สรุปย่อปวิอาญา1
October 15, 2017 | Author: เอ สุวรรณี | Category: N/A
Short Description
Download สรุปย่อปวิอาญา1...
Description
สรุปย่อ ป.วิ.อาญา
1
ผู้เสียหาย ( มาตรา 2(4)) ความหมาย - ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2(4) ผู้เสียหาย หมายถึง ผู้ท่ีไดูรับความเสีย หายเนื่ องจากการกระทำาผิดอาญา ฐานใดฐานหนึ่ ง รวมทัง้ ผู้มีอำานาจจัดการแทน ตามมาตรา 4,5,6 หรือ ตามแนวคำาพิพากษาศาลฎีกา หมายถึง กรณี ท่ีมก ี ารก ระทำาความผิดทางอาญาฐานใดฐานหนึ่ งเกิดขึ้น บุคคลนั ้นไดูรับความเสียหายจาก การกระทำาผิดดังกล่าว และบุคคลนั ้นตูองเป็ นผู้เสียหายโดยนิ ตินัย - ผู้เสียหายโดยนิ ตน ิ ั ย หมายถึง ผู้ท่ีไม่มีส่วนในการกระทำาผิด หรือ ไม่ เป็ นผู้ใชู หรือผู้สนั บสนุน หรือ รูเ้ ห็นในการกระทำาผิด หรือ ไม่เป็ นการกระทำา ที่มีวัตถุประสงค์ท่ีผิดกฎหมายนั ้นดูวย - ผู้เสียหายตูองเป็ นบุคคล หรือนิ ติบค ุ คล เท่านั ้น ผู้เสียหายในความผิดฐานฉู อโกง ผู้เสียหายในความผิดฐานฉู อโกง ไดูแก่ ผูถ ้ ้กหลอกลวง และเจูาของทรัพย์ท่ี ถ้กฉู อโกง (ฎ.4684/28 ป. ) เรื่องนี้ จำาเลยหลอกลวงล้กคูา และเอาเงินเฉพาะ ส่วนที่เกินราคาสินคูาไป ผูท ้ ่ีถ้กหลอกลวงก็คือล้กคูาที่ซ้ือสินคูา และเงินส่วนที่ เกินก็เป็ นของล้กคูา ล้กคูาจึงเป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานฉู อโกง โจทก์ร่วมเป็ น เจูาของสินคูาแต่ไม่มีสิทธิไดูรบ ั เงินค่าสินคูาที่ล้กคูาจ่ายเกินนั ้น การที่จำาเลยใน ฐานะตัวแทนโจทก์ร่วมรับเงินไวู จึงไม่ถือว่าเป็ นการรับไวูแทนโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้ เสียหาย - ผู้ถก ้ หลอกลวง เป็ นผู้เสียหายฐานฉู อโกงไดู แมูจะมิไดูเป็ นเจูาของทรัพย์ (ฎ.1341/95) เช่นการหลอกลวงใหูทำานิ ติกรรมที่เป็ นความผิดฐานฉู อโกง ผู้ถ้ก หลอกลวงเป็ นผู้เสียหาย แมูผู้อ่ ืนจะเป็ นผู้ทำานิ ติกรรมตามที่จำาเลยหลอกลวง ก็ตาม (ฎ.1931/14) หรือผู้อ่ น ื เป็ นผู้ส่งทรัพย์ใหูก็ตาม (ฎ.1064/91) - ผู้ด้แลรับผิดชอบทรัพย์ ก็เป็ นผู้ถ้กหลอกไดู จึงเป็ นผู้เสียหาย (ฎ.
1352/44)
- จำาเลยเอาเช็คไปปลอมลายมือชื่อของผู้รับเงินสลักหลังโอนใหูจำาเลย แลูว นำ าไปหลอกลวงธนาคารใหูจ่ายเงิน เป็ นการกระทำาต่อธนาคาร ไม่ไดูกระทำาต่อผู้รับ เงิน ดังนี้ธนาคารและเจูาหนู าที่ธนาคารซึ่งเป็ นผู้ด้แลทรัพย์ ที่ถก ้ หลอก เป็ นผู้ เสียหายฐานฉู อโกง ส่วนผู้ท่ีมช ี ่ ือเป็ นผู้รบ ั เงินตามเช็ค ไม่ใช่ผู้เสียหายฐานฉู อโกง แต่เป็ นผู้เสียหายฐานปลอมเอกสาร (ฎ.2193/34)
- กรณี การรับฝากเงิน ผู้รบ ั ฝากมีสิทธินำาเงินที่รบ ั ฝากไปใชูไดู เพียงแต่
2
มีหนู าที่ตูองคืนเงินแก่ผู้ฝากใหูครบจำานวนเท่านั ้น (ป.พ.พ. มาตรา 672) หากมีผู้ มาหลอกลวงเงินจากผู้รับฝากไป ผู้รับฝากก็ยังมีหนู าที่คืนเงินใหูแก่ผู้ฝาก ผู้ฝาก จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ผรู้ ับฝากที่ถ้กหลอกเป็ นผู้เสียหาย (ฎ. 87/06 ป. ) - เรื่องบัตร เอ.ที.เอ็ม.
มี 2 กรณี คือ
1. กรณี ท่ีจำาเลยปลอมลายมือชื่อของเจูาของบัญชีเงิน ฝากในคำาขอใชูบริการบัตรเอทีเอ็ม จากนั ้นไดูนำาบัตรเอที่เอ็ม ไปถอนเงินจาก ธนาคาร เงินที่ไดูมาเป็ นเงินของธนาคาร ไม่ใช่เงินของผู้ฝาก (ล้กคูาไม่ไดูขอออก บัตรเอทีเอ็ม) ธนาคารเป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์ ปลอมเอกสาร และใชูเอกสารปลอม 2. กรณี จำาเลยหลอกลวงเอาบัตรเอทีเอ็มที่แทูจริงจากล้กคูาของ ธนาคาร แลูวนำ าไปถอนเงินจากตูเ้ บิกเงินด่วน ถือว่าเงินที่ไดูเป็ นเงินของล้กคูา แลูว ล้กคูาเป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานฉู อโกง (ฎ.671/39)
- กรณี ความเสียหายในความผิดฐานฉู อโกง ตูองเป็ นความเสียหาย โดยตรงจากการหลอกลวงของผู้กระทำาผิด การที่โจทก์บรรยายฟู องว่าการหลอก ลวงของจำาเลยเป็ นผลใหูโจทก์ถก ้ จำาเลยฟู องเป็ นคดีแพ่ง มิใช่ความเสียหายโดยตรง จากการหลอกลวง โจทก์จึงไม่เป็ นผู้เสียหาย (ฎ. 1357/33) ผู้เสียหายโดยนิ ตินัยในความผิดฐานฉู อโกง - ผู้เสียหายมอบเงินใหูจำาเลยไปใหูเจูาพนั กงานที่เกี่ยวขูองเพื่อใหูบุตรของ ตนเขูารับราชการโดยไม่ตูองสอบ อันเป็ นการหลอกลวงผู้เสียหาย ถือว่าผู้เสียหาย ใชูใหูจำาเลยกระทำาผิด ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิ ตินัย(ฎ.1960/34) (เรื่องนี้หลอกเอา เงิน อูางว่าจะนำ าไปใหูเจูาพนั กงาน) แต่ถาู ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายใหูเงินจำาเลยไป เพื่อใหูจำาเลยนำ าไปใหูเจูาพนั กงานกระทำาการอันมิชอบดูวยหนู าที่เพื่อช่วยบุตรของ ตนไดูเขูาทำางานโดยไม่ตูองสอบ เช่นนี้ เป็ นผู้เสียหายโดยนิ ตินัย(ฎ.4744/37) ( เรื่องหลังนี้จำาเลยหลอกผู้เสียหายว่าจะช่วยใหูบุตรผู้เสียหายเขูารับราชการโดยไม่ ตูองสอบ โดยไม่ปรากฏว่าจะนำ าเงินไปใหูเจูาพนั กงานผู้เกี่ยวขูองกับการรับสมัคร สอบ ส่วนเรื่องแรกปรากฏขูอเท็จจริงว่าผู้เสียหายมอบเงินใหูจำาเลยเพื่อนำ าไปใหู เจูาพนั กงานฯ ถือว่าวัตถุประสงค์ผิดกฎหมาย จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย) - *** หลอกลวงใหูผู้เสียหายเอาเงินมาเขูาเล่นการพนั นเพื่อโกงบุคคลอื่น เป็ นการเขูาร่วมกระทำาผิดดูวย (ฎ.1813/31) หลอกลวงว่าจะขายธนบัตรปลอม
ใหู(ฎ.711/93) หรือทำาพิธีปลุกเสกเหรียญ ร.5 แลูวหลอกลวงเอาเงินเพื่อจะพา
3
ไปซื้อหวยใตูดินหากถ้กจะแบ่งเงินกัน (ฎ.1343/49) กรณี เหล่านี้เป็ นความ ตกลงที่มีวัตถุประสงค์ผิดกฎหมาย จึงไม่เป็ นผู้เสียหายโดยนิ ตน ิ ัย แต่ถูา หลอกใหูผู้เสียหายเล่นการพนั นเพื่อเอาเงินจากผู้เสียหายโดยตรง ไม่ไดูหลอกใหู ผู้เสียหายเขูาร่วมเล่นการพนั นเพื่อตูมหรือโกงบุคคลอื่นแลูว ผู้เสียหายมิไดูมีส่วน ร่วมในการกระทำาผิดดูวย จึงเป็ นผู้เสียหายโดยนิ ตินัย (ฎ.3327/32) เพราะการ หลอกใหูเล่นการพนั นคดีนี้เป็ นแผนหรือวิธีการหลอกลวง***
เท็จ
ผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จและแสดงพยานหลักฐานอันเป็ น - ความเสียหายฐานเบิกความเท็จและแสดงพยานหลักฐานอันเป็ นเท็จ
ตาม ป.อาญา มาตรา 177, 180 ส่วนไดูเสียในความผิดทัง้ สองฐานนี้กค ็ ือ “ผล แห่งการแพูชนะคดี” ดังนั ้นปกติแลูวผู้ท่ีไดูรับความเสียหายจึงน่ าจะเป็ นค่้ความ ฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งในคดีท่ีไดูรบ ั ความเสียหายโดยตรงนั ้นเอง หรือเจูาพนั กงานในการ ยุติธรรม ไม่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกคดี (ฎ.533/41,4804/31,1033/33) เพราะ
มาตรา 177 และ 180 มุ่งคูุมครองเจูาพนั กงานในกระบวนการยุติธรรมและค่้ ความ ใหูไดูรับผลในความยุตธ ิ รรมในคดีเป็ นสำาคัญ ไม่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก อย่างไรก็ตามหากการเบิกความหรือการแสดงพยานหลักฐานเท็จมีผลไปกระทบ สิทธิของบุคคลภายนอก ทำาใหูบค ุ คลภายนอกเสียหาย เช่น ค่ค ้ วามในคดีเบิกความ เท็จ เป็ นผลใหูบุคคลภายนอกตูองส้ญเสียที่ดินไป ดังนี้บุคคลภายนอกเป็ นผูเ้ สีย หายไดู (ฎ.2224/36) - ค่ค ้ วามในคดีท่ีจะเป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จไดู จะตูอง เป็ นตัวความที่แทูจริง ส่วนทนายความของตัวความไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง จึงไม่มี อำานาจฟู อง (ฎ.17092524 ป.)
