต้องเป็น

มักจะลืมเติม

"s"

กับประธานเอกพจน์ บุรุษที่

3

Past Tense

ทั้งหมด

21

: He walk to school everyday. ใช้ : He walks to schools everyday. ไม่ใช้

เขาเดินไปโรงเรียนทุกวัน

: ใน Present Simple Tense กริยาที่ใช้กับประธานเอกพจน์ บุรษุ ที่ 3 ( He, She, It ) จะต้องเติม "s" เสมอ ( ข้อนี้เป็นข้อที่คนไทยมักจะลืมมากทีส่ ุดครับ!!! ) 3). มักใช้ "as if" หรือ "as though" ในรูปของ Present Tense ไม่ใช้ : John talks as if/as though he knows everything. ใช้ : John talks as if/as though he knew everything. คำาอธิบาย

จอห์นพูดประหนึ่งว่าเขารู้ไปเสียทุกอย่าง คำาอธิบาย เสมอ

:

ถ้ามีวลี

"as if"

ถ้าในกรณีที่กริยาที่ตามหลังเป็น

หรือ

"as though" (

Verb to Be

จะต้องใช้

ประหนึ่งว่า

"were"

)

ในประโยค จะต้องตามด้วย

Past Tense

เสมอ

บทที่ ๑๔

Errors in Tenses (2) 11). มักใช้กริยาเอกพจน์บุรษุ ที่ 3 หลังคำา " Does " 11.1 ประโยคคำาถาม ไม่ใช้ : Does the gardener waters the flowers? ใช้ : Does the gardener water the flowers? คนสวนรดนำ้าต้นไม้หรือเปล่า? 11.2 ประโยคปฏิเสธ ไม่ใช้ : The gardener does not waters the flowers. ใช้ : The gardener does not water the flowers. คนสวนไม่ได้รดนำ้าต้นไม้

" Does " จะต้องเป็น Infinitive without to เท่านั้น และไม่ใช้กริยาเอกพจน์บุรุษที่ 3 และในการตอบคำาถามประโยคที่ขึ้นต้นด้วย " Does " จะต้องเป็น Present Tense และใช้กริยาเอกพจน์ บุรุษที่ 3 เสมอ เช่น ถามว่า : Does he like coffee? ตอบว่า : Yes, he likes coffee. หรือ : Yes, he does. 12). มักใช้กริยาที่ตามหลังคำาว่า " Did " ในรูป " Past Tense " 12.1 ประโยคคำาถาม คำาอธิบาย

:

หลังคำา

เด็ดขาด

22

: Did you went to school yesterday? ใช้ : Did you go to school yesterday? เมื่อวานนี้เธอไปโรงเรียนหรือเปล่า? 12.2 ประโยคปฏิเสธ ไม่ใช้ : I did not went to school yesterday. ใช้ : I did not go to school yesterday. ไม่ใช้

เมื่อวานนีฉ้ ันไม่ได้ไปโรงเรียน คำาอธิบาย

:

กริยาที่ตามหลังคำากริยาช่วย

Did

นั้น จะต้องตามด้วย

Infinitive without to

เสมอ

บทที่ ๑๕

Indirect Speech : Introduction ข้อแตกต่างระหว่าง Direct กับ Indirect Speech Direct Speech คือ การนำาเอาคำาพูดของคนอื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้คู่สนทนาโดยตรง เช่น John said, " He has two sisters. " จอห์นพูดว่า " เขามีพี่สาว 2 คน " คำาว่า He has two sisters เป็นคำาที่หยิบมาพูดโดยตรงและไม่ได้มีการดัดแปลงใดๆ ทั้งสิ้นครับ สำาหรับ Indirect Speech คือ การนำาเอาคำาพูดของคนอื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้คู่สนทนาฟังโดยดัดแปลงเป็น คำาพูดของผู้พูดอีกครั้งหนึ่ง จากประโยค Direct Speech ข้างต้น สามารถทำาเป็น Indirect Speech ได้ดังนี้ John said that he had two sisters. จอห์นพูดว่าเขามีพี่สาว 2 คน รูปแบบของ Direct Speech โดยทั่วไป ง่ายๆ เลยนะครับ หากเราจะสร้างประโยค Direct Speech ก็จะต้องบอกว่าใครเป็นคนพูด เช่น he said, they said, I said, my friend said, her brother said เป็นต้นครับ จะเอาวางไว้ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้ครับ จากนั้น

" _____ " แบบนี้ด้วยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น They said, " Linda will go to Bangkok tomorrow. " ตรงประโยคคำาพูดจะต้องมีเครื่องหมายอัญประกาศ หรืออาจจะ

" Linda will go to Bangkok tomorrow. ", they said. โปรดสังเกตด้วยนะครับว่าระหว่างประโยคคำาพูดนั้นกับผู้พูด จะต้องมีเครื่องหมาย Comma ( , ) คัน่ ด้วยนะครับ คราวหน้าผมจะมาเริ่มพูดถึงแต่ Indirect Speech แล้วนะครับ ติดตามอ่านได้นะคร้าบ (o'_'o) บทที่ ๑๖

Indirect Speech : หลักการเปลี่ยน การเปลี่ยนประโยค Direct Speech เป็น Indirect Speech 1. เปลี่ยนสรรพนามบุคคล ( Personal Pronoun )

นั้น หลักสำาคัญคือคุณจะต้องเปลี่ยน

2. 3.

เปลี่ยน

23

Tense

เปลี่ยนถ้อยคำาที่แสดงความใกล้ให้เป็นไกล

การเปลี่ยนสรรพนามบุคคล

DIRECT I me my mine myself we us our ours ourselves you ( Subject ) you ( Object ) your yours yourself ( -ves )

INDIRECT he or she him or her his or her his or hers himself or herself they them their theirs themselves I me my mine myself ( ourselves ) การเปลี่ยน Tense

DIRECT Present Simple Tense Present Continuous Tense Present Perfect Tense Past Simple will shall can may must

INDIRECT Past Simple Tense Past Continuous Tense Past Perfect Tense Past Perfect Tense would should could might had to

การเปลี่ยนถ้อยคำาที่แสดงความใกล้ให้เป็นถ้อยคำาที่แสดงความไกล

24

DIRECT INDIRECT today, tonight that day, that night yesterday the day before, the previous day last the night/week/month/year night/week/month/year before the day before yesterday two days before the day after two days after, in two days' time tomorrow the next, the following day next week/month/year the week/month/year after thus so now then, at that time ago before come go this, those that, those here there บทที่ ๑๗

Indirect Speech : ประโยคคำาสั่งหรือประโยคขอร้อง หลักการเปลี่ยน Direct Speech ให้เป็น Indirect Speech ในกรณีที่ประโยค Direct Speech เป็นประโยคคำาสั่งหรือประโยคขอร้อง 1. เลือกใช้คำากริยานำา ( Reportig Verb ) ให้เหมาะสม ตามปรกติมักจะใช้คำาเหล่านี้ ask ขอร้อง ( ให้ทำากระทำา ) โดยปรกติแล้วจะใช้คำานี้เมื่อประโยคเดิมมีคำาว่า "please" ( asked ) tell ( toldบอก ( ให้ทำา...... ) เช่นบอกให้ทำาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คำานี้นิยมใช้มากเพราะเป็นคำากลางๆ ไม่เฉียบขาดเกินไป และไม่อ่อนเกินไป ในกรณีที่หาคำาเหมาะสมไม่ได้ ขอแนะนำา ให้ใช้คำานี้นะครับ ) warn ( warned ), advise เตือน, แนะนำา ( ให้กระทำา ) เช่น แนะนำา ตักเตือนให้กระทำาสิ่งในสิ่งหนึ่ง ( advised ) order ( ordere สั่ง ( ธรรมดา ) เช่น อาจารย์สั่งนักศึกษา d)

25

comman d, สั่ง ( เฉียบขาด ) เช่น ผูบ้ ังคับบัญชาสั่งลูกน้อง ( comma nded ) beg งขอร้อง ( ให้กระทำา ) ใช้เช่นเดียวกับ ask แต่ความหมายของคำาๆ นี้ จะดูอ่อนน้อม กว่านะครับ ( begged ควรใช้ในกรณีที่ประโยคเดิมมีคำาสุภาพมากในการขอร้อง เช่น Would you mind ( please ) ...............? ) 2. จะต้องระบุผสู้ ั่ง ( ขอร้อง ) และผู้ถูกสั่ง ( ขอร้อง ) เสมอ 3. สั่งให้ทำาอะไร ขอร้องให้ทำาอะไร ให้เติม to หน้ากริยาตัวนั้นเลยครับ แต่ถ้ากริยานั้นอยู่ในรูปปฏิเสธให้ใช้ not to แทนครับผม ตัวอย่างประโยค

Direct : He said to me, " Please open that window. " Indirect : He asked me to open that window. Direct : She said to my brother, " Don't shut the door. " Indirect : She told my brother not to shut the door. Direct : He said to his friend, " Don't smoke too much. " Indirect : He warned to his friend not to smoke too much. Direct : The doctor to me, " Drink water as much as you can. " Indirect : The doctor advised to me to drink water as much as I can. Direct : The teacher said to the students, " Be quiet! " Indirect : The teacher ordered the students to be quiet. Direct : The General said to his soldiers, " Be patient! " Indirect : The General commanded to his soldiers to be patient. Direct : She said to her boss, " Please sign your name in this paper. " Indirect : She begged to her boss to sign his name in this paper.

26

บทที่ ๑๘

Indirect Speech :

ประโยคคำาถาม

หลักการเปลี่ยน

1. เปลี่ยนคำากริยานำา ( Reporting Verb ) จาก said ให้เป็น asked, inquired, หรือ enquired 2. ถ้าประโยคคำาถามใน Direct Speech เป็นประโยคคำาถามแบบต้องตอบด้วย " YES หรือ NO " นั่นความหมายว่า ใช้กริยาช่วยขึ้นต้นประโยค ( Verb to be, Verb to do, Verb to have, Will, Shall, Can, May, etc. )

เมื่อทำาเป็น

Indirect Speech

ให้เปลี่ยนกริยาช่วยเหล่านั้น

if หรือ whether เป็นคำาเชื่อมระหว่างประโยคนำากับประโยคตาม 3. ถ้าประโยคคำาถามใน Direct Speech เป็นประโยคคำาถามแบบขึ้นต้นด้วย Question Word นั่นคือ What, Where, When, Why, Who, Which, How ไม่ต้องใส่ if หรือ whether ให้ใช้ Question Word เหล่านั้นมาทำาหน้าที่ได้เลย 4. ข้อความของ Indirect Question จะต้องทำาให้เป็น ประโยคบอกเล่า เสมอ 5. หลักการเปลี่ยน Tense ยังคงใช้วิธีการเดิม เป็น

ตัวอย่างประโยค

Direct Speech Direct : He said to me, " Are you going to Chiang Mai on Sunday? " Indirect : He asked me if I was going to Chiang Mai on Sunday. Direct : She said to me, " Have you ever studied French? " Indirect : She inquired me whether I had ever studied French. Direct : They said to us, " Do you speak Chinese? " Indirect : They asked us if we spoke Chinese. Direct : She said to him, " Can you swim? " Indirect : She enquired him whether he could swim. Direct : John said to her, " Will you go to the party tonight? " Indirect : John asked her if she would go to the party that night. ใช้กริยาช่วยขึ้นต้นประโยคใน

Direct : We said to him, " Should we postpone the appointment to next Monday? " Indirect : We inquired him whether we should postpone the appointment to Moday after.

27

Question Word ขึน้ ต้นประโยคใน Direct Speech Direct : I said to Tony, " How long have you been here? " Indirect : I enquired Tony how long he had been here. Direct : She said to me, " What is your name? " Indirect : She asked me what my name was. Direct : They said to him, " Where did you go last night? " Indirect : They inquired him where he had gone the night before. Direct : My mother said to me, " Why don't you go to school yesterday? " Indirect : My mother asked me why I did not go to school the day before. ใช้

บทที่ ๑๙

Indirect Speech : หลักการเปลี่ยน

ประโยคที่ใช้

" Let's "

Direct Speech ปรากฏสำานวน Let's นะครับ เวลาที่จะทำาให้เป็น Indirect Speech จะต้องใช้กริยานำา ( Reporting Verb ) ว่า suggest, advise, urge, propose นะครับ จากนั้นจึงตามด้วย them + infinitive with " to " นะครับ ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันเลยนะครับ Direct : She said, " Let's go shopping. " Indirect : She urged them to go shopping. Direct : Eugene said, " Let's study English. " Indirect : Eugene proposed them to study English. เมื่อประโยค

Direct : The teacher said, " Let's play a game. " Indirect : The teacher advised them to play a game. Direct : The speaker said, " Let's eat vegetables. " Indirect : The speaker suggested them to eat vegetables. เป็นอย่างไรบ้างครับ ไม่อยากเลยใช่ไหมครับผม คิดว่าท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจวิธีการใช้แล้วใช่ไหมครับ? Indirect Speech : หลักการเปลี่ยน

บทที่ ๒๐ ประโยคอุทาน

28

( Exclamation )

? เช่น อุทานของมาด้วยความดีใจ ,ตกใจ, เสียใจ, ยินดี, ตื่นเต้น ฯลฯ เพราะฉะนั้น เมื่อเราทำาประโยคให้เป็น Indirect Speech กริยานำา ( Reporting Verb ) ประโยคอุทานนั้น เรามักจะอุทานของมาด้วยอารมณ์ทแี่ ตกต่างกันใช่ไหมครับ

ก็จะต้องบ่งบอกว่าการอุทานในตอนนั้น เป็นการอุทานแบบไหนด้วยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น

exclaimed exclaimed exclaimed exclaimed exclaimed exclaimed

with delight อุทานออกมาด้วยความดีใจ with sadness อุทานออกมาด้วยความเสียใจ with surprise อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ with anger อุทานออกมาด้วยความโกรธ with excitement อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น with admiration อุทานออกมาด้วยความชื่นชมยินดี เหล่านี้เป็นต้นครับ ง่ายสุดคือ คุณก็เขียนว่า exclaimed with + N ( ที่แสดงถึงอารมณ์ของประโยคนั้นๆ ) อย่าลืมนะครับ คำาที่แสดงอารมณ์เหล่านั้นจะต้องทำาให้เป็น คำานาม ด้วยนะคร้าบ ^o^ ตัวอย่างประโยค

Direct : He said, " Hurrah! I passed the Entrance Exam! " Indirect : He exclaimed with delight the he passed the Entrance Exam. Direct : She said, " Congratulation! What a success you have! " Indirect : She exclaimed with admiration for my success. Direct : They said, " Hey, why do you so late? " Indirect : They exclaimed with surprise for my late arrival. Direct : She said, " Help me! " Indirect : She exclaimed with fright for help.

