A Little History of Religion-preview

October 4, 2017 | Author: openworlds | Category: N/A
Share Embed Donate


Short Description

A Little History of Religion-chapter 1...

Description

ศาสนา: ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์ • สุนันทา วรรณสินธ์ เบล แปล จากเรื่อง A Li t t l e H i s t or y of R eligion โดย Richard Holloway พิมพ์ครั้งแรก: ส�ำนักพิมพ์ op e n wo r l d s, กันยายน 2560 ราคา 365 บาท คณะบรรณาธิการอ�ำนวยการ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา สฤณี อาชวานันทกุล แอลสิทธิ์ เวอร์การา กรมัยพล สิริมงคลรุจิกุล พลอยแสง เอกญาติ วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง ปกป้อง จันวิทย์ กฤดิกร เผดิมเกื้อกูลพงศ์ บรรณาธิการบริหาร วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง บรรณาธิการส�ำนักพิมพ์ บุญชัย แซ่เงี้ยว ณัฏฐพรรณ เรืองศิรินุสรณ์ กัญญ์ชลา นาวานุเคราะห์ อภิรดา มีเดช ศิลปกรรม กัญญ์ชลา นาวานุเคราะห์ ยุทธภูมิ ปันฟอง ผู้จัดการส�ำนักพิมพ์ ภาคย์ มหิธิธรรมธร • บรรณาธิการเล่ม ณัฏฐพรรณ เรืองศิรินุสรณ์ บรรณาธิการต้นฉบับ อภิรดา มีเดช ออกแบบปก นักรบ มูลมานัส • จัดทำ�โดย บริษัท โอเพ่นเวิลด์ส พับลิชชิ่ง เฮาส์ จ�ำกัด 33 อาคารเอ ห้องเลขที่ 48 ซอยประดิพัทธ์ 17 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 0 2 - 6 1 8 - 4 7 3 0 e ma i l : o p e n w o r l d s t h a i l a n d @g m ail.com f a c e book : w w w . f a c e b o o k . c o m / o penw or lds t w i t t e r : w w w . t w i t t e r . c o m / o p e n wor ldsB K K w e bs i t e : w w w . o p e n w o r l d s .in.th จัดจ�ำหน่าย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จ�ำกัด (มหาชน) SE-EDUCATION PUBLIC COMPANY LIMITED เลขที่ 1858/87-90 ถนนบางนา-ตราด แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 โทรศัพท์ 0-2739-8222, 0 - 2 7 3 9 - 8 000 โทรสาร 0 - 2 7 3 9 - 8 3 5 6 - 9 w e b s i t e : h t t p : / / w w w . s e - e d .com/

สำ�หรับสถาบันการศึกษา องค์กร หรือบุคคล ที่ต้องการสั่งซื้อหนังสือ จำ�นวนมากในราคาลดพิเศษ โปรดติดต่อ สำ�นักพิมพ์โอเพ่นเวิลด์ส หมายเลขโทรศัพท์ 02-618-4730 และ 097-174-9124 หรือ Em a il: o p e n w o rld st h a il [email protected] om

ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำ�นักหอสมุดแห่งชาติ ฮัลโลเวย์, ริชาร์ด. ศาสนา: ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์.-กรุงเทพฯ : โอเพ่นเวิลด์ส พับลิชชิ่ง เฮาส์, 2560. 352 หน้า. 1. ศาสนา. I. สุนันทา วรรณสินธ์ เบล, ผู้แปล. II. ชื่อเรื่อง. 200 ISBN 978-616-7885-59-9 • Copyright © 2016 by Richard Holloway. All rights reserved. Originally published by Yale University Press. This edition published by arrangement with Openworlds Publishing House through Tuttle-Mori Agency Co., Ltd. Thai language translation copyright © 2017 by Openworlds Publishing House •

สารบัญ

1 มีใครอยู่บ้างไหม 2 ประตู 3 วงล้อ 4 จากเอกเป็นอเนก 5 จากเจ้าชายสู่พระพุทธเจ้า 6 จงอย่าเบียดเบียน 7 ผู้เร่ร่อน 8 ในดงแฝก 9 บัญญัติสิบประการ 10 ศาสดาพยากรณ์ 11 จุดจบ 12 คนนอกรีต 13 ศึกสุดท้าย 14 ศาสนาทางโลก 15 วิถีที่ควร 16 กวนโคลน 17 ศาสนาเข้าถึงตัว 18 ผู้กลับใจ 19 พระเมสสิยาห์ 20 พระเยซูมาถึงกรุงโรม 21 ศาสนจักรกุมอำ�นาจ