- ผู้ท่เี ขูาเป็ นโจทก์ร่วมกับพนั กงานอัยการ ก็เป็ นค่้ความย่อมเป็ นผู้เสียหาย
ในความผิดฐานเบิกความเท็จไดู (ฎ.892/16)
- กรณี แมูจะเป็ นค่้ความในคดี แต่ก็ไม่อาจเป็ นผู้เสียหายในความผิดฐาน เบิกความเท็จ หรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็ นเท็จไดู เช่น การเบิกความเท็จใน ชัน ้ ไต่สวนคำารูองขอดำาเนิ นคดีอย่างคนอนาถา หรือในชัน ้ รูองขอเลื่อนคดีในชัน ้ ไต่สวนเพื่ออนุญาตใหูจำาเลยยื่นคำาใหูการ เป็ นตูน ถือเป็ นเรื่องส่วนตัวระหว่างค่้ ความฝ่ ายนั ้นกับศาล ไม่เกี่ยวกับค่ค ้ วามอีกฝ่ ายหนึ่ ง แมูจะเป็ นเท็จค่ค ้ วามอีกฝ่ าย หนึ่ งก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎ. 555/14, 1050/18,297/08,2572/25)
- สัญญาประนี ประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็ นโมฆะแลูวนั ้นไม่มี ผลมาแต่ตูน ดังนั ้นแมูจำาเลยจะเติมขูอความในสัญญาและเบิกความเท็จ โจทก์ก็ ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานปลอมเอกสาร และเบิกความเท็จ (ฎ. 1313/31)
- การที่จำาเลยเบิกความเท็จหรือฟู องเท็จในคดีอาญา แมูศาลจะพิพากษา
4
ยกฟู อง โจทก์ก็เป็ นผู้เสียหาย (ฎ.3963/43)
ผู้เสียหายในความผิดฐานแจูงความเท็จ - แมูความผิดฐานแจูงความเท็จจะเป็ นความผิดต่อเจูาพนั กงาน แต่ราษฎร ก็อาจเป็ นผู้เสียหายไดู ถูาไดูรบ ั ความเสียโดยตรง เช่น ขูอความเท็จนั ้นมีผลทำาใหู ราษฎรตูองถ้กดำาเนิ นคดีอาญา (ฎ.2415/35,2625/36)
- ** จำาเลยเสนอหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา
231 อันเป็ นเท็จ โดยแจูงหลักประกันมีราคาส้งเกินจริง ทำาใหูศาลหลงเชื่อจึงรับ ไวูเป็ นหลักประกันและอนุญาตใหูทเุ ลาการบังคับ ทำาใหูโจทก์ไม่อาจบังคับคดีไดู ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ถือว่าโจทก์ในคดีดังกล่าว เป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานแจูงความเท็จแลูว (ฎ. 2221/15) ขูอสังเกต หลักประกันในการขอทุเลาการบังคับนี้ ภายหลังหากโจทก์ชนะ คดี โจทก์ก็มีสิทธิรูองขอใหูบังคับคดีกบ ั หลักประกันดังกล่าวเพื่อเอาชำาระหนี้ไดู ถูาหลักประกันไม่มีม้ลค่าโจทก์ก็ไม่อาจบังคับชำาระหนี้ไดู โจทก์จึงเป็ นผู้เสียหาย โดยตรงในความผิดฐานแจูงความเท็จ - จำาเลยแจูงความเท็จต่อเจูาพนั กงาน แต่มิไดูเจาะจงถึงโจทก์โดยตรง โจทก์ มิใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานแจูงความเท็จ (ฎ.2989/31) คดีนี้โจทก์บรรยาย
ฟู องว่า จำาเลยแจูงเท็จต่อเจูาพนั กงานว่า ม.บุกรุกที่ดิน แต่ขูอเท็จจริงที่ดินดัง กล่าวเป็ นของโจทก์ ทำาใหูโจทก์ตูองฟู องขับไล่จำาเลย ทำาใหูโจทก์เสียหาย ศาล วินิจฉั ยว่า ผู้เสียหายฐานแจูงความเท็จ คือ ม. ไม่ใช่โจทก์ หรือ กรณี การแจูง ความเท็จต่อเจูาพนั กงาน แมูจะไม่ไดูเจาะจงถึงผู้ใด แต่มีผลใหูผู้อ่ ืนไดูรบ ั ความเสีย หาย เช่นส้ญเสียที่ดินไป ถือว่าผูน ้ ั ้นเป็ นผู้เสียหายโดยตรง เป็ นผูเ้ สียหายฐานแจูง ความเท็จ (ฎ. 3554/31)
- ผู้กู้มอบสมุดเงินฝาก และ เอทีเอ็ม ใหูแก่ผู้ใหูกู้ยึดถือไวูเป็ นประกันเงิน กู้ แลูวผู้กู้ไปแจูงความเท็จต่อเจูาพนั กงานตำารวจว่าสมุดเงินฝากและบัตรเอทีเอ็ม หายไป เพื่อนำ าไปเป็ นหลักฐานแสดงต่อธนาคารใหูออกสมุดเงินฝากและบัตร เอทีเอ็มใหูใหม่ ถือว่าเป็ นการกระทำาต่อเจูาพนั กงานโดยตรง มิไดูเจาะจงถึงผู้ใหูกู้ ผู้ใหูกู้ไม่เป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานแจูงความเท็จ (ฎ.6858/41) - เจูาหนี้ยึดถือหนั งสือสำาคัญสำาหรับที่ดินไวูเป็ นประกันหนี้ การที่ล้กหนี้ ไปแจูงความต่อเจูาพนั กงานว่าหนั งสือสำาคัญ ส้ญหายไป เพื่อขอออกใบแทน เป็ นการกระทำาต่อเจูาพนั กงานโดยตรง มิไดูเจาะจงถึงเจูาหนี้ เจูาหนี้ไม่ใช่ผู้เสียหาย ในความผิดฐานแจูงความเท็จ (ฎ.1261/17 ป.)