Indirect Speech ที่ใช้กับประโยคอุทานนั้นอาจจะดูยุ่งยากสับสนเล็กน้อยนะครับ เพราะเราอาจจะต้องรู้จักดัดแปลงประโยคเล็กน้อยเมื่อทำาเป็น Indirect Speech q^_6 p

29

ประโยค

บทที่ ๒๑

Indirect Speech :

รวมประโยคหลายแบบเข้าด้วยกัน

1. ประโยคคำาถาม กับ ประโยคบอกเล่า ใช้ and said that เป็นตัวเชื่อมนะครับ กรณีที่ประโยคข้างหลังเป็นประโยคบอกเล่า เช่น Direct : He said to me, " When will they come? I will be ready at any time. " Indirect : He asked me when they would come and said that he would be ready at any time. ใช้ and asked กรณีทปี่ ระโยคคำาถามเป็นประโยคหลัง เช่น Direct : Steve said to me, " I will be at home at 6 p.m. When will you call me? " Indirect : Steve told me that he would be at home at 6 p.m. and asked when I would call him. 2. ประโยคคำาสั่ง กับ ประโยคคำาถาม ใช้ and asked เป็นตัวเชื่อมทั้ง 2 ประโยคครับ เช่น Direct : The librarian said to us, " Be quiet! Why are you so noisy? " Indirect : The librarian told us to be quiet and asked why we were so noisy. 3. ประโยคบอกเล่า กับ ประโยคคำาสั่ง ใช้ and told + บุคคล + infinitive เป็นคำาเชื่อมระหว่างประโยคทั้งสอง เช่น Direct : She said to him, " I don't feel well. Leave me alone! " Indirect : She said to him that she didn't feel well and told him to leave her alone. 4. ประโยคบอกเล่า กับ ประโยคปฏิเสธ ใช้ and that มาเชื่อมครับ เช่น Direct : Simon said to me, " My computer is broken. I can't use it. " Indirect : Simon said to me that his computer was broken and that he couldn't use it.

30

5. ประโยคคำาสั่งทั้งคู่ ใช้ and to เชื่อมครับผม เช่น Direct : She said to us, " Stand up! Look overthere! " Indirect : She told to us to stand up and to look overthere. Indirect Speech :

บทที่ ๒๒ ประโยค

Direct

ขึน้ ต้นด้วย

Yes

หรือ

No

วิธีทำา

1.

said to เป็น told + บุคคล + that หากประโยคเดิมเป็น " Yes, + ประโยคที่เป็น Present Tense " เช่น Direct : He said to me, " Yes, I often go to the library. " Indirect : He told me that he often went to the library. 2. เปลี่ยน said to เป็น promised that หากประโยคเดิมเป็น " Yes, + ประโยคที่เป็น Future Tense " เช่น Direct : Joe said, " Yes, I will think of you. " Indirect : Joe promised that he would think of me. 3. เปลี่ยนจาก said เป็น refused to + Infinitive Verb หากประโยคเดิมเป็น " No, + ประโยคซึ่งไม่กระทำาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง " เช่น Direct : She said, " No, I won't stay at home. " Indirect : She refused to stay at home. เปลี่ยน

บทที่ ๒๓

Indirect Speech : ข้อสังเกตอื่นๆ 1. ไม่ต้องเปลี่ยนสรรพนามบุคคล ( Personal Pronoun ) ถ้าสรรพนามบุคคลนั้นเป็นบุรุษเดียวกัน ทั้งนี้เพราะเป็นการเล่าถึงคำาพูดของตนเอง เช่น

Direct : I said, " I will go shopping. " Indirect : I said that I would go shopping. แต่ถ้าสรรพนามบุคคลนั้นต่างบุรุษกัน ต้องเปลี่ยนไปตามกฎนะครับ เช่น

Direct : He said, " I will go swimming. " Indirect : He said that he would go swimming. 2. กริยาบางตัวซึ่งใช้ในความหมายของ Present Tense แต่มีรูปเป็น Past Tense อยู่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง นั่นคือ could, should, would, might เช่น

31

Direct : She said, " I might study Chinese. " Indirect : She said that she might study Chinese. 3. คำาเชื่อม that ในประโยคบอกเล่าของ Indirect Speech สามารถละไว้ได้ ถือว่าไม่ผิดแต่อย่างใด เช่น Direct : They said, " We are going to have a dinner. " Indirect : They said they were going to have a dinner. บทที่ ๒๔

Passive Voice : Introduction Active Voice vs Passive Voice Active Voice คือ ประโยคที่ประธานเป็นกระทำาหรือแสดงกริยานั้นโดยตรง เช่น We are playing tennis. พวกเรากำาลังเล่นเทนนิส

I get up early everyday. ฉันตื่นนอนแต่เช้าทุกวัน

" พวกเรา " และ " ฉัน " ต่างเป็นผู้กระทำากริยานั้นๆ ทั้งสิ้น Passive Voice คือ ประโยคทีป่ ระธานเป็นผู้ถูกกระทำากริยานั้นโดยผู้อื่นหรือสิ่งอื่น เช่น A student was punished by his teacher. ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนนะครับ ว่าทั้ง

นักเรียนถูกทำาโทษโดยครูของเขา

The bank is closed at 3.30 p.m. everyday. ธนาคารถูกปิดเวลา 15.30 น. ทุกวัน ( แปลตามตัว ) แต่ถ้าต้องการแปลให้สละสลวยแล้วก็ควรจะแปลว่า " ธนาคารปิดเวลา 15.30 น. ทุกวัน " ครับ รูปแบบประโยค Passive Voice นี้เราจะเห็นได้ว่า ภาษาอังกฤษมักจะใช้บ่อยมากเลยนะครับ โดยเฉพาะการเขียนที่ เป็นแบบทางการครับ แต่ภาษาไทยเรานั้นปรกติแล้วเราจะใช้ไม่บ่อยเท่าภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันภาษาไทย ได้รับอิทธิพลจากภาษาอังกฤษมากทีเดียวครับ เพราะฉะนั้น เราจึงมักจะเห็นประโยคภาษาไทยที่ใช้

Passive Voice

แบบภาษาอังกฤษเยอะมากขึ้นเลยครับ

บทที่ ๒๕

Passive Voice : วิธีเปลี่ยน

หลักการเปลี่ยน

1. ให้เอาคำาที่เป็นกรรมของประโยค Active ไปเปลี่ยนเป็นประธานในประโยค Passive 2. ใช้ Verb to Be ให้ถูกต้องตามพจน์และ Tense 3. กริยาแท้ในประโยค Active จะต้องทำาให้เป็น Verb ช่อง 3 เสมอ โดยวางไว้หลัง Verb to Be 4. เอาประธานของประโยค Active ไปวางเป็นกรรมของประโยค Passive และเติม by ไว้ข้างหน้า หมายเหตุ : คุณต้องผันกริยาช่องที่ 3 ให้ได้นะครับ โดยเฉพาะกลุ่ม Irregular Verbs ( กริยาที่มีการผันโดยเฉพาะ ) หากยังไม่ทราบ เชิญเข้าไปดูได้ที่ตารางการผันกริยา Irregular Verbs ที่หน้าหลักได้ หรือ คลิกที่นี่ ครับ รูปประโยค Passive Voice ทั้ง 12 Tenses ครับผม

32

Present Simple = Subject + is, am, are + Verb 3 + by .......... Present Continuous = Subject + is, am, are + being + Verb 3 + by......... Present Perfect = Subject + have, has + been + Verb 3 + by.......... Present Perfect Continuous = Subject + have, has + been + being + Verb 3 + by.......... Past Simple = Subject + was, were + Verb 3 + by......... Past Continuous = Subject + was, were + being + Verb 3 + by.......... Past Perfect = Subject + had + been + Verb 3 + by.......... Past Perfect Continuous = Subject + had + been + being + Verb 3 + by.......... Future Simple = Subject + will + be + Verb 3 + by.......... Future Continuous = Subject + will + be + being + Verb 3 + by.......... Future Perfect = Subject + will + have + been + Verb 3 + by.......... Future Perfect Continuous = Subject + will + have + been + being + Verb 3 + by.......... หมายเหตุ : Passive Voice ของ Present Perfect Continuous, Past Perfect Continuous, และ Future Perfect Continuous Tense ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วนะครับ และหากใครที่ยังจำาไม่ได้อย่างแม่นยำาว่าแต่ละ Tense ใช้อย่างไร ก็กรุณากลับ ไปอ่านบทเรียนเก่าๆ ของผมก็ได้นะครับ โดยคลิกที่ข้างล่างนี้เลยครับ ^_^ บทที่ ๒๖

Passive Voice : ตัวอย่างประโยค ตัวอย่างการเปลี่ยนประโยค Active เป็น Passive ใน 12 Tenses เมื่อบทที่แล้วผมได้แนะนำาโครงสร้างประโยคของ Passive Voice ทั้ง 12 Tenses

ไปแล้วนะครับ

มาบทนี้ผมขอยกประโยคตัวอย่างประกอบ เพื่อท่านผู้อ่านจะได้เห็นภาพมากขึ้นครับ ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทที่แล้วเชิญ คลิกที่นี่ ครับผม

Present Simple Tense Active : Somchai drives a bus. Passive : A bus is driven by Somchai. Present Continuous Tense Active : Somchai is driving a bus.

33

Passive : A bus is being driven by Somchai. Present Perfect Tense Active : Somchai has driven a bus. Passive : A bus has been driven by Somchai. Present Perfect Continuous Tense Active : Somchai has been driving a bus. Passive : A bus has been being driven by Somchai. Past Simple Tense Active : Somchai drove a bus. Passive : A bus was driven by Somchai. Past Continuous Tense Active : Somchai was driving a bus. Passive : A bus was being driven by Somchai. Past Perfect Tense Active : Somchai had driven a bus. Passive : A bus had been driven by Somchai. Past Perfect Continuous Tense Active : Somchai had been driving a bus. Passive : A bus had been being driven by Somchai. Future Simple Tense Active : Somchai will drive a bus. Passive : A bus will be driven by Somchai. Future Continuous Tense Active : Somchai will be driving a bus. Passive : A bus will be being driven by Somchai. Future Perfect Tense Active : Somchai will have driven a bus. Passive : A bus will have been driven by Somchai. Future Perfect Continuous Tense

34

Active : Somchai will have been driving a bus. Passive : A bus will have been being driven by Somchai. บทที่ ๒๗

Passive Voice : คำากริยาที่ใช้ในประโยค Passive ไม่ได้ คำากริยาทุกตัวไม่สามารถนำามาแต่งเป็นประโยค Passive Voice ได้นะครับ ต่อไปนี้เป็นหลักทั่วไปครับผม อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอแนะให้จำาเป็นกลุ่มหรือเป็นคำาไปด้วยนะครับ ว่ากริยาตัวไหนเอามาแต่งเป็น Passive Voice ไม่ได้ 1. อกรรมกริยา ( Intransitive Verb ) หมายถึง คำากริยาที่ไม่จำาเป็นต้องมีกรรมมารองรับ สามารถอยู่โดดได้ ห้ามนำามาแต่งเป็น

Passive Voice เด็ดขาดเลยนะครับ เช่น A bird is flying in the air. ไม่สามารถแต่งเป็น Passive Voice เพราะประโยคนี้ไม่มีกรรม เพราะคำาว่า fly แปลว่า บิน นั้น ไม่จำาเป็นต้องมีกรรมเลย เราก็ทราบอยู่แล้วว่านกกำาลังบินอยู่ คำาว่า in the air นั้นไม่ใช่เป็นกรรมนะครับ เป็นเพียงวลีที่ขยาย กริยา fly เท่านั้นน่ะครับ

ได้นะครับ

ก็อย่างที่บอกนะครับว่า อกรรมกริยานี้ ก็ต้องหมั่นค่อยๆ จำากันไปครับผม ผมไม่สามารถแนะหลักได้จริงๆ ครับ ต้องจำาเท่านัน้ นะครับ

2.

( Transitive Verb )

สกรรมกริยา บางคำา ก็ไม่สามารถแต่งเป็นประโยคได้ สกรรมกริยาก็ตรงข้ามกับอกรรมกริยาครับ กล่าวคือ เป็นคำากริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับครับผม แบบนีต้ ้องอาศัยจำาไปเป็นคำาๆ นะครับ ตัวอย่างกรณีนี้ก็อย่างเช่น

He had his breakfast at home.

เราไม่สามารถแต่งเป็น

ได้ว่า

Passive Voice

His breakfast was had by him at home. ( ไม่มีใครใช้กันนะครับ ) หมายเหตุ : อกรรมกริยา สามารถเปลี่ยนเป็น Passive Voice ได้ กรณีทคี่ ำากริยาตัวนั้นมี preposition + object ( ทั้งนี้เพราะ Intransitive Verb + Object = Transitive Verb ได้ทันทีครับผม ) ยกตัวอย่างเช่น We will look after him well. He will be well looked after. Everybody doesn't like people looking down on him. Everybody doesn't like being looked down. บทที่ ๒๘

Passive Voice : หลักการเปลี่ยนประโยค Active ที่เป็นคำาถามให้เป็น Passive

ประโยคคำาถาม

35

Active Voice ที่เป็นประโยคคำาถามที่ขึ้นด้วย Question Words เมื่อเปลี่ยนเป็น Passive ให้ทำาดังต่อไปนี้ :4. ให้เอา Question Words อันได้แก่ What, Where, When, Why, Whose, Whom, Which, How ขึน้ ไว้ต้นประโยคเหมือนเดิม ยกเว้นคำาว่า Who ให้เปลี่ยนเป็น " By whom " แทน 5. คำาอื่นๆ เช่น Verb to Be, must, may, can, could, should, would, might, etc. ให้เรียงแบบคำาถามตามปรกติ โดยวางไว้หน้าประธาน แต่อยู่หลัง Question Words 6. ประธานใน Active Voice ต้องนำาไปเป็นกรรมตามหลังบุพบท by 7. กริยาแท้ใน Active Voice เมื่อเปลี่ยนเป็น Passive Voice ให้ทำาเป็นกริยาช่อง 3 ประโยค

ตัวอย่างประโยค

Active : Passive Active : Passive Active : Passive Active : Passive Active : Passive Active : Passive Active : Passive Active : Passive Active : Passive

What does he want? : What is wanted by him? Who punished her? : By whom was she punished? Which dictionary do you buy? : Which dictionary is bought by you? How will they do it? : How will it be done by them? Whom does she love? : Who is loved by her? Where did you find it? : Where was it found by you? Whose computer will you buy? : Whose computer will be bought by you? When did he send her a present? : When was she sent a present by him? Why did you open it? : Why was it opened by you?