10 18 26 34 42 50 58 66 74 82 90 100 108 118 126 134 142 150 158 166 174

22 ศาสดาคนสุดท้าย 23 การน้อมยอมตน 24 การต่อสู้ 25 นรก 26 ตัวแทนของพระคริสต์ 27 ประท้วง 28 การแตกแยกครั้งใหญ่ 29 การปฏิรูปของนานัก 30 ทางสายกลาง 31 ตัดหัวอสูร 32 มิตรภาพ 33 ทำ�ในอเมริกา 34 เกิดในสหรัฐอเมริกา 35 ความผิดหวังครั้งใหญ่ 36 เรื่องลี้ลับและดาราภาพยนตร์ 37 ประตูเปิดอ้า 38 ศาสนาฉุนเฉียว 39 สงครามศักดิ์สิทธิ์ 40 อวสานศาสนา? รู้จักผู้เขียน รู้จักผู้แปล

182 190 200 208 216 224 232 240 248 258 268 276 286 294 304 314 324 334 342 350 351

A Little History of Religion by

Richard Holloway

ศาสนา ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์

แปลโดย

สุนันทา วรรณสินธ์ เบล

นิกและอลิซ ด้วยรัก

บทที่ 1 มีใครอยู่บ้างไหม

ศาสนาคืออะไร และมันมาจากไหน ศาสนาเกิดจากความคิดของ มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐ ดังนั้นมันย่อมมีที่มาจากเรา ดูเหมือนว่าสัตว์ ชนิดอื่นบนโลกไม่จ�ำเป็นต้องมีศาสนา และเท่าที่เรารู้ พวกมันยังไม่ได้ พัฒนาศาสนาในรูปแบบใด นั่นเป็นเพราะพวกมันเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิต มากกว่าเรา สัตว์ท�ำตามสัญชาตญาณ เลื่อนไหลไปตามสายน�้ำแห่งการ ด�ำรงอยูโ่ ดยไม่ได้เฝ้าแต่คดิ ค�ำนึงเรือ่ งตัวตนตลอดเวลา ทว่าสัตว์ประเสริฐ อย่างมนุษย์สูญเสียความสามารถดังกล่าว สมองของเราพัฒนาการใน รูปแบบที่ท�ำให้เราตระหนักรู้ถึงตัวตน เราสนใจเรื่องตัวเอง เราหยุดสงสัย ใคร่รู้ในสิ่งต่างๆ ไม่ได้ เราหยุด คิด ไม่ได้ และสิ่งส�ำคัญที่สุดที่เราขบคิดคือเรื่องของเอกภพ รวมถึงค�ำถาม ที่ว่ามันมาจากไหน มีใครสร้างขึ้นมาหรือไม่ เรามีค�ำสั้นๆ ที่ใช้เรียกบุคคล หรือสิ่งซึ่งอาจมีอยู่จริงนี้ นั่นคือค�ำว่า พระเจ้า หรือ เทวา (theos ในภาษา กรีก) ผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่จริงเรียกว่ากลุ่ม เทวนิยม (theist) ส่วนผู้ที่ คิดว่าไม่มบี คุ คลเช่นนัน้ และเราอยูเ่ พียงล�ำพังภายในเอกภพนี้ เรียกว่ากลุม่ R i ch a rd H o l l o w a y