- ขายที่ดินไปแต่กลับไปแจูงว่า น.ส. 3 หรือ ส.ค.1 หายไป เพื่อนำ าออกใบ แทน ทำาใหูผู้ท่ีซ้ือที่ดน ิ ซึ่งเป็ นเจูาของที่แทูจริงไดูรับความเสียหาย เจูาของที่ดิน เป็ นผู้เสียหาย (ฎ.1955/46)
5
- ผู้ขายนำ าชีท ้ ่ีดินที่รุกลำา้ เขูาไปในที่สาธารณะเพื่อนำ าไปขายเพิ่มใหูผู้จะซื้อ ผู้ จะซื้อที่ดินไม่ไดูรับความเสียหาย เพราะมีสิทธิปฎิเสธไม่รับส่วนที่เพิ่มนั ้นไดู (ฎ.5138/37) - กรณี พยานในคดีอาญา ไม่มาเบิกความต่อศาลตามนั ดโดยอูางว่าป่ วยซึ่ง เป็ นเท็จนั ้น ค่ค ้ วามในคดีไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงในความผิดฐานแจูงความเท็จของ พยาน (ฎ.1753/20) - ชายจดทะเบียนสมรสซูอน แจูงต่อนายทะเบียนว่ายังไม่เคยสมรสมาก่อน ดังนี้ทัง้ ภริยาใหม่ และภริยาเดิม เป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานแจูงความเท็จ (ฎ.5052/30, 2583/22) ผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก ไดูแก่ เจูาของกรรมสิทธิ ์ และผู้ครอบครองด้แลทรัพย์ขณะที่ถ้กยักยอก (ฎ.5097/31,1554-5/12) และ ฎ. 2386/41 เรื่องสำานั กสงฆ์หูวยนำ ้ าผุด มีผู้ ครองครองด้แลทรัพย์(เงินสดของสำานั กสงฆ์ฯ) หลายคนร่วมกัน บุคคลเหล่านั ้น จึงมีความรับผิดทางแพ่งร่วมกัน ดังนั ้นการที่ผู้ด้แลรักษาเงินคนหนึ่ งยักยอกเงิน ไป ถือว่าผู้ด้แลรักษาเงินคนอื่น(ทุกๆคน) เป็ นผู้เสียหายไดู *** - ในคดีแพ่ง ศาลสัง่ คูุมครองประโยชน์โดยใหูจำาเลยเก็บเงินค่าเช่าทรัพย์มา วางศาล ถือว่าเงินที่จำาเลยตูองเก็บมายังไม่เป็ นเงินของโจทก์ การที่จำาเลยไม่นำาเงิน มาวางศาลแลูวนำ าไปเป็ นประโยชน์ของตน โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎ.171/44) - การชำาระหนี้ใหูแก่ทนายความของโจทก์ โดยโจทก์ไม่ไดูมอบหมายใหู ไปรับเงินดังกล่าว เงินดังกล่าวจึงยังไม่ตกเป็ นของโจทก์ เมื่อทนายความยักยอก เงินนั ้น โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎ.815/35 ป.) แต่ถูาทนายความไดูรับมอบหมาย จากโจทก์ใหูรบ ั เงินที่ชำาระแทนไดู เงินดังกล่าวย่อมตกเป็ นของโจทก์แลูวในฐานะ ตัวการ เมื่อทนายความเบียดบังไป โจทก์ย่อมเป็ นผู้เสียหายฐานยักยอก (ฎ.33/32)
- ตัวแทนหรือล้กจูางรับเงินหรือสิ่งของจากบุคคลภายนอกไวูแทนตัวการ หรือนายจูาง สิทธิในเงินหรือสิ่งของนั ้นย่อมตกเป็ นของตัวการหรือนายจูางทันที การที่ตัวแทนหรือล้กจูางยักยอกเงินหรือสิ่งของนั ้น ตัวการหรือนายจูาง เป็ นผู้เสีย หาย ส่วนผู้ชำาระเงินหรือสิ่งของ ไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎ.2250/44, 4/33, 556/41)
- ผู้จัดการมรดกเป็ นผู้ครอบครองด้แลทรัพย์มรดก จึงเป็ นผู้เสียหายใน
6
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์มรดก (ฎ.47/19 ป.)
- ยักยอกทรัพย์สินองบริษัทหรือหูางหูุนส่วนนิ ติบุคคล นิ ติบุคคลหรือ หูางหูุนส่วนเป็ นผู้เสียหายที่แทูจริง หูน ุ ส่วนผู้จัดการไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มอ ี ำานาจ รูองทุกข์ในนามของตนเอง(ฎ.5008/37) และผู้ถือหูุน หรือหูุนส่วนไม่ใช่ผู้เสีย หาย (ฎ. 6328/30) แต่ถูาผู้จัดการ กรรมการ หรือผู้แทนของนิ ติบุคคลยักยอก ทรัพย์ของนิ ติบุคคล ศาลวินิจฉั ยว่าผู้ถือหูน ุ หรือหูน ุ ส่วนเป็ นผู้เสียหายไดู (ฎ.1250/21 ป.) - เมื่อเจูาของทรัพย์สินตาย ทรัพย์สินเป็ นมรดกตกทอดแก่ทายาท ทายาท ย่อมเป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเจูามรดกตายไดู แมู จะยังไม่ไดูครอบครองทรัพย์ท่ีถก ้ ยักยอกก็ตาม(ฎ.1938/94) ผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์ ทำาใหูเสียทรัพย์ รับของโจร และบุกรุก การกระทำาความผิดฐานลักทรัพย์ ฐานทำาใหูเสียทรัพย์ รับของโจร และฐาน บุกรุก เป็ นการกระทำาที่กระทบต่อกรรมสิทธิ ์ และสิทธิครอบครอง ดังนี้ เจูาของ ทรัพย์หรือผู้ครอบครองด้แลรักษาทรัพย์ เป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานดังกล่าวไดู เช่น ผูร้ ับจูางขนส่งเป็ นผูค ้ รอบครองด้แลรักษาทรัพย์ท่ีขนส่ง เป็ นผู้เสียหาย โดยตรงจากการที่ทรัพย์สินที่ขนส่งส้ญหาย (ฎ. 12578/47, 5980-1/39) และ ฎ . 1548/35,634/36 ซึ่งวินิจฉั ยว่าผู้ครอบครองทรัพย์ เป็ นผู้เสียหายในความผิด ฐานลักทรัพย์ ทำาใหูเสียทรัพย์ และบุกรุก ไดู - ผู้เช่าก็เป็ นผู้ครอบครองทรัพย์ท่ีเช่า เป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานบุกรุก (ฎ. 1355/04) แต่ถูาคืนทรัพย์สินที่เช่าใหูผู้ใหูเช่าแลูว ผู้เช่าก็ไม่เป็ นผู้เสียหาย
(ฎ. 1417/22) ถูาผู้เช่ายังไม่ส่งมอบทรัพย์ท่ีเช่าคืนแก่ผู้ใหูเช่า แมูศาลจะ พิพากษาใหูขับไล่ผู้เช่าแลูว ก็ยังถือว่าผูเ้ ช่าเป็ นผู้ครอบครองด้แลรักษาทรัพย์ท่ีเช่า อย่้ ผู้เช่าจึงเป็ นผู้เสียหาย (ฎ. 363/18) - ผู้อาศัยผู้เช่าอีกทอดหนึ่ งไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎ. 993/99)
- ผู้ครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำาหรับพลเมืองใช่ร่วมกัน ไม่ใช่
ผู้เสียหายโดยนิ ตน ิ ั ยในความผิดฐานบุกรุก (ฎ. 928/20 ป.,172/35) ขูอสังเกต แมูผู้ครอบครองสาธรณสมบัติของแผ่นดินจะไม่ใช่ผู้เสียหายใน ความผิดฐานบุกรุก แต่อาจเป็ นผู้เสียหายในความผิดฐานทำาใหูตูนไมูท่ีตนปล้กไวู ในที่สาธารณะดังกล่าวเสียหาย ไดู (ฎ. 5310/30) ผู้เสียหายในความผิดฐานทำาใหูเสียทรัพย์
7
- ผู้เสียหายในความผิดฐานทำาใหูเสียทรัพย์ ไดูแก่ เจูาของทรัพย์ และผู้ ครอบครองด้แลรักษาทรัพย์ และ ผู้ครอบครองด้แลรักษาทรัพย์จะตูองเป็ นผู้ท่ี ไดูรับมอบหมายโดยตรงจากเจูาของทรัพย์นั้นดูวย ถูาเพียงแต่เจูาของอนุญาตใหู เขูาพักอาศัย โดยไม่ไดูรับอนุญาตโดยตรงใหูครอบครองด้แลทรัพย์นั้น ผู้ท่ีพัก อาศัยไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานทำาใหูเสียทรัพย์ เช่น ล้กจูางของบริษัทที่เขูา พักอาศัยอย่้ในหอพักคนงานของบริษัท มีเพียงสิทธิอาศัยเท่านั ้น บริษัทมิไดูมอบ หมายใหูด้แลรักษาทรัพย์โดยตรง เมื่อมีผู้มาทำาลายหอพักฯ บริษัทฯเท่านั ้น เป็ น ผู้เสียหาย (ฎ.352/41)
-โจทก์เป็ นเจูาของที่ดิน แต่ไม่ไดูเป็ นเจูาของผู้ครอบครองรถยนต์และเต็นท์ ซึ่งตัง้ อย่้ในที่ดินนั ้น จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานทำาใหูรถยนต์และเต็นท์เสีย หาย (ฎ. 7477/41) - ในเรื่องทางภารจำายอม เจูาของสามยทรัพย์(เจูาของที่ดินที่มีสิทธิใชูทาง ภารจำายอม) ไม่ใช่เจูาของหรือ
ผูค ้ รอบครองภารยทรัพย์ จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะมี
อำานาจฟู องผู้ท่ีทำาใหูภารยทรัพย์นั้นเสียหาย (ฎ. 1828/23) ผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ความเสียหายที่เกิดขึ้นสำาหรับความผิดฐานปลอมเอกสาร จะตูองเป็ นความ เสียหายที่เกิดขึ้นเพราะ “ขูอความแห่งเอกสารนั ้น” (ฎ. 3732/25) - ความผิดฐานปลอมเอกสารโดยการปลอมลายมือชื่อของผู้อ่ ืน ถือว่าผู้ท่ี ถ้กปลอมลายมือชื่อไดูรับความเสียหายโดยตรง จึงเป็ นผู้เสียหายในความผิดฐาน ปลอมเอกสาร ส่วนความผิดฐานใชูเอกสารปลอม ผู้ท่ีไดูรบ ั ความเสียหายน่ าจะ ไดูแก่ผู้ท่ีถ้กจำาเลยนำ าเอกสารปลอมไปใชูหรือไปแสดงต่อผู้นั้น นอกจากนี้ยัง รวมถึงผู้อ่ ืนที่ไดูรับความเสียหายจากการใชูเอกสารนั ้นดูวย (ฎ. 5689/44, 3252/45,7001/44)
- จำาเลยใชูบัตรเครดิตปลอม เป็ นเหตุใหูธนาคารตามบัตรเครดิตตูองจ่ายเงิน ใหูแก่รูานคูาผู้รบ ั บัตรเครดิตปลอม ถือว่าธนาคารตามบัตรเครดิตเป็ นผู้เสียหาย ในความผิดฐานใชูเอกสารปลอม (ฎ. 7001/44) รูานคูาไม่ใช่ผู้เสียหาย - มีผู้ปลอมลายมือชื่อผู้สัง่ จ่ายเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร ธนาคารเป็ นผู้เสีย หายในความผิดฐานใชูเอกสารปลอม และฐานฉู อโกง เพราะเงินเป็ นของธนาคาร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 672 วรรคสอง (ฎ. 1462-3/23) เรื่องนี้เมื่อมีการนำ าเช็ค ปลอมมาเบิกเงินจากธนาคาร ธนาคารจ่ายเงินใหูไป ถือว่าเป็ นความผิดของ ธนาคารเอง ธนาคารหักบัญชีของล้กคูาเจูาของบัญชีไม่ไดู ธนาคารจึงเป็ นผู้เสีย หายในความผิดฐานใชูเอกสารปลอมและฉู อโกง อย่างไรก็ตามสำาหรับความผิด ฐานปลอมเอกสาร ล้กคูาเจูาของเช็คที่ถ้กปลอมลายมือชื่อเป็ นผู้เสียหายในความ ผิดฐานนี้ไดู
- ผู้รับมอบอำานาจใหูฟูองคดี ไม่เป็ นผู้เสียหายในกรณี ท่ีจำาเลยปลอมหรือ
8
ใชูเอกสารปลอมเป็ นพยานหลักฐานในคดีนั้น (ฏ. 3561/25)
ผู้เสียหายในความผิดฐาน เจูาพนั กงานปฏิบัติหนู าที่โดยมิชอบ โดยทัว่ ไปความผิดต่อตำาแหน่ งหนู าที่ราชการ เป็ นความเสียหายที่กระทำาต่อ รัฐ รัฐจึงเป็ นผู้เสียหาย ราษฎร ไม่ใช่ผู้เสียหาย ( ฎ. 3042/37, 3437/27) อย่างไรก็ตามความผิดฐานเจูาพนั กงานปฏิบัติหนู าที่โดยมิชอบตาม ป.อ. มาตรา 157 ราษฎรก็อาจเป็ นผู้เสียหายไดู เช่น การที่เจูาพนั กงานละเวูนปฏิบัติหนู าที่ เพื่อช่วยผู้กระทำาความผิดอาญา ผู้เสียหายในความผิดอาญาฐานนั ้น ย่อมเป็ นผู้ เสียหายในความผิดฐานเป็ นเจูาพนั กงานปฏิบัติหนู าที่โดยมิชอบไดู (ฎ. 4881/41, 2294/17)
- เจูาพนั กงานตำารวจจดคำาพยานเป็ นเท็จ เพื่อช่วยผู้กระทำาความผิดมิใหูรับ โทษ หรือรับโทษนู อยลง เป็ นการปฏิบัติหนู าที่โดยมิชอบ ผู้เสียหายหรือผู้จัดการ แทนผู้เสียหาย ในความผิดอาญาที่มีการสอบสวนเป็ นผู้เสียหายในความผิดฐาน ปฏิบัติหนู าที่โดยมิชอบไดู (ฎ. 2294/17) - ผู้ใหญ่บูานละเวูนไม่จับกุมผู้ฉุดคร่าโจทก์ โดยเจตนาช่วยไม่ใหูผู้ทำาผิด ตูองรับโทษทางอาญา โจทก์ไดูช่ ือว่าเป็ นผู้เสียหายมีอำานาจฟู องในความผิดตามมา รา 157 (ฎ. 611/97) เรื่องนี้โจทก์เป็ นผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับที่ถ้กฉุด คร่า ซึ่งเป็ นความผิดอาญาหลัก การที่ผู้ใหญ่บูานละเวูนไม่จับกุมผู้ฉุดคร่าจึงถือว่า โจทก์เป็ นผู้เสียหายฐานละเวูนการปฏิบัติหนู าที่ แต่ถูาโจทก์ไม่เป็ นผูเ้ สียหายใน ความผิดอาญาหลัก การที่พนั กงานละเวูนไม่จับกุมผู้กรทำาผิด โจทก์ก็ไม่เป็ นผู้ เสียหายในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 สรุปว่า การที่ประชาชนจะเป็ นผู้เสียหาย ตาม ป.อ.มาตรา 157 ประชาชน จะตูองเป็ นผู้เสียหายในคดีอาญาเรื่องนั ้นๆดูวย ดังนั ้น เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ในความผิดฐานบุกรุกที่สาธารณะ การที่จำาเลยละเวูนไม่จับกุมผู้บุกรุก โจทก์จึง ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดตาม ป.อ.มาตรา 157 (ฎ. 3035/23) ผู้เสียหายในความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค ฯ ความผิดตาม พ.ร.บ. เช็คฯ เกิดขึ้นเมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ จึงมีไดูเฉพาะ “ผู้ทรงเช็ค” ในขณะที่ธนาคารปฏิเสธ
การจ่ายเงินซึ่งเท่านั ้น (ฎ.1035/29) ผูร้ ับโอนเช็คหลังจากธนาคารปฏิเสธการ
9
จ่ายเงิน ไม่ใช่ผู้เสียหาย แมูจะเป็ นเช็คผู้ถอ ื ซึ่งโอนไดูโดยการส่งมอบก็ตาม (ฎ. 5407/46,1891/24)
- แมูผู้เสียหายจะไดูรับชำาระหนี้ตามเช็คจากผู้ทรงคนก่อนแลูวก็ตาม ก็ยัง
เป็ นผู้เสียหายอย่้ (ฎ.2353/23)
- ถูาผู้ทรงเช็คมิไดูโอนเช็คใหูผู้อ่ ืน แต่นำาเช็คฝากเขูาบัญชีเงินฝากของผู้อ่ ืน หรือใหูผู้อ่ ืนนำ าเช็คไปเรียกเก็บเงินแทน ถือว่าผู้ท่น ี ำ าเช็คไปเรียกเก็บเงินเป็ น ตัวแทนเท่านั ้น ไม่ใช่ผู้เสียหาย และถือว่าผูท ้ ่ีมอบเช็ค เป็ นผู้ทรงขณะที่ธนาคาร ปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงเป็ นผู้เสียหาย (ฎ. 1084/42 , 2722/27, 349/43)
-กรณี ผู้ทรงเช็คถึงแก่ความตาย ก่อนธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน (ก่อน
ความผิดเกิด) สิทธิในเช็คย่อมเป็ นมรดกตกทอดแก่ทายาท ถือว่าทายาทเป็ น ผู้ทรง เมื่อต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทายาทจึงเป็ นผู้เสียหายในความผิด
ตาม พ.ร.บ.เช็คฯ (ฎ. 3619/43) ขูอสังเกต สิทธิในการดำาเนิ นคดีอาญาไม่เป็ นมรดกตกทอดแก่ทายาท ซึ่ง ตูองเป็ นกรณี ท่ค ี วามผิดนั ้นเกิดขึ้นขณะผู้เสียหายยังมีชีวิตอย่้ (ฎ. 578/15, 3395/25) แต่ ฏ. 3619/43 เมื่อ ป. ตาย สิ่งที่เป็ นมรดกตกทอดแก่โจทก์คอ ื
ความเป็ นผู้ทรงเช็ค ไม่ใช่สิทธิในการดำาเนิ นคดีอาญา เพราะขณะที่ ป. ถึงแก่ ความตาย ความผิดยังไม่เกิด สิทธิในการดำาเนิ นคดีอาญาจึงยังไม่มี เนื่ องจาก ธนาคารยังไม่ไดูปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินในขณะที่โจทก์ ทัง้ สามในฐานะทายาทซึ่งเป็ นผูท ้ รงเช็ค โจทก์ทัง้ สามจึงเป็ นผู้เสียหายโดยตรง - ฐานะของการเป็ นผู้ทรงเช็ค เป็ นสิทธิเฉพาะตัว ไม่ใช่ทรัพย์สินระหว่าง สามีภริยา สามีของผู้ทรงเช็คในขณะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎ. 2752/31) - จำาเลยออกเช็คหลายฉบับเพื่อชำาระหนี้ในม้ลหนี้จำานวนเดียวกัน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ เมื่อจำาเลยถ้กฟู องตามเช็คฉบับหนึ่ งไปแลูว โจทก์ไม่ใช่ผเู้ สียหายตามเช็คฉบับหลังอีก (ฎ. 3254/26, 3822/29) - รับโอนเช็คมาเพื่อฟู องคดีอาญาถือว่าไม่สุจริต ไม่เป็ นผู้เสียหาย (ฎ.