สำาหรับบทนีผ้ มว่าถ้าหากท่านไม่ค่อยเข้าใจก็อย่ากังวลมากเลยนะครับ เพราะผมคิดว่าส่วนใหญ่แล้วเรามักจะใช้ประโยคคำาถามที่ขึ้นต้นด้วย

Question Words

Active Voice

ในรูปแบบ แต่ที่นำามาให้ดูก็เพื่อที่จะให้ทา่ นได้จดจำารูปแบบประโยคลักษณะนี้เอาไว้ครับ เผื่ออาจจะมีโอกาสได้พบเห็นต่อไปในอนาคตครับผม

กันมากกว่าครับ

^_^

บทที่ ๒๙

Passive Voice : หลักการเปลี่ยน

ประโยคคำาสั่ง

ประโยคคำาสั่งคือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำากริยา และไม่มีประธานเพราะละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้ว ดังนั้นหลักการเปลี่ยน ประโยค

36

Active Voice ที่เป็นประโยคคำาสั่งมาเป็น Passive Voice จะต้องทำาดังนี้ Let + object + be + Verb ช่อง 3

ตัวอย่างประโยค

Active : Open the window. Passive : Let the window be opened. Active : Don't destroy the house.

Passive : Let the house not be destroyed. Active : Do it. Passive : Let it be done. Active : Don't close the door.

Passive : Let the door not be closed. เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สั้นๆ เข้าใจง่ายไม่ยากใช่ไหมครับผม

? ^_^ บทที่ ๓๐

Passive Voice : ประโยคที่ไม่ต้องการ BY การจะนำาเอาประธานในประโยค Active Voice ไปไว้หลัง by ใน Passive Voice หรือไม่นั้น เราจะต้องดูใจความของประโยค คือ ถ้าเราไม่เน้นผู้กระทำาหรือผู้กระทำานั้นไม่สำาคัญและไม่จำาเป็นที่จะต้องกล่าวถึง เราก็สามารถละบุพบท by ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น His house was painted beautifully before he moved in. บ้านของเขาได้ถูกทาสีไว้อย่างงดงาม ก่อนที่เขาจะย้ายเข้ามาอยู่ ประโยคนี้เราไม่ทราบว่าใครเป็นคนทา เพราะเราไม่ได้สนใจที่จะทราบ เราสนใจเพียงแต่ว่า บ้านได้ถูกทาสีไว้อย่างงดงามเท่านั้นครับ

by ไว้คร่าวๆ ได้ดัวต่อไปนี้ 1. เมื่อประธานในประโยค Active Voice เป็น everyone, everybody, someone, somebody, on one, nobody ไม่ต้องนำาไปวางไว้ข้างหลัง by ในประโยค Passive Voice เช่น Active : No one has used the door for six years. Passive : The door hasn't been used for six years. Active : Somebody ate three apples overhere. Passive : Three apples were eaten overhere. Active : Everybody studies Chinese in this school. Passive : Chinese is studied in this school. 2. เมื่อประธานในประโยค Active Voice เป็นบุรุษสรรพนาม ( Personal Pronoun ) คือ I, You, We, They, He, She, It ไม่ต้องใส่ไว้หลังบุพบท by เช่น Active : She closed the window of the house. Passive : The window of the house was closed. เราสามารถสรุปกรณีที่เราสามารถละบุพบท

Active : They will build a new road through here soon. Passive : A new road will be built through here soon. นอกจากนี้แล้ว ถ้าประโยค Active Voice ขึน้ ต้นด้วย People say that ............. , People believe that .............. เมื่อทำาเป็นประโยค Passive Voice ให้เปลี่ยนเป็น It is said that ............., It is believed that ................ เช่น Active : People say that optimism promotes happiness. Passive : It is said that optimism promotes happiness. Active : People believe that the earth is round. Passive : It is believed that the earth is round. บทที่ ๓๑

37

Passive Voice : กรณีมีกรรม 2 ตัว ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนนะครับว่า ในภาษาอังกฤษกรรม 2 ตัวนั้นหมายถึงว่าจะมี 1. Direct Object = กรรมตรง ( คือสิ่งของ ) 2. Indirect Object = กรรมรอง ( คือบุคคล ) เมื่อประโยค Active Voice มีกรรมทั้ง 2 แบบคือ ทั้งกรรมตรง ( สิ่งของ ) และกรรมรอง ( บุคคล ) หากเปลี่ยนเป็น Passive Voice แล้ว เรานิยมเอา " กรรมรองหรือบุคคล " ไปเป็นประธานมากกว่าเอากรรมตรงหรือสิ่งของ อย่างไรก็ตาม เราสามารถที่จะเอากรรมตรงไปเป็น ประธานของประโยค Passive Voice ได้ แต่ต้องใส่บุพบท " to " ข้างหน้ากรรมรองที่เหลืออยู่นั้นทุกครั้งด้วย ตัวอย่างเช่น Active Voice : He give me a flower. Passive Voice : I was given a flower by him. ( กรรมรองขึ้นต้น ) Passive Voice : A flower was given to me by him. ( กรรมตรงขึ้นต้น ) คำาแปล : - เขาให้ดอกไม้ 1 ดอกแก่ฉัน - ฉันถูกให้ดอกไม้ 1 ดอกโดยเขา - ดอกไม้ 1 ดอกถูกให้แก่ฉันโดยเขา Active Voice : The teacher teaches Peter French. Passive Voice : Peter is taught French by the teacher. ( กรรมรองขึ้นต้น )

Passive Voice : French is taught to Peter by the teacher. ( กรรมตรงขึ้นต้น ) คำาแปล : - อาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศสให้ปีเตอร์ - ปีเตอร์ถูกสอนภาษาฝรั่งเศสให้โดยอาจารย์ - ภาษาฝรั่งเศสถูกสอนให้ปีเตอร์โดยอาจารย์ หมายเหตุ : กริยาที่มีกรรม 2 ตัวมารองรับ มักจะได้แก่กริยาต่อไปนี้ give, fetch, write, buy, answer, send, show, teach, promise, lend, tell, offer, sell, ask, pay, call

38

บทที่ ๓๒

Passive Voice : กรณีมีกริยาช่วย ( Helping Verbs ) ในกรณีที่ประโยค Active Voice มีกริยาช่วย ( Helping Verbs ) เหล่านี้ ได้แก่ can, could, should, would, might, may, must, ought to, have to, has to, ( be ) going to หากต้องจะทำาให้เป็นประโยค Passive Voice แล้วให้ทำาตามรูปแบบต่อไปนี้ Subject + Helping Verbs + be + Verb 3 ตัวอย่างประโยค

Active : Passive Active : Passive Active : Passive Active : Passive Active : Passive Active : Passive

She can speak Japanese. : Japanese can be spoken by her. I have to study math. : Math has to be studied by me. Joe must clean a desk. : A desk must be cleaned by Joe. I may type an email tonight. : An email may be typed by me tonight. They are going to buy a car. : A car is going to be bought by them. You ought to meet her today. : She ought to be met by you today. บทที่ ๓๓

Passive Voice : กรณีอื่นๆ กรณีมี Adverb of Manner เมื่อประโยค Active Voice มี Adverb of Manner ( badly เป็นต้น อยู่ด้วย หากเปลี่ยนเป็นประโยค

กริยาวิเศษณ์บอกอาการ

)

เช่น

well,

Passive Voice ให้วาง Adverb of Manner ไว้หน้ากริยาช่อง 3 ใน Passive Voice เสมอ เช่น Active : You did the work well. Passive : The work was well done ( by you ). Active : She dressed her children badly. Passive : Her children were badly dressed ( by her ). กรณีมี Infinitive without " to " เมื่อประโยค Active Voice มี infinitive without " to " อยู่ หากเปลี่ยนเป็น Passive Voice ต้องเปลี่ยนเป็น infinitive with " to " ( คือเติม to เข้าไปนะครับ ) เช่น Active : They heard her sing there. ( without " to " ) Passive : She was heard to sing there. ( with " to " ) ข้อยกเว้น : คำาว่า Let ยังคงใช้ Infinitive without " to " อยู่เช่นเดิม เช่น Active : He let us go. ( without " to " ) Passive : We were let go. ( without " to " เหมือนเดิม ) กรณีคำาขยายเป็น Present Participle ( V -ing ) เมื่อประโยค Active Voice ซึ่งตัวกรรมมีคำาขยายเป็น present participle ( กริยาเติม -ing ) หากต้องการทำาเป็น Passive Voice จะต้องเปลี่ยน present participle ให้เป็น being + V3 ยกตัวอย่างเช่น Active : I saw Kim writing the report. Passive : I saw the report being written by Kim. Active : She looked at him making the table. Passive : She looked at the table being made by him. กรณีที่ Passive Voice บางประโยคไม่ใช้บุพบท BY กริยาบางตัวในประโยค Passive Voice นั้น อาจจะไม่ได้ใช้บุพบท by นะครับ แต่จะใช้ in, at, with, etc. แทนครับผม ซึ่งต้องใช้วิธีจำาเพียงวิธีเดียวนะครับ เช่น interested in, pleased at, covered with, killed in ครับผม มาถึงตรงนี้แล้วกระผมก็ต้องจบเรื่อง Passive Voice ไว้แต่เพียงเท่านี้นะครับ บทที่ ๓๔

Verb : Introduction โดยปรกติแล้วหนังสือไวยากรณ์ฉบับต่างๆ อาจจะมีวิธีการแบ่งประเภทของคำากริยาที่แตกต่างกันออกไปนะครับ เพราะฉะนั้นที่ผมแบ่งประเภทของ กริยาในตอนนี้อาจจะไม่ตรงกับหนังสือไวยากรณ์ฉบับอื่นๆ ก็เป็นได้นะครับ แต่โดยหลักรวมๆ แล้ว คำากริยาสามารถแบ่งเป็นกลุ่มๆ ที่เห็นได้ชัดได้ดังนี้ครับ

1. Finite Verb แปลว่า " กริยาแท้ " ซึ่งหมายถึง คำากริยาซึ่งเป็นหลักเป็นส่วนสำาคัญของประโยค ทุกประโยคจะต้องมีกริยาแท้ครับ มิฉะนั้นเราจะไม่ถือว่า ข้อความนั้นเป็นประโยค

39

Tense ต่างๆ ด้วยครับผม ตัวอย่างเช่น คำาว่า Go ในประโยคต่อไปนี้ล้วนเป็นกริยาแท้นะครับ และผันไปตาม Tense ต่างๆ ด้วยครับ He goes. He has went there early. He will go there soon. He is going. 2. Non-Finite Verb แปลว่า " กริยาไม่แท้ " ซึ่งไม่ได้เป็นกริยาหลักของประโยค แต่ถูกนำาไปใช้ทำาหน้าที่อย่างอื่นในประโยค เช่น เป็นคำานาม คำาคุณศัพท์ หรือเป็น กริยาวิเศษณ์ เป็นต้น ในภาษาอังกฤษนัน้ เราสามารถแบ่งรูปกริยาไม่แท้นี้ได้เป็น 3 ประเภทครับ 2.1 Infinitive = กริยาที่มี to + Verb 1 ครับ เช่น to eat, to take, to write, to read เป็นต้น 2.2 Gerund = กริยาที่เติม -ing ( Verb + ing ) เช่น sleeping, speaking, typing เป็นต้น 2.3 Participle = กริยาที่เติม -ing เช่น eating, going ซึ่งแบบนี้เราเรียกว่า " Present Participle " ครับ และอีกแบบหนึ่งก็คือ กริยาที่อยู่ในรูป Verb 3 เช่น gone, taken, eaten เป็นต้น เราเรียกว่า " Past Participle " ครับ 3. Auxiliary Verb บางทีเราก็อาจจะเรียกว่า " Helping Verb " ได้นะครับ ซึ่งก็คือกริยาช่วยนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว

Finite Verb

40

จะเปลี่ยนรูปไปตาม

กริยาเหล่านี้จะไปทำาหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นๆให้ประโยคเป็นบอกเล่า คำาถาม ปฏิเสธ หรือเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมไปถึงการคาดคะเน เงื่อนไขต่างๆ คำามั่นสัญญา ในภาษาอังกฤษมีกริยาช่วยดังต่อไปนี้ครับ

Verb to be ( is, am, are, was, were ); Verb to have ( have, has, had ); Verb to do ( do, does, did ); will, would, shall, should, can, could, may, might, must, need, dare, ought to, used to, บางตำาราอาจจะพ่วง had better, would rather, have to, และ should ( ที่เท่ากับ ought to ) เข้าไปด้วยนะครับ 4. Transitive Verb หรือในภาษาไทยเรียกว่า " สกรรมกริยา " หมายถึงกริยาทีต่ ้องมีกรรมมารองรับหรือมีกรรมมาขยายตามหลังครับ ยกตัวอย่างเช่น wash, clean, order, hit, kick, give, buy, write, bring, buy, open, close เป็นต้นครับ คำาที่จะสามารถนำามาเป็นกรรมของสกรรมกริยาได้ มีดังต่อไปนีค้ รับ

4.1 คำานามทุกชนิด เช่น Our country needs the growth and development. 4.2 คำาสรรพนาม เช่น I told her that she should study Chinese. 4.3 Infinitive เช่น He wants to continue his studies in USA. 4.4 Gerund ( Verb -ing ) เช่น We enjoy dancing at the party last night very much.

41

4.5 วลีทุกชนิด เช่น She doesn't know what to do for you. 4.6 อนุประโยค ( Subordinate Clause ) เช่น I know what you did last summer. 5. Intransitive Verb ในภาษาไทยเราเรียกว่า " อกรรมกริยา " ซึ่งก็คือคำากริยาที่ไม่จำาเป็นต้องมีกรรมมารองรับ เพราะมีเนื้อความสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว เช่น regret, stay, inhale, relapse, go, sleep, fly, run, stand, sit, come, dance, exhale, light, laugh เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อกรรมกริยาบางคำาแม้ไม่จำาเป็นต้องพึ่งกรรม แต่ก็ยังต้องการคำาหรือกลุ่มคำาอื่นเพื่อมาช่วยขยายความตามหลังนะครับ

" Subjective Complement "

จึงจะฟังได้เข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งเราเรียกว่า เพื่อให้ประธานของประโยคมีใจความสมบูรณ์ อกรรมกริยาเหล่านั้นก็ยกตัวอย่างเช่น

หรือ ตัวขยายอกรรมกริยา

seem, look, feel, taste, stay, get, turn, remain, sound, become, prove, appear, grow, show, Verb to be, Verb to have ( ที่แปลว่า ' มี ' เท่านั้นนะครับ ) เช่น She remains beautiful. They look unhappy. The food in that plate is bad. You seem sleepy. The sky turns grey. บทที่ ๓๕

Verb : หน้าที่ของ Verb to Be 1. ใช้เป็นกริยาหลัก ( Principal Verb ) ของประโยค ซึ่งกรณีนี้ในประโยคจะไม่มีกริยาตัวอื่นเข้ามาอยู่ร่วมกับ Verb to Be เช่น She is a good student. We are from Thailand. 2. วางไว้หน้ากริยาที่เติม -ing ทำาให้ประโยคนั้นเป็น Continuous Tense ซึ่งแปลว่า " กำาลัง " เช่น They are reading magazines. He is eating an apple. 3. วางไว้หน้ากริยาช่องที่ 3 เพื่อทำาให้ประโยคนั้นเป็น Passive Voice ซึ่งแปลว่า " ถูก " เช่น He was punished by his mother. Thai is spoken in Thailand. 4. ในประโยคคำาสั่งหรืออวยพรที่นำาหน้าประโยคด้วย Adjective จะต้องใช้ Be เสมอ เช่น Be quiet. They are sleeping. Be good luck in your examination.