11

อเทวนิยม (atheist) ส่วนการศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้า ต้องการจากเรา เรียกว่า เทววิทยา (theology) ค�ำถามยิ่งใหญ่อีกค�ำถาม หนึ่งซึ่งเราเฝ้าถามตนเองเรื่อยมาคือ เกิดอะไรขึ้นกับเราหลังความตาย ทุกอย่างจบลงเมื่อเราตายใช่ไหม หรือจะมีอะไรเกิดตามมาอีก และถ้ามี อะไรต่อจากนั้นจริง มันจะเป็นเช่นไร สิ่งที่เราเรียกว่าศาสนาเป็นความพยายามแรกที่จะตอบค�ำถาม เหล่านี้ ค�ำตอบของศาสนาต่อค�ำถามแรกช่างง่ายดาย กล่าวคือ เอกภพนัน้ สร้างขึน้ จากพลังทีย่ งิ่ ใหญ่เหนือตัวมันเอง ซึง่ บางคนเรียกว่าพระเจ้า ผูท้ ยี่ งั สนใจและเข้ามาข้องเกี่ยวกับสิ่งที่ตนสร้างขึ้น แต่ละศาสนาให้ค�ำอธิบาย ต่างกันว่าพลังที่เรียกว่าพระเจ้านั้นเป็นเช่นไรและต้องการอะไรจากเรา แต่ทุกศาสนาต่างเชื่อว่าพระเจ้ามีตัวตนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ศาสนา บอกให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในเอกภพนี้ พ้นไปจากเรายังมีความ เป็นจริงและมิติอื่นๆ เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “สิ่งเหนือธรรมชาติ” เพราะมัน อยู่นอกเหนือโลกธรรมชาติที่เราสัมผัสได้โดยตรง หากความเชื่อส�ำคัญที่สุดของศาสนาคือความเป็นจริงที่ข้ามพ้น ขอบเขตของโลกนี้ หรือก็คอื สิง่ ทีเ่ ราเรียกว่าพระเจ้า แล้วอะไรเป็นตัวกระตุน้ ให้เกิดความเชื่อเช่นนั้น และมันเริ่มต้นเมื่อไรกันเล่า? เรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อ นานมาแล้ว อันที่จริงดูเหมือนว่าไม่มียุคใดเลยที่มนุษย์ไม่เชื่อว่ามีโลก เหนือธรรมชาติที่ข้ามพ้นไปจากโลกใบนี้ นี่อาจเริ่มต้นจากความสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์หลังความตาย สัตว์ทั้งปวงล้วนตาย แต่มนุษย์ต่าง จากสัตว์อนื่ ๆ ตรงทีไ่ ม่ปล่อยให้รา่ งไร้วญ ิ ญาณเน่าสลายไป ณ จุดทีพ่ วกเขา สิ้นลมล้มลง หากย้อนกลับไปเนิ่นนานตราบที่เราติดตามร่องรอยได้ ดูเหมือนมนุษย์จะจัดงานศพให้กับผู้ตาย และแบบแผนงานศพเหล่านั้น บอกเราเกี่ยวกับความเชื่อเก่าแก่ที่สุดของพวกเขา แน่นอนว่าใช่ว่าสัตว์อื่นๆ ไม่อาลัยเพื่อนที่ตายไป มีหลักฐาน มากมายชีว้ า่ สัตว์หลายชนิดท�ำเช่นนัน้ ในเมืองเอดินบะระมีรปู ปัน้ เลือ่ งชือ่ ของสุนัขตัวน้อยชื่อเกรย์ฟรายอาร์ส บ็อบบี (Grayfriars Bobby) ซึ่ง 12