3413/28)
- เช็คที่มีม้ลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบรูอยฯ ผู้รับเช็คไม่ใช่ผเู้ สียหายโดย
นิ ตินัย (ฏ. 3413/28) เช่น เช็คที่ฟูองเป็ นเช็คที่ผู้เสียหายคิดดอกเบีย ้ เกินอัตรา ตามกฎหมายรวมเขูาไปไวูดูวย ถือว่าผู้เสียหายไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบ และไม่ใช่ผู้ เสียหายโดยนิ ตินัย (ฎ. 3047/31)
10
ผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาท - การหมิ่นประมาทบุคคลหนึ่ ง ซึ่งอย่้ในกลุ่มบุคคลโดยไม่เจาะจงว่าหมาย ถึงผู้ใด หรือจากถูอยคำาที่หมิ่นประมาทไม่อาจทราบว่าเป็ นผู้ใด ผู้ท่ีอย่ใ้ นกลุ่มนั ้น คนใดคนหนึ่ งไม่เป็ นผู้เสียหาย (ฎ. 1325/98, 3954/39) - แต่ถูาเป็ นการหมิ่นประมาททุกคนที่อย่้ในกลุ่มบุคคลนั ้นคนใดคนหนึ่ ง
เป็ นผู้เสียหาย (ฎ.448/89,295/ 05 ) ความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็ นผู้เสียหาย เอกชนไม่อาจเป็ นผู้เสียหาย ไดูแก่ ความผิด ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ฯ (ฎ. 648/37, 2096/30)
ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปื นฯ ความผิดตาม ป.อ. 147 , 158 , 170, 199
,
ความผิดตาม พ.ร.ก.การกูเ้ งินที่เป็ นการฉู อโกงประชาชนฯ ,ความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ , ความผิดตาม พ.ร.บ.อาหารฯ และ พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ
ผู้เสียหายโดยนิ ตินัย ตามแนวคำาพิพากษาศาลฎีกา “ ผู้เสียหายโดยนิ ตินัย” หมายถึง ผู้ท่ีไม่มีส่วนเกี่ยวขูองในการกระ ทำาความผิด หรือไม่เป็ นผู้ใชู ผู้สนั บสนุน หรือรูเ้ ห็นในการกระทำาความผิดนั ้น และไม่ไดูสมัครใจใหูเกิดความผิดนั ้น (ฎ. 4461/39, 7128/47, 1167/30, 3100/47)
- การแสวงหาพยานหลักฐานโดยการล่อซื้อ หากปรากฏว่า มิไดูเป็ นการก่อ ใหูจำาเลยกระทำาความผิด เพราะจำาเลยมีเจตนาที่จะกระทำาความผิดอย่้แลูว ถือว่า เป็ นผู้เสียหายโดยนิ ตน ิ ั ย (ฎ. 6523/45) แต่ถาู พยานหลักฐานที่โจทก์นำาสืบยัง ฟั งไม่ไดูแน่ ชัดว่า จำาเลยมีเจตนากระทำาความผิดอย่้แลูวจึงใหูคนไปล่อซื้อ จึงเท่ากับ ผู้เสียหายมีส่วนก่อใหูผู้อ่ ืนกระทำาความผิดขึ้นเอง ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิ ตินัย ไม่มี อำานาจฟู อง (ฎ. 4085/45) - *** หากผู้ท่ีมใิ ช่ผู้เสียหายโดยนิ ตินัยถึงแก่ความตาย ผู้บุพการี ผู้สืบ
สันดาน สามี ภริยา จะจัดการแทนตามมาตรา 5(2) ไม่ไดู
- การที่ผู้กู้ยอมใหูผู้ใหูกค ู้ ิดดอกเบีย ้ เกินอัตรา ไม่เป็ นผู้เสียหายโดยนิ ตินัย
ตาม พ.ร.บ.หูามเรียกดอกเบีย ้ เกินอัตรา (ฎ. 1281/03)
- แต่ถูาผู้กู้ฟูองผู้ใหูกู้ในขูอหาฉู อโกง ซึ่งผู้กู้มิไดูมีส่วนร่วมกระทำาผิดดูวย
ผู้กู้เป็ นผู้เสียหายไดู (ฎ. 6869/41)
11
ขูอสังเกต กรณี กฎหมายกำาหนดใหูผู้เสียหายเท่านั ้นที่มีอำานาจกระทำาการไดูเช่น รูอง ทุกข์ ฟู อง ขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมกับพนั กงานอัยการ อุทธรณ์ฎก ี า ถอนคำารูอง ทุกข์ ถอนฟู อง ยอมความเพื่อยุตค ิ ดีความผิดต่อส่วนตัว เป็ นตูน การดำาเนิ น กระบวนพิจารณาเหล่านี้ ผู้ท่ีมอ ี ำานาจดำาเนิ นการนั ้นไดูตูองเป็ นผู้เสียหายเท่านั ้น บุคคลอื่นที่มิไดูมีฐานะเป็ นผู้เสียหาย ย่อมไม่มีอำานาจที่จะกระทำาไดู และผู้เสียหาย ที่จะมีอำานาจนั ้นจะตูองเป็ นผู้เสียหาย ตามมาตรา 2(4) ดูวย ( ธานิ ศ เกศว พิทักษ์ คำาอธิบาย ป.วิอาญา เล่ม 1 5 )
( พิมพ์ครัง้ ที่ 5 พ.ศ. 2551) หนู า
คำารูองทุกข์ ( มาตรา 2(7)) คำารูองทุกข์ คือการที่ผู้เสียหายกล่าวหาต่อพนั กงานเจูาหนู าที่วา่ มีผู้กระทำา ความผิดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะรู้ตัวผู้กระทำาความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งการกระทำาความ ผิดนั ้นก่อใหูเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย โดยมีเจตนาใหูผู้กระทำาผิดไดูรับโทษ คำารูองทุกข์มีความสำาคัญ ในการวินิจฉั ยเกี่ยวกับการดำาเนิ นคดีในความผิด อันยอมความไดู ในปั ญหาอำานาจสอบสวนของพนั กงานสอบสวน และอำานาจของ พนั กงานอัยการ กล่าวคือพนั กงานสอบสวนจะมีอำานาจสอบสวนในความผิดอัน ยอมความไดูตูองมีคำารูองทุกข์ตามระเบียบก่อน ถูาไม่มค ี ำารูองทุกข์ หรือเป็ น คำารูองทุกข์ไม่ชอบดูวยกฎหมาย พนั กงานสอบสวนไม่มีอำานาสอบสวน ทำาใหู อัยการไม่มีอำานาจฟู อง ผู้เสียหายตูองมีเจตนาใหูผู้กระทำาความผิดไดูรับโทษ - การแจูงความต่อพนั กงานสอบสวนเพื่อกันคดีขาดอายุความ หรือแจูงไวู เพื่อเป็ นหลักฐาน ถือว่าผู้เสียหายไม่มีเจตนาจะใหูพนั กงานสอบสวนดำาเนิ นคดีกับ ผู้กระทำาความผิด ไม่เป็ นคำารูองทุกข์ ตามมาตรา 2(7) (ฎ. 228/44, 391/27) - การรูองทุกข์ในความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คฯ ถูาผูเ้ สียหายแจูงว่า ตูองการรับ เช็คของกลางไปเพื่อดำาเนิ นการฟู องจำาเลยอีกทางหนึ่ งก่อน โดยไม่ขอมอบคดีต่อ พนั กงานสอบสวน ถือว่าผู้เสียหายไม่มีเจตนาใหูผู้ออกเช็คตูองรับโทษ ไม่เป็ น คำารูองทุกข์ (ฎ. 4714/33, 314/29) - แต่ถาู ผู้เสียหายรูองทุกข์ขอใหูดำาเนิ นคดีกบ ั ผู้ออกเช็ค และในขณะ
เดียวกันก็ขอรับเช็คคืนไปทวงถามเอากับผู้สัง่ จ่ายอีกทางหนึ่ ง ( โดยคำารูองทุกข์ ไม่มีขูอความระบุว่ายังไม่มอบคดีใหูพนั กงานสอบสวนดำาเนิ นการ) ถือว่าผู้เสีย หายมอบคดีใหูพนั กงานสอบสวนแลูว และถือว่าผู้เสียหายมีเจตนาใหูผู้กระทำา ความผิดไดูรับโทษแลูว จึงเป็ นคำารูองทุกข์ตามกฎหมาย (ฎ. 1209/31 ป.)