5.

ใช้นำาหน้าสำานวน

about to + Verb ช่องที่ 1

ซึ่งจะแปลว่า

" จะ "

42 แสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น

The airplane is about to land at Bangkok. I am about to go home within one hour. 6. ใช้วางไว้หน้า Infinitive ( to + Verb 1 ) ซึ่งจะแปลว่า " จะ, จะต้อง " แสดงถึงหน้าที่ที่ต้องกระทำาหรือความเป็นไปได้ เช่น

He is to stay here until I come back. เขาจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าฉันจะกลับมา She is to be paid at the end of this month. เธออาจจะได้รับเงินในสิ้นเดือนนี้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นหน้าที่ของ

Verb to Be

ในฐานะที่ทำาหน้าที่เป็นกริยาช่วยกริยาตัวอื่นนะครับ

Verb :

(

ยกเว้นข้อ

1)

บทที่ ๓๖

Verb to Do หน้าที่ของ Verb to Do ในฐานะเป็นกริยาช่วยคำากริยาอื่นๆ มีดังต่อไปนี้ :1. ช่วยทำาให้ประโยคบอกเล่า เป็นประโยคคำาถามหรือประโยคปฏิเสธ ตัวอย่างประโยค Do : ประโยคบอกเล่า -> They study Thai history. ประโยคคำาถาม -> Do they study Thai history? ประโยคปฏิเสธ -> They don't study Thai history. Does : ประโยคบอกเล่า -> He rides a bicycle. ประโยคคำาถาม -> Does he ride a bicycle? ประโยคปฏิเสธ -> He doesn't ride a bicycle. Did : ประโยคบอกเล่า -> She went to Hong Kong last month. ประโยคคำาถาม -> Did she go to Hong Kong last month? ประโยคปฏิเสธ -> She didn't go to Hong Kong last month. หมายเหตุ หากในประโยคบอกเล่านั้นๆ มีกริยาช่วย will, shall, could, should, would, might, may, can, must อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องใช้ Verb to Do มาช่วย หน้าที่ของ

คุณสามารถใช้กริยาช่วยเหล่านี้ทำาเป็นประโยคคำาถามและปฏิเสธได้ทันที

2. ใช้หนุนกริยาหลัก เพื่อแสดงเน้นยำ้าว่าประธานทำากริยานั้นจริงๆ หรือเกิดขึ้นจริงๆ โดยให้วางไว้หน้ากริยาหลัก เช่น I did went to school yesterday. Do come with us. He does talk to me. They do play football. 3. ใช้แทนกริยาหลักในประโยคคำาตอบแบบสั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดกริยาหลักนั้นซำ้าอีกรอบ ( ใช้ในการตอบแบบ Yes/No ) Do you drive a car? Yes, I do. ( จากประโยคเต็มว่า Yes, I drive a car. )

เช่น

Did she eat their cake? No, she didn't. ( จากประโยคเต็มว่า No, she didn't eat their cake. ) 4. ใช้แทนกริยาหลักในประโยคเดียวกัน เพื่อต้องการไม่ให้ใช้กริยาตัวเดิมนั้นซำ้าๆ ซากๆ เช่น Ian like swimming and so does Lidia. You went shopping yesterday but I didn't. They study science and we do too. 5. ใช้แทนกริยาหลักในประโยคที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดเป็นครั้งที่ 2 เช่น She sang very well. Yes, she did. You speak too much. No, I don't. Steve likes dogs. Yes, he does. 6. ใช้แทนกริยาแท้ในประโยคคำาถามแบบ Question Tag เช่น She doesn't drink alcohol, does she? They ate durian, didn't they? You own a bookstore, don't you? Verb :

บทที่ ๓๗ หน้าที่ของ

May, Might

MAY 1. ใช้เพื่อแสดงจุดมุ่งหมาย ( Purpose ) และจะอยู่หลัง so that หรือ in order that We work hard so that I may succeed. พวกเราทำางานอย่างหนัก เผื่อว่าจะประสบความสำาเร็จ

We eat in order that we may live. พวกเรากินเพื่อว่าเราจะได้มีชีวติ อยู่

43

2. ใช้เพื่อแสดงการอนุญาตหรือการขออนุญาต ( Permission ) ที่จะกระทำาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น May I open the window? Yes, you may. I may smoke here, mayn't I? No, you may not. 3. ใช้เพื่อแสดงความปรารถนา ความหวัง หรือการอวยพรให้ประสบความสำาเร็จในสิ่งที่ต้องประสงค์ ( may อยู่ต้นประโยคเสมอ ) เช่น May you succeed in your exam. May you be happy forever. 4. ใช้ช่วยเพื่อแสดงการคาดคะเนว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น He may learn driving within a week. She may go overthere next month. 5. ใช้ช่วยเพื่อแสดงความเป็นไปได้ ( Possibility ) สำาหรับการกระทำานั้นๆ เช่น It may rain this evening. She may tell me when she runs out of money. 6. ใช้ช่วยเพื่อแสดงความสงสัยหรือไม่แน่ใจของผู้พูดต่อสิ่งนั้นๆ เช่น

เสมอ เช่น

You may talk to everybody but you can't force him to listen to you. คุณอาจจะพูดกับทุกคนได้ แต่คณ ุ ไม่สามารถบังคับให้เขาฟังคุณได้

MIGHT 1. ใช้เป็นรูปอดีตของ MAY ในประโยคที่เปลี่ยนมาจาก Direct Speech เช่น Direct : He said, " I may drive your car today. " Indirect : He said that he might drive my car that day. " 2. ใช้ในกรณีทผี่ ู้พูดไม่แน่ใจว่าเขาจะทำาอย่างนั้นอย่างนี้จริง ( แต่ถ้าหากมั่นใจอย่างแน่นอนให้ใช้ MAY แทน ) ลองเปรียบเทียบดูนะครับ 2.1 I don't know where A is. He might be at his office. 2.2 I think A may be at his office certainly. ประโยคแรก I ไม่ทราบว่า A อยู่ที่ไหนกันแน่ เพีงแต่คาดเดาเหตุการณ์ว่าเขาอาจจะอยู่ที่ที่ทำางานของเขาก็ได้ จึงต้องใช้ might มาเป็นกริยาช่วย ประโยคที่สอง I รู้อย่างแน่นอนว่า A ต้องอยู่ที่ที่ทำางานแน่ๆ ไม่ได้ไปไหน ดังนั้นจึงใช้ may เพื่อแสดงความมั่นใจ 3. might + have + Verb 3 นำามาใช้เพื่อแสดงถึงความไม่แน่นอนในขณะที่พูดถึงสิ่งที่เป็นอดีต เช่น I can't imagine why she was late. She might have been delayed by the rain or she might have had an accident. ( การคาดคะเนในลักษณะไม่แน่นอนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตต้องใช้ might + have + Verb 3 นะครับ เพราะผู้พูดพูดไปในลักษณะ วิเคราะห์เหตุการณ์ ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ผู้พูดได้เห็นมากับตนเอง

) บทที่ ๓๘

Verb : หน้าที่ของ Verb to Have หน้าที่เป็นกริยาช่วยของ Verb to Have ( Have, Has, Had ) 1. ใช้ใน Perfect Tense โดยนำาหน้ากริยาช่องที่ 3 ( Past Participle ) เช่น I have lived in Chiang Mai for ten years. We have studied French since last year. 2. ใช้ในลักษณะประโยคที่ใช้ให้ผู้อื่นกระทำาอย่างใดอย่างหนึ่ง แบ่งได้เป็น 2 แบบได้แก่ 2.1 เน้นตัวผู้ที่ทำา จะใช้รูปประโยคคือ " Have + Someone ( ผูท้ ำาให้ ) + Verb 1 ( without 'to' ) + Something " เช่น She has her daughter clean her room every week. หล่อนให้ลูกสาวของหล่อนทำาความสะอาดห้องของลูกหล่อนทุกๆ อาทิตย์

I have Tawatchai wash my car evey Sunday. ผมให้ธวัชชัยล้างรถของผมทุกๆ วันอาทิตย์

2.2

เน้นสิ่งของที่ถูกทำาให้ใช้

" Have + Something (

สิ่งที่ถูกทำา

) + Verb 3 "

เช่น

44

45

I have my car washed every Sunday. ผมให้เขาล้างรถของผมทุกๆ วันอาทิตย์

He has his gun cleaned. เขาให้คนอื่นทำาความสะอาดปืนให้

3. Verb to Have เมื่อมีคำากริยาบางคำาตามหลัง อาจจะทำาให้กริยาตัวนั้นกลายเป็นคำานามขึ้นมา ซึ่งจะต้องมี Article ' a ' นำาหน้าอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น have a sleep ( นอนหลับ ), have a walk ( เดินเล่น ), have a ride ( ขี่ ), have a drink ( ดื่ม ), have a swim ( ว่ายนำ้า ), have a rest ( พักผ่อน ) ซึ่งคำาพวกนี้ก็จะมีลักษณะเป็น idiom ต้องใช้วิธีจำาครับผม 4. เมื่อ Verb to Have นำามาใช้เพื่อแสดงลักษณะเฉพาะและความสัมพันธ์ของสิ่งของนั้นๆ สามารถใช้ Verb to Be แทนได้ เช่น

My house has five windows. There are five windows in my house. Her bedroom has two televisions. There are two televisions in her bedroom. บทที่ ๓๙

Verb : หน้าที่ของ Will, Shall หน้าที่เป็นกริยาช่วยของ Will และ Shall ก่อนอื่นต้องขอกล่าวก่อนนะครับ ว่าเรื่อง Will vs Shall ที่จะพูดในที่นี้ผมอ้างอิงมาจากหลักไวยากรณ์ดั้งเดิม ซึ่งไม่เหมือนหลักไวยากรณ์ ในปัจจุบันที่เมื่อเราต้องการกล่าวถึงอนาคตกาล ทุกประธานสามารถผันกับ Will ได้หมดนะครับ ===> WILL แปลว่า " จะ " ใช้ทำาหน้าที่ช่วยกริยาหลักตัวอื่น เพื่อบอกความเป็นอนาคตกาลและใช้กับประธานที่เป็นบุรุษที่ 2 คือ You และบุรุษที่ 3 คือ He, She, It, และ They ตลอดถึงนามเอกพจน์ พหูพจน์ทั่วไปที่มาเป็นประธานได้ทั้งสิ้น เช่น She will meet her friends at a cafe. หล่อนจะไปพบเพื่อนที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง

You will be in time if you hurry. คุณจะทันเวลาหากคุณรีบหน่อย

Richard will arrive in Chiang Mai tomorrow. ริชาร์ดจะมาถึงเชียงใหม่พรุ่งนี้

===> SHALL ก็แปลว่า " จะ " ใช้ช่วยกริยาหลักเพื่อทำาให้เป็นอนาคตกาลเช่นเดียวกันกับ will เท่านั้นคือ I และ We เช่น I shall write a letter to her soon. ผมจะเขียนจดหมายถึงเขาเร็วๆ นี้

We shall start our journey tomorrow. พวกเราจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้

แต่ใช้กับประธานบุรษุ ที่

1

: will

shall

will

I

We

shall

หมายเหตุ และ นั้นหากใช้สลับประธานกับ นั่นคือ ใช้กบั และ ส่วน นำาไปใช้กับประธานที่เหลือแล้ว ย่อมจะมีความหมายพิเศษเกิดขึ้น ผิดไปจากการใช้ในแบบปรกติ เพราะแสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำาการสิ่งนั้นๆ หรือแสดงถึงคำามั่นสัญญาหรือแสดงการข่มขู่ เช่น

I will try to do it again. ผมจะพยายามทำาอีกครั้ง ( แสดงความแน่วแน่ตั้งใจ ) If you work well, you shall have higher wages. ถ้าคุณทำางานดี คุณก็จะได้รับค่าจ้างสูงขึ้นอีก ( แสดงคำามั่นสัญญา ) That boy shall be punished, if he doesn't go to school today. เด็กคนนั้นจะถูกทำาโทษ ถ้าเขาไม่ไปโรงเรียนวันนี้ ( แสดงการข่มขู่ ) Verb :

บทที่ ๔๐

หน้าที่ของ

Would, Should

Would ทำาหน้าที่เป็นกริยาช่วย 1. ใช้เป็นอดีตของ Will ในประโยคที่เปลี่ยนมาจาก Direct Speech เช่น She said, " I will do it again. " She said that she would do it again. 2. ใช้ในประโยคเงื่อนไข ( Conditional Sentence ) เช่น If I were you, I would try to do the best. We would have come if it had not rained. 3. ใช้เป็นกริยาร่วมกับ like ในสำานวนการพูดเพื่อความสุภาพ ซึ่งแปลว่า " อยากจะ, อยากให้ " เป็นรูปปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตนะครับ เช่น I would like to meet you on Saturday. She would like to study Spanish. 4. ใช้ในประโยคคำาถามที่มีกริยา mind, please เข้ามาร่วม เพื่อความสุภาพในการถามหรือออกคำาสั่ง เช่น Would you mind if I smoke? Of course not. Would you please open that window for me? 5. ให้ใช้ would ( แทน will ) เมื่อผู้พูดไม่แน่ใจคือยังสงวนท่าทีเพื่อรอดูปฏิกิริยาของผู้ที่ตนพูดด้วยว่า จะเป็นหรือทำาอย่างที่ชักนำาหรือไม่ การใช้

มักจะใช้ในคำาถามที่ต้องการความสุภาพ เช่น

Would you like to watch this movie? Would you have some cold drinks? 6. ใช้ในสำานวนการพูดว่า " ควรจะ.....ดีกว่า, สมัครใจที่จะ.....ดีกว่า " ควบกับ better ใช้ได้กบั ทุกพจน์ทุกบุรุษ เช่น

หรือ

rather

He would better ( rather ) go to meet her today. Which would you rather have, coffee or tea? บางทีหลัง better หรือ rather อาจจะมี than มาต่อท้ายก็ได้ เช่น

46

I would rather die than come back without success. She would rather walk than run. การใช้ Should ทำาหน้าที่เป็นกริยาช่วย 1. ใช้เป็นรูปอดีตของ Shall ในประโยค Indirect Speech เช่น He said to me, " You will be able to do it. " He told me that I should be able to do it. 2. Should เมื่อแปลว่า " ควรจะ " คือเป็นปัจจุบันกาลใช้ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ ใช้แสดงถึงหน้าที่ที่จะต้องกระทำา การให้คำาแนะนำา ซึ่งมีความหมายเท่ากับ Ought to โดยเฉพาะภาษาพูดมักจะใช้ should มากกว่า เช่น You should go on a diet. We should obey our law. 3. ในประโยคที่เป็นอนาคตกาล ถ้าผู้พูดยังมีความสงสัย ไม่แน่ใจ หรือยังเป็นการคาดหมายอยู่เกี่ยวกับเหตุการณ์หรือพฤติกรรมนั้นๆ ต้องใช้ should