A L ittle H i s t o r y o f Re l i g i o n

พิสูจน์ให้เห็นว่าสัตว์เศร้าโศกเมื่อสูญเสียผู้ที่รู้สึกผูกพันด้วย บ็อบบีตาย ในปี 1872 หลังจากใช้เวลา 14 ปีสุดท้ายของชีวิตนอนบนหลุมศพของ จอห์น เกรย์ (John Gray) เจ้านายที่เสียชีวิตไป แน่นอนว่าบ็อบบีคิดถึง เพือ่ นของเขา ผูค้ นในครอบครัวของจอห์น เกรย์ เป็นผูจ้ ดั งานศพให้บอ็ บบี อย่างสมเกียรติและฝังมันในสุสานเกรย์ฟรายอาร์ส ซึ่งการฝังมันนี่เองคือ หนึง่ ในพฤติกรรมเยีย่ งมนุษย์ทโี่ ดดเด่นอย่างชัดเจน แล้วอะไรจุดประกาย ให้มนุษย์ฝังคนตายเล่า เรื่องที่ชัดเจนที่สุดที่เราสังเกตเห็นเกี่ยวกับคนตายคือ บางสิ่งที่ เคยเกิดขึ้นในตัวพวกเขาหยุดลง พวกเขาหยุดหายใจ นี่เป็นก้าวสั้นๆ ที่ เชื่อมโยงการหายใจกับความคิดว่ามีบางสิ่งซึ่งมอบชีวิตอาศัยอยู่ภายใน ร่างแต่แยกต่างหากจากร่างกาย ภาษากรีกเรียกสิ่งนี้ว่า “psyche” และ ภาษาละตินเรียกว่า “spiritus” ทั้งสองค�ำมาจากค�ำกริยาที่แปลว่าหายใจ หรือเป่า จิตหรือวิญญาณคือสิง่ ทีท่ ำ� ให้รา่ งมีชวี ติ และมีลมหายใจ มันอาศัย อยู่ในร่างกายช่วงหนึ่งและจากไปเมื่อร่างนั้นตายลง แต่มันไปไหนเล่า ค�ำอธิบายหนึ่งคือมันกลับไปยังโลกเบื้องบน โลกแห่งวิญญาณ ซึ่งเป็น อีกด้านหนึ่งของโลกที่เราอาศัยอยู่ สิ่งที่เราค้นพบเกี่ยวกับพิธีศพในยุคแรกเริ่มสนับสนุนความคิดนี้ แม้ว่าบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ ของเราจะทิ้งไว้เพียงร่องรอยอันเงียบงันว่า พวกเขาคิดอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครประดิษฐ์คิดค้นการเขียน พวกเขาจึง ไม่ ส ามารถถ่ า ยทอดความคิ ด หรื อ บรรยายความเชื่ อ ในรู ป แบบที่ เ รา อ่านได้ในปัจจุบัน แต่พวกเขาหลงเหลือร่องรอยที่บอกใบ้ว่าพวกเขาคิด อะไร ดังนั้นเราจะมาศึกษาร่องรอยเหล่านั้นกัน ซึ่งหากจะค้นหาร่องรอย เหล่านั้น เราต้องย้อนกลับไปหลายพันปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นค�ำที่ ต้องอธิบายก่อนที่เราจะกล่าวต่อไป เป็ น ความคิ ด ที่ ดี ที่ จ ะใช้ ป ฏิ ทิ น เดี ย วกั น ทั่ ว โลกหรื อ มี ร ะบบ เดียวกันในการบอกวันเดือนปีของเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต วิธีที่เราใช้ใน ปัจจุบันถือก�ำเนิดขึ้นในศาสนาคริสต์เมื่อศตวรรษที่ 6 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า R i ch a rd H o l l o w a y

13

ศาสนามีอิทธิพลเพียงใดในประวัติศาสตร์ของเรา นิกายคาทอลิกเคยเป็น หนึ่งในอ�ำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกเป็นเวลาหลายพันปี มีอ�ำนาจมากถึง ขนาดสามารถก�ำหนดปฏิทินที่ทั่วโลกยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เหตุการณ์ ที่เป็นหมุดหมายส�ำคัญคือพระประสูติของพระเยซูผู้เป็นศาสดา ปีที่ พระองค์ประสูตินับเป็นปีที่หนึ่ง ทุกสิ่งที่เกิดก่อนหน้านั้นถือว่าเป็นช่วง ก่อนคริสต์ศักราช (BC หรือ Before Christ) ทุกสิ่งที่เกิดหลังจากนั้นคือ ปีที่พระคริสต์จุติ (AD หรือ anno Domini) ในยุคสมัยของเราทุกวันนี้ ค�ำว่า BC และ AD ถูกแทนที่ด้วย BCE และ CE ซึ่งเป็นค�ำที่สามารถตีความให้เกี่ยวโยงกับศาสนาหรือไม่ ก็ได้ BCE ย่อมาจาก Before the Christian Era (ก่อนคริสต์ศักราช) หรือ Before the Common Era (ก่อนศักราชกลาง) ก็ได้ ในขณะที่ CE หมายถึง อยูใ่ นช่วง Christian Era (คริสต์ศกั ราช) หรือ Common Era (ศักราชกลาง) นั่นเอง คุณจะเลือกแบบใดก็ได้ตามที่คุณเข้าใจ ในหนังสือเล่มนี้ ผมจะใช้ BCE เพือ่ กล่าวถึงเหตุการณ์ทเี่ กิดก่อนคริสต์ศกั ราชหรือก่อนศักราชกลาง แต่ผมจะหลีกเลีย่ งไม่ใช้ CE กลาดเกลือ่ น และจะใช้กต็ อ่ เมือ่ เห็นว่าจ�ำเป็น ดังนั้นหากคุณอ่านเจอวันที่ซึ่งเขียนปีโดดๆ ขอให้เข้าใจว่าเกิดในคริสต์ ศักราชหรือศักราชกลาง อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ราว 130000 BCE เป็นต้นมา เราพบ หลักฐานของความเชื่อทางศาสนาแบบใดแบบหนึ่งเกี่ยวกับรูปแบบวิธีที่ บรรพบุรุษของเราฝังคนตาย พวกเขาวางอาหาร เครื่องมือ และเครื่อง ประดับในหลุมศพที่ขุดพบ ซึ่งบ่งบอกถึงความเชื่อที่ว่าคนตายเดินทาง ต่อไปยังชีวติ หลังความตายรูปแบบใดแบบหนึง่ และจ�ำเป็นต้องมีขา้ วของ เหล่านี้ในการเดินทาง ธรรมเนียมอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาจะวาดดินแดง บนร่างผู้ตาย ซึ่งอาจเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่ด�ำเนินต่อไป หลักฐานนี้ พบในสุสานเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นหลุมศพของแม่และเด็กตั้งแต่สมัย 100000 BCE ในเมืองคาฟเซห์ (Qafzeh) ประเทศอิสราเอล และยังพบ ธรรมเนียมเดียวกันนีใ้ นอีกซีกโลกหนึง่ คือทีท่ ะเลสาบมังโก (Lake Mungo) 14