12
- ในกรณี ท่ีมีผรู้ ่วมกระทำาความผิดหลายคน แต่ผู้เสียหายรูองทุกข์โดย ระบุช่ ือเพียงบางคนเท่านั ้น ถือว่าผู้เสียหายไม่มีเจตนาจะใหูผู้ท่ีไม่ไดูระบุช่ ือใหูตูอง รับโทษดูวย จึงไม่เป็ นคำารูองทุกข์สำาหรับผู้ท่ีไม่ระบุช่ ือ (ฎ. 3343/36, 122/28) - แต่ถูาเป็ นความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งไม่จำาเป็ นตูองมีการรูองทุกข์โดยผู้ เสียหาย เจูาพนั กงานก็มีสิทธิดำาเนิ นคดีแก่ผู้กระทำาความผิดไดู ดังนั ้นแมูผู้เสีย หายจะระบุช่ ือใหูดำาเนิ นคดีแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ ง เจูาพนั กงานตำารวจก็มีสิทธิ ดำาเนิ นคดีแก่ผู้อ่ ืนไดู (ฎ. 4080/40)
- เจตนาเพื่อใหูผู้กระทำาความผิดไดูรับโทษนั ้น คงพิจารณาเฉพาะขณะผู้ เสียหายรูองทุกข์ว่าผู้เสียหายมีเจตนาใหูผู้กระทำาผิดไดูรับโทษหรือไม่ ถูามีเจตนา จะใหูผู้กระทำาความผิดไดูรับโทษแลูว แมูต่อมาในชัน ้ พิจารณาของศาล ผูเ้ สียหาย กลับมาเบิกความต่อศาลว่าไม่มีเจตนาใหูเอาโทษจำาเลย ดังนี้ ไม่ทำาใหูคำารูองทุกข์ท่ี ชอบดูวยกฎหมายเสียไป (ฎ.186/03, 3091/23) - เมื่อไดูรูองทุกข์โดยชอบดูวยกฎหมายแลูว แมูจะมีการผ่อนผันใหูจำาเลย
บูาง ก็เป็ นเพียงรอการดำาเนิ นคดีไวูเท่านั ้น ไม่ทำาใหูคำารูองทุกข์เสียไป (ฎ. 3093/23)
- การรูองทุกข์ไม่จำาเป็ นตูองระบุใหูชัดแจูงว่าเป็ นการรูองทุกข์ การที่ผู้เสีย หายใหูการต่อพนั กงานสอบสวนในฐานะผู้เสียหาย การใหูการดังกล่าวก็เพื่อเอาผู้ กระทำาผิดมาลงโทษ จึงถือว่าคำาใหูการของผู้เสียหายเป็ นคำารูองทุกข์โดยชอบไดู (ฎ. 2100/14) - การรูองทุกข์อาจมีการมอบอำานาจใหูผู้อ่ ืนไปรูองทุกข์แทนไดู ในกรณี ท่ีผู้ เสียหายเป็ นนิ ติบุคคล หนั งสือมอบอำานาจตูองทำาใหูถก ้ ตูองตามขูอบังคับของ นิ ตบ ิ ุคคลนั ้นดูวย มิฉะนั ้นไม่ถือว่านิ ตบ ิ ุคคลนั ้นไดูรูองทุกข์แลูว (ฎ. 1590/30) ถูามีการมอบอำานาจใหูไปรูองทุกข์แทน ตูองระบุในหนั งสือมอบอำานาจดูวยว่าใหูมี อำานาจดำาเนิ นคดีแก่จำาเลยดูวย (ฎ. 228/44) - หูุนส่วนผู้จัดการของหูางหูุนส่วนจำากัดรูองทุกข์ แต่ไม่มีขูอความระบุว่า ทำาใหูหูางฯ ไดูรบ ั ความเสียหายดูวย ถือไม่ไดูว่าเป็ นการรูองทุกข์แทนหูางฯ เมื่อ หูางฯ เป็ นโจทก์ฟูองคดีเกิน 3 เดือน ฟู องโจทก์จึงขาดอายุความ (ฎ. 4070/40) ผู้มีอำานาจจัดการแทนผู้เสียหาย ( มาตรา 5) ตามมาตรา 5(1) ใหูผู้แทนโดยชอบธรรม มีอำานาจจัดการแทนผู้เยาว์ใน ความผิดซึ่งไดูกระทำาต่อผู้เยาว์ แสดงว่าผู้เยาว์จะฟู องคดีเองไม่ไดู แมูจะไดูรับ ความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก็ตาม (ฎ. 563/17, 631/38)
- *** การที่ผู้เยาว์ซ่ึงเป็ นผูเ้ สียหายเขูาร่วมเป็ นโจทก์ โดยมิไดูใหูผู้แทน
13
โดยชอบธรรมจัดการแทน เป็ นขูอบกพร่องเรื่องความสามารถตาม ป.วิ.พ. มาตรา 56
ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 6,15 ซึ่งศาลตูองสัง่ ใหูแกูไขขูอบกพร่องตาม
ป.วิ.พ.มาตรา 56 วรรคสี่ เสียก่อน จะยกคำารูองขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมในทันทีไม่ไดู (ฎ. 6475/37) อย่างไรก็ตามถูาขณะที่คดีอย่ใ้ นระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ร่วมอายุกว่า 20 ปี บรรลุนิติภาวะแลูว จึงไม่มีความจำาเป็ นและไม่มีเหตุท่ี ศาลฎีกาจะตูองสัง่ ใหูแกูไขขูอบกพร่องเรื่องความสามารถของโจทก์ร่วมอีก - แต่ในเรื่องการรูองทุกข์ ผูเ้ ยาว์ซ่ึงเป็ นผู้เสียหายรูองทุกข์ต่อพนั กงาน สอบสวนไดู โดยไม่ตูองใหูผู้แทนโดยชอบธรรมจัดการแทน (ฎ. 214/94, 1641/14)
- ในกรณี ท่ีผู้เยาว์รูองทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัวไวูแลูว ผู้แทนโดยชอบ
ธรรมจะถอนคำารูองทุกข์ใหูขัดกับความประสงค์ของผู้เยาว์ไม่ไดู (ฎ. 214/94 ป.)
- ** ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ตามมาตรา 5 (1) ไดูแก่ บิดามารดา ผู้ปกครอง ในกรณี ท่เี ป็ นบิดาจะตูองเป็ นบิดาที่ชอบดูวยกฎหมายของผู้เยาว์ดูวย จึงจะถือว่าเป็ นผู้แทนโดยชอบธรรม ไม่ถือตามสายโลหิต (ฎ. 2882/27, 6306/45)
- ** แต่สำาหรับความหมายของบุพการีตามมาตรา 5(2) และ ผู้สืบ
สันดานนั ้น ถือตามความเป็ นจริง (ฎ. 1384/16 ป.) ส่วน สามี ภริยาก็ตูองชอบ ดูวยกฎหมาย ดูวย (ฎ. 1056-03)
- * เมื่อผู้เสียหายที่แทูจริงไม่เป็ นผู้เสียหายโดยนิ ตน ิ ั ย ผู้บุพการี ผู้สืบ
สันดาน สามีภริยา ก็ไม่มีอำานาจจัดการแทนไดูเช่นกัน (ฎ. 7128/47, 4526/46) -ในกรณี ท่บ ี ิดาฟู องคดีแทนบุตรซึ่งถ้กทำารูายถึงแก่ความตาย ในระหว่าง
การพิจารณาคดีของศาล บิดาตายอีก ดังนี้ บุตรของบิดา(พี่ชายผู้ตาย) จะดำาเนิ น คดีต่างผู้ตายต่อไป ตามมาตรา 29 ไม่ไดู (ฎ. 2331/21) - การจัดการตามมาตรา 5(2) นั ้นจะตูองยืนยันว่าผู้ตายตายไปแลูว หรือ
บาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองไดู (ฏ. 1734-5/23)
- ความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถ้กทำารูายถึงตาย หรือบาดเจ็บจนไม่สามารถ จะจัดการเองไดู ที่ผบ ู้ ุพการี ผู้สืบสันดานจะจัดการแทนไดูนั้น บาดแผลที่ทำาใหู ถึงแก่ความตาย หรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองไดู ตูองเกิดจากการกระทำา ของจำาเลยดูวย (ฎ. 3879/46)
14
- ตามมาตรา 5(3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆของนิ ตบ ิ ุคคลมีอำานาจ จัดการแทนนิ ติบค ุ คลในความผิดอาญาที่กระทำาลงแก่นิตบ ิ ุคคลนั ้น แต่ถูาผู้จัดการ หรือผู้แทนนิ ตบ ิ ุคคลกระทำาผิดต่อนิ ตบ ิ ุคคลนั ้นเสียเอง ผู้ถือหูุนหรือผู้เป็ นหูุน ส่วนที่ไดูรับความเสียหายมีอำานาจฟู องผู้จัดการหรือผู้แทนไดู (ฎ. 115/35, 1352/44)
- *** สิทธิในการดำาเนิ นคดีอาญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินไม่ตกทอดไปยัง ทายาท ทายาทจึงไม่มีสิทธิดำาเนิ นคดีอาญาในความผิดที่เจูามรดกเป็ นผู้เสียหาย (ฎ.3395/25, 2219/21) แต่ถาู เจูามรดกไดูรูองทุกข์ดำาเนิ นคดีแก่ผู้กระทำาความ ผิดแลูว ต่อมาเจูามรดกตาย ทายาทมีสิทธิถอนคำารูองทุกข์ไดู (ฎ. 206/88, 11/18)