47

ตลอด

เช่น

They should be there by 4 o'clock, I think. ผมคิดว่าพวกเขาจะต้องไปถึงที่นั่นตอนเวลาบ่าย 4 โมง 4. ใช้ should ในประโยคที่ตามหลัง lest, for fear that, ตลอดไป เช่น Wanchai studied harder lest he should fail. วันชัยศึกษาอย่างขะมักเขม้นยิ่งขึ้น เผื่อว่าจะได้ไม่ต้องสอบตก

She remained silent for fear that I should hear her. หล่อนยังคงเงียบอยู่ เพราะเกรงว่าผมจะได้ยินเธอ

5. ใช้ should แทน might กับทุกประธานได้ ในประโยคที่แสดงจุดมุ่งหมาย โดยมีสันธาน so that, in order that นำาหน้าประโยค เช่น I helped him very much so that he should ( might ) succeed. ผมได้ช่วยเขาอย่างมากทีเดียว ดังนั้นเราควรจะประสบความสำาเร็จ

6. ใช้ should have + Verb 3 กับอดีตกาลที่ไม่เกิดขึ้นจริง ซึ่งได้ผา่ นพ้นมาแล้ว เช่น Suwat should have studied hard before the exam. ( but he didn't ) Your report is too late. You should have submitted it by last Monday. Verb :

บทที่ ๔๑ หน้าที่ของ

Can

Can Can แปลว่า " สามารถ " รูปอดีตของ Can คือ Could without "to" 1. ใช้แสดงความเป็นอิสระจากพันธะอื่นๆ เช่น

และ

Could

หน้าที่ของ

กริยาตัวอื่นที่ตามหลัง

Can

จะต้องเป็น

Infinitive

I can see you tomorrow at 8 o'clock. พรุ่งนี้ผมพบคุณได้เวลา 8 นาฬิกา 2. ใช้แสดงภาวะการรับรู้ซึ่งมิอาจควบคุมได้ เช่น I can see ( remember, hear, etc. ) ฉันสามารถเห็น ( จำาได้, ได้ยิน, เป็นต้น ) 3. ใช้แสดงถึงความสามารถหรือการอนุญาต เช่น He can drive very far from here. เขาสามารถขับรถไปได้ไกลจากที่นี่

You can go whenever you want. คุณไปได้เมื่อไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ

4. ใช้แสดงถึงพละกำาลัง การฝึกหัดและการเรียนรู้ เช่น Can you swim well? คุณว่ายนำ้าได้ดีหรือเปล่า? Can you lift that table? คุณสามารถยกโต๊ะตัวนั้นได้ไหม? 5. ใช้แสดงถึงสิ่งที่ผู้พูดพูดนั้นเป็นความจริง หรือเป็นไปได้อย่างแน่นอนโดยปราศจากข้อสงสัย เช่น This can be the answer, I think. ผมคิดว่านี่คือคำาตอบที่ถูกต้อง

Could Could แปลว่า " สามารถ " เป็นรูปอดีตของ Can ใช้ได้กับทุกพจน์ทุกประธาน กริยาที่ตามหลังต้องเป็น Infinitive without "to" 1. ใช้แสดงความเป็นอิสระจากพันธะอื่นๆ แต่มีความแน่นอนน้อยกว่า Can เช่น She could see me tomorrow at 8 o'clock, perhaps. พรุ่งนี้เวลา 8 นาฬิกา หล่อนอาจจะพบผมได้ 2. ใช้เป็นอดีตของ Can ในประโยค Indirect Speech เช่น Direct : She said, " I can go there alone. " Indirect : She said that she could go there alone. 3. ใช้เพื่อขออนุญาตกระทำาการอย่างใดอย่างหนึ่งกับคู่สนทนา ทั้งนี้เพื่อเป็นการให้เกียรติกับผู้ที่เราพูดด้วย เช่น Could I borrow your pencil please? ผมขอยืมดินสอของคุณหน่อยได้ไหมครับ? 4. ใช้แสดงถึงความสามารถที่ได้กระทำาในอดีต เช่น I could speak German perfectly five years ago. ฉันสามารถพูดภาษาเยอรมันได้ดีเยี่ยมเมื่อ 5 ปีที่แล้ว 5. Could ทีน่ ำามาใช้ในรูป Could + have + Verb 3 หน้าที่ของ

เพื่อแสดงถึงความสามารถหรือความเป็นไปได้ในอดีตแต่ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถนั้นเสีย เช่น

48

I could have lent you the money. Why didn't you ask me? ผมให้คุณยืมเงินได้ ( แต่ ) ทำาไมคุณถึงไม่เอ่ยปากขอล่ะ?

49

บทที่ ๔๒

Verb : หน้าที่ของ Have to, Have got to, Had better หน้าที่ของ Have to Have to แปลว่า " ต้อง, จำาเป็นต้อง " มีความหมายเช่นเดียวกับ Must ใช้แสดงถึงพันธะหน้าที่ที่จำาเป็นต้องกระทำา หลัง Have to จะต้อง เป็นกริยาช่องที่ 1 เสมอ รูปอดีตคือ Had to I have to leave now. ฉันจำาเป็นต้องกลับเดี๋ยวนี้

He has to go to school from Monday to Saturday. เขาจะต้องไปโรงเรียนตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์

Have got to Have got to แปลเช่นเดียวกับ Have to ซึ่งจะนำามาใช้ในภาษาพูดแทน Have to และนิยมย่อย Have หรือ Has เข้ากับสรรพนามเลย หรือย่อเข้ากับ not ในประโยคปฏิเสธ กรณีทำาเป็นประโยคคำาถาม ให้เอา Have หรือ Has ขึ้นไปวางไว้ต้นประโยคได้เลย เช่น He's got to go. I've got to go. He hasn't got to go. I haven't got to go. Has he got to go? Have I got to go? หน้าที่ของ Had better Had better ( ให้รวมถึง Had rather, Had sooner ) แปลว่า " ควรจะ.....ดีกว่า " หลัง had better ต้องตามด้วยกริยาช่องที่ 1 ใช้ในกรณีที่คิดว่าจะเป็นการดีที่จะกระทำาอย่างหนึ่งอย่างใดหรือ เหมาะสมที่จะประกอบกิจนั้นๆ ในเวลานั้น แม้จะมีรูปเป็นอดีต แต่ความหมาย เป็นปัจจุบัน โดยปรกติเวลาพูดจะลดรูปจาก had เหลือ 'd เข้ากับประธานเสมอ You had better start your work next week. หน้าที่ของ

คุณควรจะเริ่มงานอาทิตย์หน้าดีกว่า

She had better walk there. หล่อนควรจะเดินไปที่นั้นดีกว่า

NOT ที่หลัง BETTER นะครับ อย่าเติมที่หลัง HAD เด็ดขาด เช่น She had better not stay here alone. ( ไม่ใช่ She had not better stay here alone. ) นอกจากนี้แล้ว เวลาทำาให้เป็นประโยคปฏิเสธให้เติม

หล่อนไม่ควรพักอยู่ที่นี่ตามลำาพัง บทที่ ๔๓

Verb :

หน้าที่ของ

Must

วิธีการใช้

50

MUST

1. ใช้เป็นกริยาที่แสดงคำาสั่งหรือความจำาเป็นที่จะต้องทำา เช่น You must do as you are told. คุณจะต้องทำาอย่างที่ได้รับการบอกมา

We must obey the laws of the country. พวกเราจะต้องเชื่อฟังกฎหมายของประเทศ

2. ใช้แสดงความตั้งใจหรือความแน่วแน่ของผู้พูด เช่น I must finish my homework before I go to bed. ฉันจะต้องทำาการบ้านให้เสร็จก่อนเข้านอน

This must be what he means. นี่จะต้องเป็นสิ่งที่เขาหมายถึงอย่างแน่นอน

3. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือพฤติกรรมที่จะต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์หรือสิ่งอื่นสิ่งใดซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น Everything must come to an end. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมาถึงตอนจบ

Every human being must die. คนเราทุกคนต้องตาย

4. ใช้แสดงการขอร้อง ( ในสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ) เช่น You must tell him I feel sorry for him. คุณจะต้องบอกเขาด้วยนะว่าผมขอแสดงความเสียใจกับเขาด้วย

You must forgive me for that matter. คุณจะต้องให้อภัยผมสำาหรับเรื่องนั้น

5. ใช้แสดงการกระทำาที่เป็นหน้าที่โดยตรง เช่น Every citizen must help one another in time of war. ประชาชนทุกคนต้องช่วยกันในยามมีศึกสงคราม

We must pay taxes to our government. พวกเราจะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาล

6. ใช้แสดงการบอกเล่าที่ต้องการความหนักแน่น แต่ไม่ใช่แสดงความจำาเป็น เช่น He must know that he is a student for this university. เขาจะต้องรู้ไว้ด้วยว่า เขาเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้

You must know that my mother is very busy. คุณต้องรู้ด้วยนะว่า แม่ของผมยุ่งมาก

: Must เป็น Present Tense Tense ) ให้ใช้ had to แทน หมายเหตุ

อย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นหากต้องการทำาให้เป็นอดีตกาล

( Past

และเมื่อต้องการทำาให้เป็นอนาคตกาล

have to

( Future Tense )

ให้ใช้

will have to

หรือ

shall

แทน

Verb :

บทที่ ๔๔ หน้าที่ของ

Ought to

Ought to Ought to แปลว่า " ควรจะ " เป็นกริยาช่วยเพียงอย่างเดียวและมีรูปเดียวเท่านั้น ถ้าต้องการที่จะทำาให้เป็นอดีตกาล ต้องใช้เป็น ought + to have + Verb 3 นอกจากนี้ ought to ยังมีความหมายเช่นเดียวกับคำาว่า should แต่ความหมายจะอ่อนกว่าเล็กน้อย 1. ใช้แสดงถึงการกระทำาอันเป็นหน้าที่หรือสมควรที่จะกระทำา เช่น You ought to start your job at once. ( Present ) วิธีการใช้

คุณควรจะเริ่มงานของคุณเดี๋ยวนี้ได้แล้ว

He ought to have come here yesterday. ( Past ) เขาควรจะได้มาถึงที่นี่เมื่อวานแล้ว

2. ใช้แสดงความคาดคะเนว่า น่าจะเป็นเช่นนั้นได้ เช่น Our team ought to win the game for today. ทีมของพวกเราควรจะชนะการแข่งขันวันนี้

This ought to be what he means. นีค่ วรจะเป็นสิ่งที่เขาหมายถึง

3.

เมื่อทำาเป็นประโยคคำาถามหรือปฏิเสธให้เอา เมื่อทำาเป็นปฏิเสธ เช่น

ought

ขึ้นไปไว้ต้นประโยคเมื่อทำาเป็นคำาถาม และเติม

not

ไว้หลัง

ought

Ought she to forgive me for my fault? หล่อนควรจะให้อภัยผมหรือสำาหรับความผิดของผม? He ought not to smoke a cigarette in a cinema. เขาไม่ควรจะสูบบุหรี่ในโรงภาพยนตร์ บทที่ ๔๕

Verb : หน้าที่ของ Dare Dare แปลว่า "กล้า, ท้า" สามารถใช้แบบกริยาแท้ ( Finite Verb ) หรือใช้แบบกริยาช่วย ( Helping Verb ) ก็ได้ครับ 1. กรณีใช้แบบกริยาแท้ 1.1 Dare ที่ใช้แบบกริยาแท้ กริยาที่ตามหลังจะต้องเป็นรูป Infinitive with "to" เสมอครับ เช่น They dare us to fight them. พวกเขาท้าทายพวกเราให้ต่อสู้กับพวกเขา

51

52

She dares to swim across that large river. หล่อนกล้าที่จะว่ายข้ามแม่นำ้าใหญ่สายนั้น

1.2 Dare เมื่อต้องการทำาให้เป็นประโยคคำาถามหรือปฏิเสธ ให้ใช้ Verb to Do เข้ามาช่วย เช่นเดียวกับกริยาแท้ทั่วๆ ไป เช่น บอกเล่า He dares to work hard everyday. คำาถาม Does he dare to work hard everyday? ปฏิเสธ He doesn't dare to work hard everyday. 2. กรณีใช้แบบกริยาช่วย 2.1 Dare ที่ใช้เป็ยกริยาช่วยนั้น กริยาตัวอื่นที่ตามมาจะเป็น Infinitive without "to" และไม่ต้องเติม s แม้จะเป็นประธานเอกพจน์บุรุษที่สาม เช่น

He dare visit Thailand alone. เขากล้ามาเที่ยวประเทศไทยคนเดียว

We dare walk to a big jungle. พวกเรากล้าเดินเข้าไปในป่าดงดิบใหญ่

2.2 Dare

ที่ใช้อย่างกริยาช่วย เมื่อทำาเป็นประโยคคำาถามหรือปฏิเสธ ให้เอา

dare

ขึ้นไปต้นประโยคหรือเติม

not

หลัง

dare

ได้เลย เช่น

That boy dare go to be near a tiger. คำาถาม Dare that boy go to be near a tiger? ปฏิเสธ That boy daren't go to be near a tiger. บอกเล่า

บทที่ ๔๖

Verb : หน้าที่ของ Need Need นั้นสามารถใช้เป็นกริยาแท้ ( Finite Verb ) หรือใช้เป็นกริยาช่วย ( Helping Verb ) ก็ได้ ดังนี้

Need กรณีใช้เป็นกริยาแท้ 1. Need ถ้าใช้แบบกริยาแท้ทั่วๆ ไป จะต้องตามด้วย Infinitive with "to" และเมื่อประธานเป็นเอกพจน์ ปัจจุบันกาล จะต้องเติม -s ที่ Need ด้วย และเมื่อต้องการทำาให้เป็นอดีตกาลก็เติม -ed ที่ Need ได้เลย เช่น She needs to go to see a doctor. หล่อนต้องไปหาหมอ

They needed to come to the meeting yesterday but they didn't. พวกเขาต้องมาประชุมเมื่อวานนี้แต่พวกเขาก็ไม่ได้มา

2. Need ที่ใช้อย่างกริยาแท้เมื่อต้องการทำาให้เป็นประโยคคำาถามหรือประโยคปฏิเสธต้องใช้ Verb to Do เข้ามาช่วย เช่น บอกเล่า : He needs to work to earn his living. ปฏิเสธ : He doesn't need to work to earn his living. คำาถาม : Does he need to work to earn his living.