A L ittle H i s t o r y o f Re l i g i o n

ในออสเตรเลีย เป็นศพเมื่อปี 42000 BCE ปกคลุมด้วยดินแดงเช่นกัน การวาดสีบนร่างผู้ตายบ่งบอกถึงการอุบัติของความคิดที่ชาญฉลาดที่สุด อย่างหนึ่งของมนุษยชาติ นั่นคือความคิดเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งมีอยู่มากมาย ในศาสนา ดังนั้นเราควรจะเข้าใจเรื่องนี้ก่อน เช่นเดียวกับค�ำส�ำคัญทัง้ หลาย ค�ำว่า symbol ทีแ่ ปลว่าสัญลักษณ์ ในภาษาอังกฤษนัน้ มีทมี่ าจากภาษากรีก หมายถึงน�ำสิง่ ทีแ่ ยกออกจากกัน กลับมารวมกัน คล้ายกับเวลาเราปะติดปะต่อเศษจานที่แตกให้กลับคืน ดังเดิม ต่อมาสัญลักษณ์ก็กลายเป็นวัตถุที่เป็นตัวแทนสิ่งอื่น แม้จะยัง รักษาแนวคิดของการประสานรวมสิ่งต่างๆ เอาไว้ แต่มันซับซ้อนกว่าการ เชื่อมต่อภาชนะดินเผาเข้าด้วยกัน ตัวอย่างของสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัด คือธงประจ�ำชาติ เช่น ดาวและแถบสีบนธงชาติสหรัฐอเมริกา เมื่อเราเห็น ดาวและแถบสี เรานึกถึงสหรัฐอเมริกา มัน เป็นสัญลักษณ์ และเป็นตัวแทน ของประเทศนี้ สัญลักษณ์กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส�ำหรับผู้คน เพราะมันเป็น ตัวแทนของความจงรักภักดีทลี่ กึ ซึง้ เกินกว่าจะบรรยายด้วยถ้อยค�ำ นัน่ คือ เหตุผลว่าท�ำไมคนเราจึงไม่ชอบเห็นสัญลักษณ์ของตนถูกย�่ำยี การเผา ผ้าเก่าผืนหนึ่งไม่มีอะไรผิด แต่ถ้าผ้าผืนนั้นบังเอิญเป็นสัญลักษณ์ของ ชาติคุณ มันอาจท�ำให้คุณโกรธ เมื่อสัญลักษณ์นั้นเกี่ยวข้องกับศาสนา และเป็นสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิส์ ำ� หรับชุมชน มันจะทรงอ�ำนาจยิง่ ขึน้ และพฤติกรรม ลบหลูส่ ญ ั ลักษณ์เหล่านัน้ อาจกระตุน้ ให้เกิดโทสะถึงขัน้ รบราฆ่าฟัน ขอให้ เก็บความคิดเกีย่ วกับสัญลักษณ์นไี้ ว้ในใจ เพราะมันจะปรากฏอีกหลายครัง้ ในหนังสือเล่มนี้ ด้วยแนวคิดที่ว่าสิ่งหนึ่งเป็นตัวแทนของอีกสิ่ง ดังเช่น ดินแดงเป็นตัวแทนความเชื่อที่ว่าคนตายเดินทางต่อไปสู่ชีวิตใหม่ในอีก สถานที่หนึ่ง อีกตัวอย่างของความคิดเชิงสัญลักษณ์คือ การที่คนเราให้ความ ส�ำคัญกับเครื่องหมายบ่งบอกสถานที่เก็บศพ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ตาย เป็นบุคคลยิ่งใหญ่และเรืองอ�ำนาจ บางครั้งเราฝังศพพวกเขาไว้ใต้หิน R i ch a rd H o l l o w a y