- สำาหรับในความผิดฐานหมิ่นประมาท มีบทบัญญัติไวูเป็ นกรณี พิเศษตาม
ป.อ. มาตรา 333 วรรคสองว่า ถูาผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทตาย เสียก่อนรูองทุกข์ ใหูบิดา มารดา ค่้สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายรูองทุกข์ไดู และ ใหูถอ ื ว่าเป็ นผู้เสียหาย แสดงว่าเฉพาะในความผิดฐานหมิ่นประมาทนี้ แมูผู้เสีย หายจะตายไปแลูว บุคคลตามที่ระบุไวูก็มีอำานาจไปรูองทุกข์ใหูดำาเนิ นคดีแก่ผู้ กระทำาไดู - การฟู องคดีอาญา มีการมอบอำานาจใหูผู้อ่ น ื ฟู องคดีแทนไดู (ฎ. 890/03 ป., 2178/24) การตัง้ ผู้แทนเฉพาะคดี ( มาตรา 6) การรูองขอใหูศาลตัง้ ผู้แทนเฉพาะคดีไดูเมื่อผู้เสียหายเป็ นผู้เยาว์ ผู้วิกลจริต หรือผู้ไรูความสามารถ และในในกรณี ดังนี้ 1. ผู้เสียหาย เป็ นผู้เยาว์ ไม่มี ผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบ ธรรม ไม่สามารถ ทำาหนู าที่ไดู หรือ มีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์ 2. ผู้วิกลจริต หรือผู้ไรูความสามารถ ไม่มีผู้อนุบาล หรือผู้อนุบาลไม่สาม รถทำาหนู าที่ไดู หรือมีผลประโยชน์ขัดกันฯ ผู้มีสิทธิรูองขอต่อศาลคือ ญาติของผู้เสียหาย หรือ ผู้มีประโยชน์เกี่ยวขูอง - การรูองขอตัง้ ผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา 6 ตูองเป็ นกรณี ท่ีผู้เยาว์, ผู้ วิกลจริต หรือผู้ไรูความสามารถ ยังมีชีวิตอย่้ดูวย มิฉะนั ้นจะขอใหูตัง้ ผู้แทนเฉพาะ คดีไม่ไดู (ฎ. 3432/36, 1625/32, 365/32) ผู้แทนเฉพาะคดีท่ีฟูองแทนผู้เสีย หาย จะมีอำานาจว่าคดีแทนผู้เสียหายที่ตายลงต่อไปไดูตามมาตรา 29 นั ้น หมาย ถึงกรณี ท่ีศาลไดูตัง้ ผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เสียหายไวูแลูวก่อนที่ผู้เสียหายจะตาย หาไดูหมายถึงกรณี ผู้เสียหายไดูตายไปก่อนที่ศาลจะตัง้ ผู้แทนโดยเฉพาะคดีดูวยไม่
15
- เมื่อศาลไดูมค ี ำาสัง่ ตัง้ ผู้แทนเฉพาะคดีแลูว ผู้หนึ่ งผู้ใดจะรูองขอใหู พิจารณาใหม่ ไม่ไดู -*** บิดามารดาของผู้เยาว์ไม่ไดูจดทะเบียนสมรสกัน มารดาเท่านั ้นเป็ น ผู้แทนโดยชอบธรรม เมื่อปรากฏว่ามารดาหนี ไปแลูว ถือว่าเป็ นกรณี ท่ีผู้แทนโดย ชอบธรรมไม่สามารถทำาหนู าที่ไดู จึงอย่้ในหลักเกณฑ์ท่ีจะตัง้ ผู้แทนเฉพาะคดีไดู ตามมาตรา 6 แต่ การที่บิดาที่ไม่ชอบดูวยกฎหมายฟู องคดีอาญาแทนผู้เยาว์และ ศาลสัง่ ประทับฟู องไวูพิจารณา ถือไดูโดยปริยายว่าศาลตัง้ บิดาเป็ นผู้แทนเฉพาะ คดีแลูว (ฎ. 2958/41) การดำาเนิ นคดีอาญานิ ติบุคคล (มาตรา 7) - เนื่ องจากผู้จัดการหรือผู้แทนนิ ติบค ุ คลเป็ นผู้กระทำาแทนนิ ตบ ิ ุคล ผู้ จัดการหรือผู้แทนนิ ตบ ิ ุคคลที่กระทำาการแทนนิ ตบ ิ ุคคลไดูก่อใหูเกิดความผิดอาญา ขึ้นนั ้น ถือว่าผู้จัดการหรือผู้แทนนิ ติบค ุ คลเป็ นตัวการร่วมดูวย การแจูงขูอหาแก่ผู้ จัดการหรือผู้แทนนิ ตบ ิ ุคคลในฐานะจำาเลย ก็ถือว่าเป็ นการแจูงขูอหาในฐานะผู้ จัดการหรือผู้แทนนิ ตบ ิ ุคคลดูวย จึงถือว่าไดูแจูงขูอหาแก่นิติบุคคลนั ้นแลูว - ผู้แทนนิ ตบ ิ ุคคล ไดูแก่ กรรมการผู้มีอำานาจ หรือกรรมการผู้จัดการ หรือ ชื่ออื่นๆ แตกต่างกันไป - การสอบสวนนิ ติบุคคลเป็ นผู้ตูองหา ตูองออกหมายเรียกผู้จัดการ หรือผู้
แทนอื่นๆของนิ ติบค ุ คลมายังพนั กงานสอบสวน (มาตรา 7) คำาว่า ผู้จัดการหรือผู้ แทนอื่น หมายถึงผู้ท่ีมีอำานาจกระทำาการแทนนิ ติบค ุ คลนั ้นตามกฎหมาย ถูา พนั กงานสอบสวนไดูทำาการสอบสวนกรรมการที่ไม่มีอำานาจของจำาเลย ถือว่า เป็ นการสอบสวนที่ไม่ชอบ อัยการไม่มีอำานาจฟู อง (ฎ. 4205/41) สิทธิของผู้ถ้กจับหรือผู้ตูองหา (มาตรา 7/1)
- การแจูงสิทธิของผู้ตองหาตามมาตรา 7/1 ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย บังคับใหูตูองระบุไวูในบันทึกคำาใหูการชัน ้ สอบสวน อันจะเป็ นเหตุใหูการ สอบสวนไม่ชอบ และไม่อาจรับฟั งบันทึกคำาใหูการในชัน ้ สอบสวนของจำาเลยเป็ น พยานหลักฐานไดู (ฎ. 2015/47) การใชูล่ามแปล (มาตรา 13)
- ล่ามตูองสาบานหรือปฎิญาณตนก่อนแปล และลงลายมือชื่อในคำาแปล ดูวย มิฉะนั ้น เป็ นกระบวนพิจารณาไม่ชอบ (ฎ. 7567/44) แต่ถูาในชัน ้ สอบสวน แมูพนั กงานสอบสวนจะสอบปากคำาจำาเลยโดยมิไดูใหูล่ามสาบานหรือปฏิญาณตน
ก็ไม่ทำาใหูการสอบสวนไม่ชอบ คงมีผลทำาใหูคำาใหูการในชัน ้ สอบสวนของ จำาเลยไม่อาจใชูยน ั จำาเลยในชัน ้ พิจารณาไดูเท่านั ้น (ฎ. 5476/37)
16
- ตามมาตรา 13 มิไดูบังคับว่าในกรณี จำาเลยเป็ นชาวต่างประเทศ จะตูองมี
ล่ามแปลในการพิจารณาของศาลทุกครัง้ (ฎ. 52/29) การดำาเนิ นคดีผู้วิกลจริต (มาตรา 14) ศาลจะสัง่ จำาหน่ ายคดีชัว่ คราวไดู ตูองปรากฏว่าจำาเลยเป็ น บุคคลวิกลจริต และไม่สามารถต่อสู้คดีไดู ซึ่งตูองเขูาหลักเกณฑ์ทัง้ สองประการ (ฎ. 928/99) - เมื่อพนั กงานสอบสวนหรือศาล สัง่ ใหูพนั กงานแพทย์ตรวจเสร็จแลูว ใหู เรียกพนั กงานแพทย์มาใหูถูอยคำา แต่ถูาเป็ นกรณี ท่ีแพทย์ไม่สามารถวินิจฉั ยโรค ไดู ก็ไม่จำาตูองเรียกแพทย์มาใหูถอ ู ยคำา (ฎ. 3831/28) - เมื่อมีเหตุควรเชื่อในเบื้องตูนว่าจำาเลยเป็ นผู้วิกลจริต และไม่สามารถต่อสู้ คดีไดู ศาลตูองสัง่ ใหูแพทย์ตรวจจำาเลยก่อน โดยขูอเท็จจริงนั ้นศาลอาจจะสังเกต เห็นจากอากับกิริยาไดูเอง หรือผู้เสนอขูอเท็จจริงใหูศาลทราบก็ไดู (ฎ. 2594/42) - เมื่อศาลชัน ้ ตูนชีข้ าดว่าจำาเลยสามารถต่อสู้คดีไดู และจำาเลยไม่โตูแยูง การ
ดำาเนิ นกระบวนพิจารณาต่อมา จึงชอบดูวยกฎหมายแลูว (ฎ. 809/48)
- นายประกันไม่สามารถนำ าตัวจำาเลยส่งศาลไดู จะขอใหูศาลไต่สวนว่าจำาเลย
วิกลจริตตามมาตรา 14 ไม่ไดู (ฎ. 2553/25)
การนำ า ป.วิ.พ. มาใชูบังคับ (มาตรา 15) วิธีพิจารณาขูอใดที่ ป.วิ.อ. มิไดูบัญญัติไวูโดยเฉพาะ ใหูนำาบทบัญญัติ
ป.วิ.พ. มาใชูบังคับเท่าที่จะพอใชูบังคับไดู -
วิธีพิจารณาความแพ่งที่จะนำ ามาใชู ตูองเป็ นวิธีพิจารณาที่มิไดูบัญญัติไวู