Need กรณีทใี่ ช้เป็นกริยาช่วย 1. Need ที่ใช้แบบกริยาช่วย คำากริยาตัวอื่นที่ตามหลังต้องเป็น Infinitive without "to" และเมื่อประธานเป็นเอกพจน์ ปัจจุบันกาลก็ไม่ต้องเติม -s ( หรือ -ed, -ing ) ใดๆ ทั้งสิ้น เช่น She need hardly do hard work. เธอแทบจะไม่ได้ทำางานหนักเลย

We need never go to school late. พวกเราไม่เคยไปโรงเรียนสาย

2. Need ที่ใช้แบบกริยาช่วย ไม่นิยมนำาไปแต่งประโยคหรือพูดเป็นประโยคบอกเล่า แต่นิยมใช้เป็นประโยคคำาถามและปฏิเสธเท่านั้น เช่น คำาถาม : Need you continue your studies abroad? คุณต้องการเรียนต่อต่างประเทศหรือ? ปฏิเสธ : They needn't smoke cigarettes. พวกเขาไม่ต้องการสูบบุหรี่

: Need you marry her next month? คุณต้องการแต่งงานกับหล่อนเดือนหน้าหรือ? ปฏิเสธ : He needn't go to see the movie. คำาถาม

เขาไม่ต้องการไปดูหนัง

บทที่ ๔๗

Verb : หน้าที่ของ Used to Used to แปลว่า "เคย" มีรูปเป็น Past Tense เพียงรูปเดียว จะใช้ในกรณีทตี่ ้องการจะกล่าวถึงการกระทำาที่เป็นปรกตินิสัยอยู่ชั่วระยะหนึ่งในอดีต แต่ปัจจุบันการกระทำาที่กล่าวถึงนั้น มิได้กระทำาหรือเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะฉะนั้น

used to

จึงต้องใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำาที่เป็นอดีตเสมอ ดังนี้

1. ใช้ used to + Verb 1 เสมอ เมื่อกล่าวถึงการกระทำาที่เคยทำาในอดีต เช่น Joe used to come here very often when he was young. โจเคยมาที่นี่เป็นประจำาเมื่อตอนเขาเป็นเด็ก

There used to be a cinema in this street last year. เคยมีหนังมาฉายที่ถนนสายนี้เมื่อปีทแี่ ล้ว

2. Used to เมื่อต้องการทำาเป็นประโยคปฏิเสธ ให้ใช้ did not use to, never used to, หรือ used not to + Verb 1 ได้ทั้งนั้น เช่น She did not use to drink whisky so much. หล่อนไม่เคยดื่มเหล้ามากเลย

( did not use to

ส่วนมากนิยมใช้เมื่อเป็นภาษาพูด

)

53

54

We used not to come late to school. พวกเราไม่เคยมาโรงเรียนสายเลย

He never used to get up late. เขาไม่เคยตื่นสาย

3. Used to เมื่อทำาเป็นประโยคคำาถามก็จะใช้ Did เข้ามาช่วย เช่น บอกเล่า : Siriwan used to play tennis. คำาถาม : Did Siriwan use to play tennis? บทที่ ๔๘

Sentences : Simple Sentence Sentence หรือ "ประโยค" นั้นหมายถึงกลุ่มคำาหรือข้อความที่มีใจความสมบูรณ์ ซึ่งมักจะประกอบไปด้วยส่วนใหญ่ๆ 2 ภาคประธาน ( Subject ) และ ภาคแสดง ( Predicate ) Sentence ในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดด้วยกันคือ 1. Simple Sentence ประโยคใจความเดียว 2. Compound Sentence ประโยคใจความรวม 3. Complex Sentence ประโยคใจความซ้อน 4. Compound-Complex Sentence ประโยคใจความผสม SIMPLE SENTENCE Simple Sentence หรือ " เอกัตถประโยค " คือประโยคที่มีประธานตัวเดียวและกริยาตัวเดียว เช่น The little children often buy some toys.

ส่วนด้วยกัน ได้แก่

เด็กกลุ่มนั้นมักจะซื้อของเล่นเป็นประจำา

Unfortunately, he found his house burned. โชคร้ายแท้ๆ ที่เขาพบว่าบ้านของเขาถูกไฟไหม้

Having finished our dinner, we went to watch TV in the living room. เมื่อเสร็จจากอาหารคำ่าแล้ว พวกเราก็ไปดูโทรทัศน์ที่ห้องรับแขก

(

Simple Sentence ถึงแม้วา่ จะมีกริยาหลายตัวก็ตาม แต่กริยาแท้ [ Finite Verb ] มีเพียงตัวเดียวเท่านั้น คือ went นอกนั้นจะเป็นกริยาไม่แท้ [ Non-finite Verb ] ทั้งสิ้น คือ having finished = participle, to watch = infinitive และ living = gerund) Simple Sentence ประกอบไปด้วยประโยคย่อยได้อีก 5 แบบได้แก่ 1. ประโยคบอกเล่า ( Declarative Sentence ) เช่น I live in Chiang Mai. ประโยคที่เป็น

ผมอยู่เชียงใหม่

2. ประโยคคำาถาม ( Interrogative Sentence ) Do you have a pen? คุณมีปากกาซักด้ามไหม?

เช่น

3. ประโยคปฏิเสธ ( Negative Sentence ) I can't speak Russian.

55 เช่น

ผมพูดภาษารัสเซียไม่ได้

4. ประโยคขอร้อง/คำาสั่ง ( Imperative Sentence ) Be quiet in the library.

เช่น

จงเงียบเมื่ออยู่ในห้องสมุด

5. ประโยคอุทาน ( Exclamatory Sentence ) How cold it is!

เช่น

อากาศหนาวอะไรเช่นนี้ บทที่ ๔๙

Sentences : Compound Sentence Compound Sentence Compound Sentence หรือ "อเนกัตถประโยค" หมายถึง ประโยคที่ Simple Sentence 2 ประโยคมารวมด้วยกัน ซึ่งจะเชื่อมด้วย Co-ordinator (ตัวประสาน) เป็นแกนสำาคัญ ซึ่งวิธีการเชื่อมนั้นสามารถทำาได้โดยวิธีดังต่อไปนี้ 1. การเชื่อมด้วยเครื่องหมายวรรคตอน 1.1 Semi-colon ( ; ) ใช้เชื่อมเมื่อเห็นว่าใจความยังต่อเนื่องกันอยู่ไม่อยากที่จะขึ้นประโยคใหม่ เช่น จาก James was sick. He didn't work yesterday. เป็น James was sick; he didn't work yesterday. 1.2 Colon ( : ) และ Dash ( - ) ใช้เชื่อมกรณีทผี่ ลของประโยคหลังมีสาเหตุมาจากประโยคข้างหน้าโดยแท้อย่างแน่นอน เช่น จาก Pina's car was broken. She didn't come to the party last night. เป็น Pina's car was broken: she didn't come to the party last night. หรือ Pina's car was broken - she didn't come to the party last night. หรือ Pina's car was broken; she didn't come to the party last night. ก็ได้ครับเพราะใจความต่อเนื่องกัน 1.3 Comma ( , ) เครื่องหมายนี้ก็นิยมใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีความต่อเนื่องกันครับ เช่น I looked around here. A was reading, B was drawing, C was playing football. ผมมองไปรอบๆ ที่นี่ เห็นเอกำาลังอ่านหนังสือ บีกำาลังวาดรูป ส่วนซีกำาลังเล่นฟุตบอล

2.

Co-ordinate Conjunction การเชื่อมด้วยวิธีนสี้ ามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทด้วยกันครับ คือ การเชื่อมด้วย

2.1 แบบรวม ( Cumulative ) คือคำาที่มีความหมายเทียบเท่า and ดังเช่นคำาว่า and...too, and...also, and also, as well as, and...as well, both...and, not only...but also เช่น Maria is beautiful and sexy.

56

มาเรียสวยและเซ็กซี่

Maria is beautiful and sexy too. มาเรียสวยและเซ็กซี่ด้วย

Maria is beautiful and sexy also. มาเรียสวยและก็เซ็กซี่ด้วย

Maria is beautiful and also sexy. มาเรียสวยและก็เซ็กซี่ด้วย

Maria is beautiful as well as sexy. มาเรียสวยพอๆ กันกับเซ็กซี่

Maria is beautiful and sexy as well. มาเรียสวยและก็เซ็กซี่อีกด้วย

Maria is both beautiful and sexy. มาเรียทั้งสวยและเซ็กซี่

Maria is not only beautiful but also sexy. มาเรียไม่เพียงแต่สวยเท่านั้น แต่ยังเซ็กซี่อีกด้วย

2.2 แบบเลือก ( Disjunctive ) คือคำาที่มีความหมายเทียบเท่า or ดังเช่นคำาว่า or else, either...or, neither...nor เช่น He must go now, or he will miss the train. เขาจะต้องไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นแล้วเขาจะตกรถไฟ

He must do this, or else he'll be punished. เขาจะต้องทำาสิ่งนี้ หรือมิฉะนัน้ แล้วเขาจะถูกทำาโทษ

Either you or she has to do this. คุณหรือหล่อนก็ได้ต้องทำาสิ่งนี้

Neither you nor them have to go to to school on Sunday. ทั้งคุณและพวกเขาไม่ต้องไปโรงเรียนวันอาทิตย์

2.3 แบบแยก (Adversative ) คือคำาที่มีความหมายเทียบเท่า but ดังเช่นคำาว่า while, whereas, yet, still เช่น He didn't study hard, but he passed his examination. เขาไม่ได้เรียนอย่างขะมักเขม้นเท่าไร แต่เขาก็สอบผ่าน

She is very beautiful, while all her sisters are ugly. หล่อนเป็นคนที่สวยมาก ในขณะที่พี่สาวทุกคนของหล่อนกลับขี้เหร่

Wise men love truth, whereas fools shun it. คนฉลาดรักแต่ความจริง ส่วนพวกโง่ชอบหลีกเลี่ยง

She worked well, yet she failed.

57

หล่อนทำางานดี ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังประสบความล้มเหลว

The pain was bad, still he did not complain. ความเจ็บปวดนั้นร้ายแรงมาก ถึงกระนั้นเขาก็ไม่บ่น

2.4 แบบเหตุผล ( Illative ) คือคำาที่มีความหมายเทียบเท่า so ดังเช่นคำาว่า for, therefore, consequently, accordingly เช่น It's time to go, so let's start our journey. ถึงเวลาต้องไปแล้ว ดังนั้นพวกเราเริ่มออกเดินทางกันเถอะ

I went in, for the door was open. ผมเข้าไปข้างใน เพราะประตูเปิดไว้

He was found guilty; therefore, he was imprisoned. เมื่อพบว่าเขามีความผิด ดังนั้นเขาจึงถูกจำาคุก

She was sick; consequently, she didn't go to school. หล่อนไม่สบาย เพราะฉะนั้นหล่อนจึงไม่ไปโรงเรียน

Thomas won the lottery; accordingly, he bought a new car. โทมัสถูกล๊อตเตอรี่ เพราะฉะนั้นเขาจึงซื้อรถคันใหม่ บทที่ ๕๐

Sentences : Complex Sentence Complex Sentence Complex Sentence หรือ ประโยคความซ้อน หมายถึงประโยคใหญ่ที่ประกอบขึ้นมาจากประโยคเล็ก 2 ประโยคโดยประโยคหนึ่ง เรียกว่า Main Clause ( ประโยคหลัก ) ส่วนอีกประโยคหนึ่งเรียกว่า Subordinate Clause ( อนุประโยค ) This is the house that I bought last year. This is the house = ประโยคหลัก that I bought last year = อนุประโยค ประโยคความซ้อนเหล่านีส้ ามารถเชื่อมได้โดยใช้คำาเชื่อมเหล่านี้

1. ใช้คำาเชื่อมเป็น Subordinate Conjunction คือ if, as if (ราวกับว่า), since, because, that, whether, lest, as, before, after, until, till, though, although, unless, so that, than, provided, in order that, provided that, notwithstanding(แต่กระนั้น), etc. เช่น Wait here until I come back. รออยู่ที่นี่จนกว่าผมจะกลับมา

He works as if he were a machine. เขาทำางานราวกับว่าเขาเป็นเครื่องจักร

She said that she would come back soon.

58

หล่อนพูดว่าหล่อนจะกลับมาเร็วๆ นี้

He is unhappy because he is very poor. เขาไม่มีความสุขเพราะว่าเขายากจนมาก

2. ใช้ Relative Pronoun เป็นคำาเชื่อมได้ อันได้แก่ who, whom, whose, which, that, as , but, what, of which, where เช่น The tree of which the leaves are yellow is dying. ต้นไม้ที่มีใบเหลืองกำาลังจะตาย

There was no one but admired him. ไม่มีผู้ใดที่จะไม่ยกย่องเขา

The woman who came here this morning is my niece. ผูห้ ญิงที่มาที่นี่เมื่อเช้านี้เป็นหลานสาวของผม

She made the same mistakes as her sister did. หล่อนได้ทำาผิดอย่างเดียวกันกับที่พี่สาวของหล่อนทำา

He is the first man who has won this kind of prize. เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้

3. ใช้ Relative Adverb เป็นคำาเชื่อม คือ when, whenever, where, why, wherever, how เช่น I don't understand why they have done that. ผมไม่เข้าใจว่าทำาไมพวกเขาจึงทำาเช่นนั้น

Do you know how she did it? คุณทราบไหมว่าหล่อนทำาได้อย่างไร? He will go wherever she lives. เขาจะไปที่ไหนก็ได้ที่หล่อนอยู่

I don't know when they arrives here. ฉันไม่ทราบว่าเมื่อไรพวกเขาจะมาถึงที่นี่ บทที่ ๕๑

Sentences : Compound Complex Sentence Compound Complex Sentence หมายถึง ประโยคใหญ่ตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไปมารวมกันอยู่โดยที่ประโยคใหญ่ท่อนหนึ่งนั้นจะมีประโยคเล็กแทรกซ้อนอยู่ภายใน เช่น I saw no one is the house which you had told me about, so I didn't go in. ผมไม่เห็นใครอยู่ในบ้านที่คุณได้บอกให้ผมทราบนั้นเลย ดังนั้นผมจึงไม่ได้เข้าไปข้างใน

( ประโยคที่ยกมาดังกล่าวจะมีประโยคใหญ่อยู่ 2 ประโยคคือ ประโยคแรกได้แก่ I saw no one in the house which you had told me about

2 ได้แก่ so I didn't go in ประโยคแรกนั้นจะมีประโยคเล็กแทรกซ้อนอยู่ภายในคือ which you had told me about ลักษณะประโยคเช่นนี้เราเรียกว่า Compound Complex Sentence ) I couldn't remember what his name is, but I will ask him.