15

ก้อนยักษ์ บางครัง้ ก็ไว้ในดอลเมน (dolmen) ซึง่ เป็นห้องทีส่ ร้างอย่างประณีต จากก้อนหิน ประกอบด้วยหินสองก้อนตั้งตระหง่านรองรับน�้ำหนักของ แผ่นหินขนาดใหญ่ อนุสรณ์ส�ำหรับคนตายที่โดดเด่นที่สุดของมนุษยชาติ คือพีระมิดทีเ่ มืองกีซาในประเทศอียปิ ต์ ซึง่ นอกจากเป็นสุสานแล้ว พีระมิด เหล่านี้อาจเป็นเหมือนลานส่งวิญญาณ เพื่อส่งให้วงศานุวงศ์ที่ฝังอยู่พุ่ง ทะยานสู่ความเป็นอมตะ ต่อมา พิธีฝังศพไม่เพียงพิถีพิถันมากขึ้น แต่ยังโหดร้ายขึ้นด้วย ในบางแห่ง มีการสังเวยภรรยาและคนรับใช้เพื่อส่งไปปรนนิบัติและเสริม บารมีของผู้ตายในโลกหน้า น่าสังเกตว่านับแต่ยุคแรกเริ่ม ศาสนาก็มีด้าน ที่อ�ำมหิตและไม่ค�ำนึงถึงชีวิตของปัจเจกชน แนวทางการตี ค วามร่ อ งรอยเหล่ า นี้ ที่ ดู จ ะสมเหตุ ส มผลคื อ คนรุน่ ก่อนเห็นว่าความตายเป็นหนทางสูก่ ารมีตวั ตนในอีกวาระหนึง่ และ จินตนาการว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของชีวิตในโลกนี้ เราเห็นวี่แววของ ความเชื่อเกี่ยวกับโลกที่อยู่นอกเหนือโลกใบนี้ แต่ยังเชื่อมต่อกันโดยมี ความตายเป็นประตูสู่โลกใบนั้น ถึงตรงนี้ ดูเหมือนว่าความเชื่อทางศาสนาเกิดจากกระบวนการ คาดเดาทีด่ ลบันดาลขึน้ มา บรรพบุรษุ ของเราถามตนเองว่าโลกมาจากไหน และคิดว่ามันน่าจะสร้างขึ้นด้วยฝีมือของอ�ำนาจสูงส่งเหนือเราที่อยู่ไกล ออกไป พวกเขามองคนตายไร้ลมหายใจแล้วตัดสินว่าวิญญาณของคน เหล่านัน้ คงจะออกจากร่างทีค่ รัง้ หนึง่ เคยอาศัยแล้วเดินทางไปสูแ่ ห่งหนอืน่ แต่คนกลุ่มส�ำคัญในประวัติศาสตร์ศาสนาไม่ได้เพียงแค่ คาดเดา ถึงโลกเบื้องหน้าหรือจุดหมายของวิญญาณที่ลาลับ พวกเขาบอกเราว่า ตนได้ไปเยือนโลกนัน้ หรือไม่กโ็ ลกนัน้ เคยมาเยือนพวกเขา พวกเขาได้ยนิ เสียงเรียกร้องต่อเราจากที่แห่งนั้น และได้รับค�ำสั่งให้บอกคนอื่นว่าตน ได้เห็นและได้ยินอะไรมาบ้าง พวกเขาจึงป่าวประกาศสารที่ได้รับ และ ดึงดูดสาวกที่เชื่อค�ำพูดเหล่านั้นแล้วเริ่มใช้ชีวิตตามค�ำสอนของพวกเขา เราเรียกคนกลุม่ นีว้ า่ ศาสดาหรือปราชญ์ผทู้ รงภูมิ ศาสนาใหม่ๆ ถือก�ำเนิด 16