59

และประโยคที่

ผมจำาไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร แต่ผมจะถามเขาดูอีกครั้ง

He lost the radio which he borrowed from me, so he couldn't face with me again. เขาทำาวิทยุที่เขายืมจากฉันไปหาย ดังนั้นเขาเลยไม่กล้าสู้หน้าฉัน

บทที่ ๕๒

Word Building : Common Prefixes (1) Word Building คือ การสร้างคำาขึ้นมาใหม่จากฐานเดิม ( Base ) โดยการเติมพยางค์เข้าข้างหน้าหรือข้างหลัง พยางค์ที่เติมข้างหน้าเพื่อให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค ) " จะเปลี่ยน ความหมาย ออกไปจากฐานคำาเดิม พยางค์ที่เติมข้างหลังเพื่อให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย ) " จะเปลี่ยน Part of Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม

Words are made up of word parts: prefixes, suffixes and roots. A knowledge of these word parts and their meanings can help you determine the meanings of unfamiliar words. A PREFIX is a syllable that precedes the root or stem and chages or refines its meaning. Prefix

Meaning from, away ab, abs from ad, ac, af, ag, to, forward an, ap, ar, as, at

Illustration abduct = lead away, kidnap abjure = renounce adit = entrance accord = agreement, harmony affliction = distress aggregation = collection annexation = addition apparition = ghost arraignment = indictment assumption = arrogance, taking for granted

60

attendance = presence, the persons present ambiguous = of double meaning ambi both ambivalent = having two conflicting emotions anarchy = lack of government an, a without amoral = without moral sense antecedent = preceding event or word ante before antediluvian = ancient (before the flood) against, antipathy = hatred anti opposite antithetical = exactly opposite archetype = original arch chief, first archbishop = chief bishop over, bedaub = smear over be thoroughly befuddle = confuse thoroughly bicameral = composed by two bi two houses (Congress) biennial = every two years catastrophe = disaster cata down cataract = waterfall catapult = hurl (throw down) circumnavigate = sail around (the globe) circumspect = cautious (looking circum Around around) circumscribe = limit (place a circle around) combine = merge with coeditor = joint editor com, co, col, with, collateral = subordinate, con, cor together connected conference = meeting corroborate = confirm

61

contra, contro de demi di

dia dis, dif dys ex, e

extra, extro

hyper

contravene = conflict with controversy = dispute debase = lower in value down, away decadence = deterioration partly, half demigod = partly divine being dichotomy = division into two parts two dilemma = choice between two bad alternatives diagonal = across a figure across diameter = distance across a circle discord = lack of harmony not, apart differ = disagree (carry apart) dyslexia = faulty ability to read faulty, bad dyspepsia = indigestion expel = drive out out eject = throw out extracurricular = beyond the curriculum extraterritorial = beyond a beyond, nation's bounds outside extrovert = person interested chiefly in external objects and actions hyperbole = exaggeration above; hyperventilate = breathe at an excessively excessive rate Against

บทที่ ๕๓

Word Building : Common Prefixes (2) Word Building คือ การสร้างคำาขึ้นมาใหม่จากฐานเดิม ( Base ) โดยการเติมพยางค์เข้าข้างหน้าหรือข้างหลัง พยางค์ที่เติมข้างหน้าเพื่อให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค ) " จะเปลี่ยน ความหมาย ออกไปจากฐานคำาเดิม

พยางค์ที่เติมข้างหลังเพื่อให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า ออกไปจากฐานคำาเดิม

" Suffix (

ปัจจัย

)"

จะเปลี่ยน

Part of Speech

62

Words are made up of word parts: prefixes, suffixes and roots. A knowledge of these word parts and their meanings can help you determine the meanings of unfamiliar words. A PREFIX is a syllable that precedes the root or stem and chages or refines its meaning. Prefix

Meaning Illustration beneath; hypo hypoglycemia = low blood sugar lower inefficient = not efficient inarticulate = not clear or distinct illegible = not readable in, il, not impeccable = not capable of sinning; im, ir flawless irrevocable = not able to be called back invite = call in illustration = something that makes in, il, clear in, on, upon im, ir impression = effect upon mind or feelings irradiate = shine upon intervene = come between between, inter international = between nations among interjection = a statement thrown in intramural = within a school intra, within introvert = person who turns within intro himself macrobiotic = tending to prolong life macro large, long macrocosm = the great world (the entire universe) mega great, megalomania = delusions of

63

meta

million

grandeur megaton = explosive force of a million tons of TNT

involving change

metamorphosis = change of form

microcosm = miniature universe microscopic = extremely small misdemeanor = minor crime; bad bad, mis conduct improper mischance = unfortunate accident misanthrope = person who hates mis hatred mankind misogynist = woman-hatred monarchy = government by one mono one ruler monotheism = belief in one god multifarious = having many parts multi many multitudinous = numerous neologism = newly coined word neo new neophyte = beginner; novice non not noncommittal = undecided obloquy = infamy; disgrace occlude = clost; block out ob, oc, against offend = insult of, op opponent = someone who struggles against; foe olig few oligarchy = government by a few panacea = cure-all pan all, every panorama = unobstructed view in all directions beyond, parallel = similar para related paraphrase = restate; translate permeable = allowing passage through, per through completely pervade = spread throughout peri around, nearperimeter = outer boundary micro

small

64

poly

many

periphery = edge polyglot = speaking several languages บทที่ ๕๔

Word Building : Common Prefixes (3) Word Building คือ การสร้างคำาขึ้นมาใหม่จากฐานเดิม ( Base ) โดยการเติมพยางค์เข้าข้างหน้าหรือข้างหลัง พยางค์ที่เติมข้างหน้าเพื่อให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค ) " จะเปลี่ยน ความหมาย ออกไปจากฐานคำาเดิม พยางค์ที่เติมข้างหลังเพื่อให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย ) " จะเปลี่ยน Part of Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม

Words are made up of word parts: prefixes, suffixes and roots. A knowledge of these word parts and their meanings can help you determine the meanings of unfamiliar words. A PREFIX is a syllable that precedes the root or stem and chages or refines its meaning. Prefix Meaning Illustration post after posthumous = after death preamble = introductory statement pre before premonition = forewarning primordial = existing at the dawn of time prim first primogeniture = state of being the first born forward, in propulsive = driving forward pro favor of proponent = supporter proto first prototype = first of its kind pseud false pseudonym = pen name o reiterate = repeat re again, back reimburse = pay back retrospect = looking back retro backward retroactive = effective as of a past date se away, aside secede = withdraw

65

seclude = shut away semi half, partly semiconscious = partly conscious sub, subjugate = bring under control suc, succumb = yield; cease to resist suf, suffuse = spread through under, less sug, suggest = hint sup, suppress = put down by force sus suspend = delay super, supernatural = above natural things over, above sur surtax = additional tax synchronize = time together syn, sympathize = pity; identify with sym, with, together syllogism = explanation of how syl, ideas relate sys system = network telegraphic = communicated over a tele far distance trans across transport = carry across beyond, ultra ultracritical = exceedingly critical excessive un not unkempt = not combed; disheveled under below underling = someone inferior unison = oneness of pitch; complete uni one accord viceroy = governor acting in place of vice in place of a king with away, against withstand = stand up against; resist บทที่ ๕๕

Word Building : Common Suffixes Word Building คือ การสร้างคำาขึ้นมาใหม่จากฐานเดิม ( Base ) โดยการเติมพยางค์เข้าข้างหน้าหรือข้างหลัง พยางค์ที่เติมข้างหน้าเพื่อให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค ) " จะเปลี่ยน ความหมาย ออกไปจากฐานคำาเดิม พยางค์ที่เติมข้างหลังเพื่อให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย ) " จะเปลี่ยน Part of Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม

A SUFFIX is a syllable that is added to a word. Occasionally, it changes the meaning of the word;

66

more frequently, it serves to change the grammatical form of the word (noun to adjective, adjective to noun, noun to verb). Suffix Meaning Illustration portable = able to be able, capable of (adjective carried ible suffix) legible = able to be read cardiac = pertaining to the like, pertaining to heart ac, ic (adjective suffix) aquatic = pertaining to the water acious audacious = full of daring , full of (adjective suffix) avaricious = full of greed icious maniacal = insane final = pertaining to the pertaining to (adjective al end or noun suffix) logical = pertaining to logic eloquent = pertaining to fluid, effective speech ant, full of (adjective or noun suppliant = pleader ent suffix) (person full of requests) verdant = green dictionary = book like, connected with connected with words ary (adjective or noun honorary = with honor suffix) luminary = celestial body consecrate = to make holy ate

ation

to make (verb suffix)

that which is (noun suffix)

enervate = to make weary mitigate = to make less severe exasperation = irritation irritation = annoyance

67

cy

state of being (noun suffix)

eer, person who (noun er, or suffix)

escent

becoming (adjective suffix)

fic

making, doing (adjective suffix)

fy

to make (verb suffix)

iferous

producing, bearing (adjective suffix)

il, ile

pertaining to, capable of (adjective suffix)

ism

doctrine, belief (noun suffix)

ist

dealer, doer (noun suffix)

ity

state of being (noun suffix)

ive

like (adjective suffix)

democracy = government ruled by the people obstinacy = stubbornness mutineer = person who rebels lecher = person who lusts censor = person who deletes improper remarks evanescent = tending to vanish pubescent = arriving at puberty terrific = arousing great fear soporific = causing sleep magnify = enlarge pertrify = turn to store pestiferous = carrying disease vociferous = bearing a loud voice puerile = pertaining to a boy or child civil = polite monotheism = belief in one god fanaticism = excessive zeal; extreme belief realist = one who is realistic artist = one who deals with art credulity = state of being unduly willing to believe sagacity = wisdom quantitative = concerned

68

with quantity effusive = gushing harmonize = make harmonious ize, iseto make (verb suffix) enfranchise = make free or set free ovoid = like an egg anthropoid = resembling a resembling, like oid human being (adjective suffix) spheroid = resembling a sphere ose full of (adjective suffix) verbose = full of words psychosis = diseased mental condition osis condition (noun suffix) hypnosis = condition of induced sleep nauseous = full of nausea ous full of (adjective suffix) ludicrous = foolish fortitude = state of strength tude state of (noun suffix) certitude = state of sureness บทที่ ๕๖

Preposition : On Preposition คือ คำาที่ทำาหน้าที่เชื่อมหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ noun, verb noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ pronoun การใช้ ON 1). "on" ในความหมายแปลว่า "บน, ช้างบน" เพื่อแสดงตำาแหน่ง (Position) เช่น He sits on the sofa. เขานั่งบนโซฟา The teacher writes on the blackboard. คุณครูเขียนบนกระดาน The table is on the floor. โต๊ะอยู่บนพื้น 2). "on" ใช้บอกเวลาที่เป็นชื่อของวันหรือวันที่และวันสำาคัญๆ เพื่อบ่งบอกเวลา เช่น on Monday, on June 18, on King's Birthday

กับ

Her birthday is on September 19th. เธอเกิดวันที่ 19 กันยายน I went to Chiang Mai on Saturday. ผมไปเชียงใหม่เมื่อวันเสาร์ 3). "on" ใช้นำาหน้าชื่อถนนเพื่อแสดงสถานที่ เช่น His house is on Charoen Krung Road. บ้านของเขาอยู่ถนนเจริญกรุง The post office is on Wireless Road. ทีท่ ำาการไปรษณีย์อยู่บนถนนวิทยุ 4). "on" ใช้กับยานพาหนะที่ไม่มีอะไรปิดบัง เช่น on a bicycle, on a horse, on a motorcycle เป็นต้น คำาต่อไปนีต้ ้องมี "on" อยู่เสมอนะครับ ^_^ based on = อาศัยรากฐานจาก call on = เยี่ยม comment on = วิจารณ์ congratulation on = แสดงความยินดี count on = มุ่งหวัง depend on = ขึ้นอยู่กับ live on = มีชีวิตอยู่ได้ดว้ ย spend on = ใช้ (เวลา, วัน) decide on = ตัดสินใจ insist on = รบเร้า on fire = กำาลังไหม้ on purpose = โดยจงใจ on business = ด้วยเรื่องการค้า on the other hand = อีกนัยหนึ่ง on pleasure = เพื่อความสนุก on the contrary = โดยทางกลับกัน on holiday = ในวันหยุดงาน on the whole = กล่าวโดยรวม on vacation = ในวันหยุด on no account = ไม่ว่าอะไระเกิดขึ้น on duty = ปฏิบัติหน้าที่ on second thoughts = เมื่อคิดอีกทีหนึ่ง on watch = กำาลังเฝ้า on the overage = โดยส่วนเฉลี่ย on guard = เข้าเวรยาม on leave = อยู่ระหว่างการลาพัก on a visit = อยู่ระหว่างการเยี่ยม on one's way = อยู่ระหว่างเดินทาง on a journey = อยู่ระหว่างการเดินทาง on foot = โดยเท้า on sale = ลดราคา on time = ตรงเวลา on horseback = โดยขี่ม้า on my account = เกี่ยวกับฉัน

69

บทที่ ๕๗

Preposition : In Preposition คือ คำาที่ทำาหน้าที่เชื่อมหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ noun, verb noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ pronoun การใช้ IN 1). "in" ในความหมายแปลว่า ใน, ภายใน หรือ ในสถานที่ เช่น

กับ

70

Fish live in the water. ปลาอาศัยอยู่ในนำ้า He works in a laboratory. เขาทำางานในห้องทดลอง Put it in the box, please. โปรดเอามันใส่ไว้ในกล่อง 2). "in" ใช้บอกเวลาที่เป็นชื่อเดือน ปี ฤดูกาล และส่วนแบ่งภาคของวัน เช่น in the morning, in the afternoon, in April, in spring เป็นต้น We will take an examination in March. พวกเราจะสอบในเดือนมีนาคม It is very hot in April. อากาศร้อนมากในเดือนเมษายน It is very hot in summer. อากาศร้อนมากในฤดูร้อน I was born in B.E. 2522. ผมเกิดปี พ.ศ. 2522 I like to go shopping in the afternoon. ฉันชอบไปเดินช้อปปิ้งในตอนบ่าย 3). "in" นำาหน้าชื่อเมืองหลวง รัฐ หรือประเทศ เพื่อแสดงสถานที่ เช่น in Paris, in Singapore, in Thailand เป็นต้น Mr. Wolfgang's office is in Berlin. สำานักงานของคุณวูลฟ์กังอยู่ในกรุงเบอร์ลิน Thais live in Thailand. คนไทยอาศัยอยู่ในประเทศไทย คำาต่อไปนีต้ ้องมี "in" อยู่เสมอนะครับ ^_^ persist in = ยืนกราน involved in = เข้าไปมีส่วนร่วม succeed in = ได้รับความเข้าใจ interested in = สนใจใน engage in = มีธุระอยู่กับ fail in = สอบตก, ล้มเหลว encourage in = สนับสนุน dress in = สวมชุด, แต่งด้วย believe in = มีความเชื่อมั่นใน, นับถือ absorb in = สนใจมาก, ครำ่าเคร่ง share in = ส่วนแบ่งใน in a way (in some way) = โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง in other words = กล่าวอีกอย่างหนึ่ง in work = มีงานทำา in itself = ในตัวมันเอง in turn = ทีละคน, ตามวาระ in need = ในความต้องการ in general = โดยทัว่ ๆ ไป in love = หลงรัก in all likelihood = ทุกวิธีที่น่าจะเป็นไปได้ in danger = ตกอยู่ในอันตราย in a word = โดยคำาๆ เดียว in difficulties = ตกอยู่ในความลำาบาก in brief = โดยย่อๆ in debt = มีหนี้สนิ in a sense = ในความหมายหนึ่ง in time = ทันเวลา in particular = โดยเฉพาะ in secret = เป็นความลับ in fact = ตามความเป็นจริง in private = เป็นการส่วนตัว in some cases = ในบางกรณี in public = ต่อหน้าสาธารณชน in that case = ในทุกกรณี in a hurry = โดยรีบด่วน in any case = ในทุกกรณี in play = โดยเล่นๆ in all = โดยทั้งหมด, ทั้งหมด

71

in fun = เพียงสนุกๆ in common =

in tears = ด้วยนำ้าตา in sight = อยู่ในระยะที่มองเห็น

มีส่วนร่วมกัน

บทที่ ๕๘

Preposition : At Preposition คือ คำาที่ทำาหน้าที่เชื่อมหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ pronoun การใช้ AT 1). "at" แปลว่า ที่ แสดงตำาแหน่ง (position) เช่น at home, at the railway station, at school, at the theatre เป็นต้น We meet him at the bus station. พวกเราพบเขาที่สถานีรถประจำาทาง Pannee worked at home last Sunday. พรรณีทำางานที่บ้านเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว 2). "at" นำาหน้าบ้านเลขที่ แสดงสถานที่ (place) เช่น I live at 29/9 Charoen Krung Road. ผมอาศัยอยู่เลขที่ 29/9 ถนนเจริญกรุง The teacher's house is at 14 Soi Rang Nam. บ้านของคุณครูอยู่เลขที่ 14 ซอยรางนำ้า 3). "at" นำาหน้าเพื่อบ่งบอกเวลา (time) เกี่ยวกับชั่วโมงและเพื่อบ่งบอกเวลาเฉพาะเจาะจง เช่น at noon, at 6 o'clock, at breakfast He wakes up at 6 o'clock everyday. เขาตื่นนอน 6 โมงเช้าทุกวัน We will have a tea-party at 4.30 p.m. พวกเราจะจัดงานเลี้ยงนำ้าชาตอน 16.30 น. คำาต่อไปนีต้ ้องมี "at" อยู่เสมอนะครับ ^_^ aim at = เล็งไปที่ knock at = เคาะ, ทุบ surprised at = ประหลาดใจ at heart = โดยสันดาจ (ในใจ) at first sight = เมื่อแรกพบ at a profit = ได้กำาไร at this, at that = ด้วยเหตุนี้, at ease = พักเหนื่อย at hand = อยู่แค่เอื้อม at all costs = จะเสียเท่าไรก็ตาม

นั้น

stay at = พักอยู่ที่ good at = เก่งในทาง amused at = เพลิดเพลินกับ at a loss = งง, ขาดทุน at will = ตามใจ, ตามความต้องการ at church = อยู่ที่โบสถ์ at length, at last = at home = อยู่ที่บ้าน at peace = ในยามสงบ at war = ในยามสงคราม

ในที่สุด

72

at at at at at at at at at at at

first = เริ่มแรก, ครั้งแรก once = ทันที, เดี๋ยวนี้ least = อย่างน้อยที่สุด most = อย่างมากที่สดุ best = อย่างดีทสี่ ุด worst = อย่างแย่ที่สุด present = ปัจจุบันนี้ all events = ถึงจะอย่างไรก็ตาม a pinch = แทบเลือดตากระเด็น school = เรียนหนังสือ sea = อยู่ที่ทะเล

at at at at at at at at at at at

play = ขณะเล่น, กำาลังเล่น rest = ขณะพักผ่อน short notice = เพียงแวบเดียว breakfast = ขณะรับประทานอาหารเช้า dinner = ขณะรับประทานอาหารเย็น work = ขณะทำางาน sight = เมื่อมองเห็น any rate = อย่างไรก็ตาม the same time = พร้อมกัน a time = พร้อมกัน, คราวเดียวกัน times = บางครั้ง, บางเวลา

บทที่ ๕๙

Preposition : By Preposition คือ คำาที่ทำาหน้าที่เชื่อมหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ noun, verb noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ pronoun การใช้ BY แปลว่า "เมื่อถึง" ให้หลังกริยาใดๆ หมายความว่า การกระทำานั้นจะมีขึ้นเมื่อถึงเวลานั้น เช่น He will finish it by next week. เขาจะทำาเสร็จเมื่อถึงสัปดาห์หน้า She wll arrive here by nine o'clock. หล่อนจะมาถึงที่นี่เมื่อถึงเวลา 9 นาฬิกา นอกจากนี้อาจจะแปลได้ว่า "ข้างๆ, ใกล้, โดย, ด้วย, ผ่านไป, ตาม" สามารถใช้กับสถานที่ได้ เช่น by the bridge (ข้างสะพาน), by the side of the road (ที่ขา้ งๆ ถนน) การใช้ BY ที่น่าสนใจ 8. to go by the board = ถูกยกเลิก, ล้มเหลว 9. to go by the book = ทำาไปตามแบบอย่างที่ทำากันโดยทั่วไป 10. to pay by check = จ่ายเงินโดยการใช้เช็ค 11. by chance = โดยบังเอิญ 12. to play music by ear = เล่นดนตรีโดยไม่ใช้โน้ต 13. to do something by fits and starts = ไม่เป็นไปตามระบบ

กับ

14. by force =

73 ด้วยการใช้กำาลัง

15. by good fortune =

, ฟลุก 16. to learn/know something by heart = จำาได้ขึ้นใจ 17. to travel by land/sea/air = เดินทางไปทางบก/ทางทะเล/ทางอากาศ 18. to do something by leaps and bounds = ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว 19. by the look of it = ตัดสินใจโดยการพิจารณาจากรูปร่าง, หน้าตา 20. related by marriage = เกี่ยวพันกันด้วยการแต่งงาน 21. by all means = ทุกชนิด, อย่างแน่นอน 22. by no means = ห้ามเด็ดขาด 23. to know someone by name = รู้จักแต่ชื่อ 24. by nature = ตามธรรมชาติ 25. to communicate by radio = ติดต่อทางวิทยุ 26. to do something by stages = ทำาตามลำาดับ, ทำาทีละขั้น 27. to do something by turn = ผลัดกันทำา 28. to do something by oneself = ทำาด้วยตนเอง 29. to sell something by weigh = ขายโดยการชั่งนำ้าหนัก 30. it's 8 o'clock by my watch = นาฬิกาของผมเวลา 8 นาฬิกา 31. a room twenty feet by fifteen = ห้องขนาด 20 x 15 ฟุต 32. too long by two yards = ยาวเกินไป 2 หลา 33. greater by half = ใหญ่เกินไปครึ่งหนึ่ง 34. older by five years = แก่กว่า 5 ปี 35. to sit by oneself = นั่งอยู่คนเดียว 36. The clock stopped by itself. = นาฬิกาหยุดเดินเอง คำาต่อไปนีต้ ้องนำาหน้าด้วย "BY" นะครับ ^_^ by ship = โดยทางเรือ by car = โดยรถยนต์ by plane = โดยเครื่องบิน by bus = โดยรถประจำาทาง by letter = โดยทางจดหมาย by post = โดยทางไปรษณีย์ by accident = โดยบังเอิญ by good fortune = โดยโชคดี by luck = ด้วยโชค by-self = โดยลำาพัง by rights = โดยแท้จริง by degrees = ทีละเล็กละน้อย by hand = โดยส่งให้ด้วยมือ by sight = เห็นมากับตา by cable = โดยทางโทรเลข by telegram = โดยทางโทรเลข ด้วยความโชคดี

74

by design = โดยวางแผนมาก่อน by far = อย่างมาก ( สุดยอด )

by mistake = โดยหลงผิด by day = ในเวลากลางวัน บทที่ ๖๐

Preposition : Out of Preposition คือ คำาที่ทำาหน้าที่เชื่อมหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ noun, verb noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ pronoun การใช้ OUT OF "out of" แปลว่า ออกจาก, จาก, นอก, เนื่องจาก ใช้กบั กริยาที่แสดงอาการเคลื่อนที่ออกจาก ซึ่งตรงข้ามกับคำาว่า "into" เช่น I went out of the classroom. ฉันออกจากห้องเรียน Bring all the things out of the box. เอาของทั้งหมดออกมาจากกล่อง การใช้ OUT OF ที่นา่ สนใจ to come out of the blue = โดยไม่คาดคิด (unexpectedly) out of condition = ไม่เหมาะ, ผิดเงื่อนไข out of danger = พ้นอันตราย out of door = นอกบ้าน, หมดสมัย to jump out of the frying-pan into the fire = หนีเสือปะจระเข้ out of hand = ควบคุมไม่ได้ out of luck = โชคไม่ดี time out of mind = นานมาแล้ว out of place = ไม่เหมาะสม out of temper = อารมณ์เสีย out of use = ไม่ได้ใช้แล้ว out of breath = แทบขาดใจ out of reach = เอื้อมไม่ถึง out of ordinary = ผิดจากธรรมดา out of date = พ้นสมัย, ล้าสมัย out of stock = หมดสต๊อก out of control = ควบคุมไม่ได้

to get out of someone's cluthes = หนีออกจากอิทธิพลหรืออำานาจ out of crop = พ้นฤดูพืชผล out of debt = หมดหนี้ out of fashion = ไม่ทันแฟชั่น, หมดสมัย out of one's grasp = out out out out out out out out out out out

บทที่ ๖๑

of of of of of of of of of of of

หาไม่ได้

humour = อารมณ์เสีย office = พ้นจากหน้าที่ position = ไม่ถูกต้องกับตำาแหน่ง sight = พ้นสายตา town = ไปนอกเมือง work = ตกงาน, ไม่มีงานทำา hearning = พ้นระยะได้ยนิ question = นอกประเด็น practice = ขาดการฝึกฝน turn = ผิดรอบ, ผิดวาระ repair = แก้ไขไม่ได้

กับ

Preposition : With Preposition คือ คำาที่ทำาหน้าที่เชื่อมหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ noun, verb noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ pronoun การใช้ WITH "with" มักใช้แสดงถึงเครื่องมืออุปกรณ์ เช่น He had breakfast with spoon.

75 กับ

เขารับประทานอาหารเช้าด้วยช้อน

My friend shot the bird with gun. เพื่อนของผมยิงนกด้วยปืน

with ที่นา่ สนใจ to do something with care = ทำาด้วยความระมัดระวัง to do something with difficulties = ทำาด้วยความยากลำาบาก to do something with pleasure = ด้วยความยินดี to do something with had good grace = ทำาด้วยความเต็มใจ to do something with a will = ทำาอย่างกระตือรือล้น to pass an examination with credit = ทำาได้ดีเป็นที่เชื่อถือ to do something with the intention = ทำาด้วยความตั้งใจ to do something with purpose/aim = ทำาด้วยมีจุดประสงค์ กริยาที่ต้องตามด้วย "with" เสมอ การใช้

angry with = โกรธ, โมโห agree with = เห็นด้วย communicate with = ติดต่อกับ satisfied with = พอใจกับ compare with = เปรียบเทียบกับ

covered with = ปกคลุมด้วย pleased with = รู้สึกพอใจกับ compete with = แข่งขันกับ interfere with = ก่อกวน confuse with = สับสนกับ บทที่ ๖๒

Preposition : Before & After Preposition คือ คำาที่ทำาหน้าที่เชื่อมหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ noun, verb noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ pronoun การใช้ BEFORE before แปลว่า ก่อน, ก่อนหน้า, มาก่อน, ตรงหน้า, ต่อหน้า

กับ

1). ใช้ before กับเวลา เช่น before breakfast = ก่อนอาหารเช้า before Christmas = ก่อนคริสต์มาส to come before time = มาก่อนเวลา 2). ใช้ before แสดงถึงการเรียงลำาดับ เช่น A comes before B = อักษร A มาก่อนอักษร B ladies before gentlemen = สุภาพสตรีก่อนสุภาพบุรุษ 3). before ใช้ในความหมายว่า "ต่อหน้า" เช่น to appear before a magistrate/judge = ปรากฏตัวต่อหน้าผู้พิพากษา การใช้ AFTER after แปลว่า ภายหลัง, หลังจาก 1. She arrived here after us. เธอมาถึงที่นี่หลังพวกเรา 2. The students go to school after breakfast.

76

นักเรียนไปโรงเรียนหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว

after ที่นา่ สนใจ after lunch/dinner = หลังอาหารกลางวัน/เย็น after dark = หลังจากมืด time after time = ทำาซำ้าๆ ( ครั้งแล้วครั้งเล่า ) after consultation with someone = หลังจากที่ปรึกษากับ..... a paint after Reynold = ภาพวาดในสไตล์ของเรโนลด์ to do something after a fashion = ทำาด้วยท่าทางไม่พอใจ a man/woman after one's own heart = คนที่ถือว่าตัวเองถูก การใช้

บทที่ ๖๓

Preposition : Of Preposition คือ คำาที่ทำาหน้าที่เชื่อมหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ pronoun การใช้ OF (1). ใช้ of ในความหมายถึงเป็นสาเหตุของเหตุการณ์นั้นๆ เช่น to die of hunger/starvation/explosure = ตายด้วยความหิวโหย/ความอดอยาก to happen of itself = เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุจากภายนอก ( The fire must broken out of itself. = ไฟเกิดขึ้นเอง ) (2). ใช้ of เพื่อแสดงถึงลักษณะของคน เช่น

a man of courage/distinction/many talents = ชายผู้มีลักษณะพิเศษ, ชายมีความสามารถพิเศษหลายด้าน a man of means = ชายรำ่ารวย (3). ใช้ of เพื่อแสดงถึงในความหมายว่า made of silver = ทำาด้วยเงิน a table of solid wood = โต๊ะทำาด้วยไม้เนื้อแข็ง a crown of gold = มงกุฎทอง (4). ใช้ of เพื่อแสดงถึงปริมาณหรือการวัดสิ่งของ เช่น an acre of land = ทีด่ ิน 1 เอเคอร์ a pound of apples = แอปเปิ้ล 1 ปอนด์ a box of matches = ไม้ขดี กล่องหนึ่ง a book of stamps = หนังสือแสตมป์ (5). ใช้ of นำาหน้านามเพื่อแสดงการเป็นเจ้าของ เช่น the capital of France = เมืองหลวงของฝรั่งเศส the city of London = เมืองแห่งกรุงลอนดอน a native of Korea = พลเมืองของเกาหลี the inhabitants of Rome = พลเมืองชาวโรม กริยาที่ต้องตามด้วย "OF" เสมอ afraid of = กลัว careful of = ระมัดระวัง compose of = ประกอบด้วย full of = เต็มไปด้วย sure of = เชื่อแน่ approve of = เห็นชอบด้วยกับ complain of = บ่นถึง get rid of = กำาจัดให้พ้น dream of = ฝันถึง

ashamed of = ละอายใจ complain of = บ่น consist of = ประกอบด้วย proud of = ภูมิใจ suspect of = สงสัย cure of = รักษาให้หาย accuse of = กล่าวหาว่า tired of = เบื่อต่อ think of = คิดถึง

ชายผู้กล้าหาญ

,

77

View more...

Comments

Copyright ©2017 KUPDF Inc.
SUPPORT KUPDF