A L ittle H i s t o r y o f Re l i g i o n

จากคนเหล่านี้นี่เอง จากนัน้ สิง่ อืน่ ก็เกิดขึน้ เหล่าสาวกจดจ�ำเรือ่ งทีพ่ วกเขาเล่า แรกเริม่ นั้ น ถ่ า ยทอดเรื่ อ งราวแบบปากต่ อ ปาก แต่ ใ นเวลาต่ อ มาก็ จ ารึ ก เป็ น ลายลักษณ์อกั ษรบนแผ่นกระดาษ ซึง่ กลายเป็นสิง่ ทีเ่ ราเรียกว่าพระคัมภีร์ หรือสาส์นศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ คัมภีร์ไบเบิล! คัมภีร์ เล่มเดียวในโลก! ซึ่ง กลายเป็นสัญลักษณ์อันทรงอานุภาพที่สุดของศาสนา แน่นอนว่ามันเป็น หนังสือทีจ่ บั ต้องได้ และเขียนขึน้ โดยมนุษย์ เราอาจแกะรอยประวัตศิ าสตร์ ได้ แต่ถอ้ ยค�ำในหนังสือคือสือ่ น�ำสารจากโลกหน้ามาสูโ่ ลกของเรา หนังสือ เล่มนี้กลายเป็นสะพานเชื่อมต่อความเป็นนิรันดร์กับกาลเวลา เชื่อมโยง มนุษย์กับพระเจ้า ผู้คนจึงย�ำเกรงและศึกษามันอย่างคร�่ำเคร่ง นี่เองคือ เหตุผลว่าท�ำไมผู้ศรัทธาจึงไม่พอใจเมื่อมันถูกลบหลู่หรือท�ำลาย ประวัติศาสตร์ของศาสนาคือเรื่องราวของศาสดาและปราชญ์ ผู้ทรงภูมิเหล่านี้ รวมถึงความเคลื่อนไหวที่พวกเขาจุดประกายให้เกิดขึ้น และคัมภีร์ที่เขียนเกี่ยวกับพวกเขา แต่มันเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วย ข้อขัดแย้งและการโต้เถียง พวกที่ไม่เชื่อถือพากันสงสัยว่าศาสดาบางคน มีตวั ตนจริงหรือไม่ และกังขาในค�ำกล่าวอ้างเกีย่ วกับสิง่ ทีค่ นเหล่านัน้ ได้เห็น และได้ยิน ซึ่งก็สมควรจะตั้งข้อสงสัย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่อยู่เหนือ ข้อโต้แย้งคือ ศาสดาเหล่านีม้ ตี วั ตนใน เรือ่ งราว ทีเ่ ล่าขานเกีย่ วกับพวกเขา และเรื่องราวเหล่านั้นยังมีความหมายส�ำหรับคนหลายพันล้านคนใน ปัจจุบัน ในหนังสือเล่มนี้ เราจะได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาซึ่งศาสนา เป็นผู้บอกเล่า โดยเราจะไม่คอยตั้งค�ำถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอดีตเป็น เช่นไรกันแน่ แต่คงไม่ถูกต้องหากเราเพิกเฉยต่อค�ำถามเหล่านั้นอย่าง สิ้นเชิง ฉะนั้นในบทต่อไป เราจะค�ำนึงว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อศาสดาและ ปราชญ์ผู้ทรงภูมิเห็นภาพและได้ยินเสียงเหล่านั้น ศาสดาคนหนึ่งใน จ�ำนวนนั้นคือโมเสส (Moses)

R i ch a rd H o l l o w a y

17

View more...

Comments

Copyright ©2017 KUPDF Inc.
SUPPORT KUPDF