ใน ป.วิ อ. ประกอบกับเรื่องที่จะนำ ามาใชูตูองไม่ขัดกับหลักวิธีพิจารณาตามที่ บัญญัติไวูใน ป.วิ.อ.ดูวย เช่น กรณี การรูองสอดแมูไม่มีบัญญัติไวูใน ป.วิ.อ. แต่ก็ มีบทบัญญัติเรื่องการเขูาเป็ นโจทก์ร่วมในมาตรา 30 และมาตรา 31 ไวูโดย เฉพาะแลูว ดังนั ้นผู้เสียหายขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมในคดีท่ีผเู้ สียหายคนอื่นฟู องไวู แลูวโดยอาศัยบทบัญญัติในเรื่องการรูองสอดคาม ป.วิ.พ. ไม่ไดู (ฎ. 3935/29) หรือกรณี พนั กงานอัยการไดูฟูองคดีไวูแลูว ผู้ท่ีไม่ใช่ผู้เสียหายจะ
ขอรูองสอดเขูามาเป็ นโจทก์ร่วมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 ไม่ไดู (ฎ. 3797-
17
8/40)
- นำ าเรื่องฟู องซูอน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) มาใชูในคดี อาญาดูวย เช่น การที่อัยการฟู องโดยบรรยายว่าจำาเลยลงพิมพ์ขูอความหมิ่น ประมาทโจทก์ร่วม แมูขูอเท็จจริงจะปรากฏว่า เป็ นคนละบทความกัน และลง พิมพ์ต่างหนู ากันกับที่โจทก์ฟูองในคดีนี้ แต่เป็ นขูอความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม ในหนั งสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน และขูอความก็เป็ นเรื่องเดียวกัน การกระทำาของ จำาเลยจึงเป็ นกรรมเดียว พนั กงานอัยการคดีแรกและคดีหลังแมูจะเป็ นคนละคน กัน แต่ก็มอ ี ำานาจฟู องคดีต่อศาลตามมาตรา 2(5),28(1) ดูวยกัน การที่โจทก์นำา คดีนี้มาฟู องจำาเลยอีก จึงเป็ นฟู องซูอน (ฎ. 464/30) หรือยื่นฟู องต่อศาลแขวง พระนครเหนื อว่าจำาเลยโฆษณาขูอความหมิ่นประมาทโจทก์ในหนั งสือพิมพ์รายวัน เมื่อศาลแขวงพระนครเหนื อฯ ไดูประทับรับฟู องแลูว การที่โจทก์ฟูองจำาเลยต่อ ศาลแขวงเชียงใหม่ ในเหตุเดียวกันนี้โดยคำาฟู องเป็ นเรื่องเดียวกัน จึงเป็ นฟู อง ซูอน (ฎ. 3528/24) - นำ าบทบัญญัติเรื่องการอุทธรณ์เฉพาะปั ญหาขูอกฎหมายโดยตรงไปยัง
ศาลฎีกา ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 223 ทวิ มาใชูบังคับในคดีอาญาไม่ไดู (ฎ. 1156/42) อำานาจสืบสวนสอบสวน (มาตรา 17-21) - ผู้มีอำานาจสืบสวนไดูแก่ พนั กงานฝ่ ายปกครองหรือตำารวจ แมูจะไดู
รับคำาสัง่ แต่งตัง้ ใหูทำาหนู าที่อ่ ืน ก็ถือว่ายังมีอำานาจสืบสวนคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. อย่้ ผฎ. 500/37, 2390/27)
- พนั กงานสอบสวน ในทูองที่ท่ค ี วามผิดอาญาไดูเกิด หรืออูาง หรือเชื่อว่า ไดูเกิดในเขตอำานาจของตน หรือผู้ตูองหามีถ่ินที่อย่้หรือถ้กจับภายในเขตอำานาจ ของตน เป็ นผู้มีอำานาจในการสอบสวน - ถูาการสอบสวนโดยพนั กงานสอบสวนที่ไม่มีอำานาจ การสอบสวนก็ไม่ ชอบ ทำาใหูพนั กงานอัยการไม่มีอำานาจฟู อง เช่น ความผิดฐานขายเมทแอมเฟตา มีน เกิดในเขตอำาเภอ น. และจำาเลยมีท่ีอย่้และถ้กจับที่เขตอำาเภอ น. พนั กงาน สอบสวนในเขตอำาเภอ ด. จึงไม่มีอำานาจสอบสวนคดีนี้ การสอบสวนที่ทำาไปจึง ไม่ชอบ และถือว่าคดีนี้ยังไม่มีการสอบสวน อัยการโจทก์จึงไม่มีอำานาจฟู อง (ฎ. 4634/43)
- * พนั กงานสอบสวนทำาการสอบสวนคดีท่ีไม่อย่้ในอำานาจของตน เป็ นการไม่ชอบ แมูจะเป็ นการสอบสวนเพียงบางส่วน โดยส่วนอื่นจะเป็ นการ สอบสวนโดยพนั กงานสอบสวนผู้มีอำานาจก็ตาม ก็ถอ ื ว่าคดีนั้นมีการสอบสวนโดย
ไม่ชอบดูวยกฎหมาย พนั กงานอัยการไม่มีอำานาจฟู อง (ฎ. 371/31) *** เมื่อการสอบสวนทัง้ คดีรวมการสอบสวนที่ไม่ชอบดูวยกฎหมายไวูดูวย การ สอบสวนคดีนี้จึงไม่ชอบดูวยมาตรา 18 และไม่เป็ นการสอบสวนตามที่ระบุไวู
18
ในมาตรา 120 โจทก์จึงไม่มีอำานาจฟู อง
- เมื่อการสอบสวนกระทำาโดยพนั กงานสอบสวนผู้มีอำานาจแลูว การ
สอบสวนนั ้นจะกระทำา ณ. ที่ใด ก็ไดู (ฎ. 661/90) ความผิดเกิด อูาง หรือเชื่อว่าเกิด ความผิดอาญาเกิดขึ้นที่ใด ตูองพิจารณาความผิดในแต่ละขูอหา เช่น - *** ความผิดขูอหายักยอกเกิดขึ้นในทูองที่ท่ีจำาเลยเบียดบังเอาทรัพย์
ของผู้อ่ ืนที่ตนครอบครองเอาเป็ นของตน (ฎ. 1573/35) เรื่องนี้ จำาเลยรับฝาก ทรัพย์จากผู้เสียหายแลูวปฏิเสธว่าไม่ไดูรบ ั ฝากไวู ถือว่าเหตุความผิดฐานยักยอก เกิดในทูองทีท่ีจำาเลยปฏิเสธว่าไม่ไดูรับฝาก พนั กงานสอบสวนในทูองที่ดังกล่าว มีอำานาจสอบสวนไดู - จำาเลยวางยาพิษผู้ตายในทูองที่หนึ่ ง แต่ผู้ตายไปถึงแก่ความตายอีกทูองที่ หนึ่ ง ถือว่าในทูองที่จำาเลยวางยาพิษ เป็ นทูองที่ความผิดเกิด (ฎ. 3337/43)
- ความผิดเกิดในเรือไทย ถือว่าเป็ นการกระทำาความผิดในราชอาณาจักร
ตาม ป.อ.มาตรา 4
พนั กงานสอบสวนกองปราบมีอำานาจสอบสวน (ฎ.
2670/35)
-*** ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยหนั งสือพิมพ์ลงขูอความหมิ่น
ประมาท ถือว่าทูองที่ท่ีจำาหน่ ายหนั งสือพิมพ์ทุกแห่งเป็ นที่เกิดเหตุ (ฎ. 2145/18, 2360/23)
พนั กงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ (มาตรา 18 วรรคสาม) พนั กงานสอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบ หมายถึง พนั กงานสอบสวนที่มีหนู าที่ สรุปสำานวนการสอบสวนและทำาความเห็น พรูอมเสนอสำานวนการสอบสวนต่อ พนั กงานอัยการ ตามบทบัญญัติมาตรา 140,141, 142 ซึ่งไดูแก่ความเห็นงด การสอบสวน เห็นควรใหูงดการสอบสวน ความเห็นควรสัง่ ฟู อง หรือสัง่ ไม่ฟูอง กรณี ตามมาตรา 18 นี้ แมูจะเป็ นความผิดที่เกิดขึ้นในทูองที่เดียว แต่ พนั กงานสอบสวนที่มีอำานาจสอบสวนอาจมีหลายทูองที่ กล่าวคือ พนั กงาน สอบสวนทัง้ ทูองที่ความผิดเกิด อูางหรือเชื่อว่าเกิด หรือทูองที่ท่ีผู้ตูองหามีท่อ ี ย่้ หรือถ้กจับ ต่างมีอำานาจสอบสวน แต่สำาหรับพนั กงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมี เพียงทูองที่ท่ีเดียว ซึ่งไดูแก่ในทูองที่ท่ีความผิดเกิด เวูนแต่มีเหตุจำาเป็ นหรือเพื่อ
ความสะดวก จึงใหูพนั กงานสอบสวนแห่งทูองที่ท่ีผู้ตูองหามีท่ีอย่้ หรือถ้กจับ เป็ นผู้รับผิดชอบดำาเนิ นการสอบสวน (ฎ. 9239/47)
อำานาจ
19
กรณี ความผิดเกิดขึ้นหลายทูองที่ (มาตรา 19) พนั กงานสอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบไดูแก่ ก. ถูาจับผู้ตูองหาไดูแลูว คือพนั กงานสอบสวนซึ่งทูองที่ท่ีจับไดูอย่้ในเขต
ข. ถูาจับผู้ตูองหายังไม่ไดู คือพนั กงานสอบสวนซึ่งทูองที่ท่ีพบการกระ ทำาความผิดก่อน อย่ใ้ นเขตอำานาจ กรณี ไม่แน่ ว่าการกระทำาความผิดอาญา กระทำาในทูองที่ใด (มาตรา 19(1))
- แจูงความต่อเจูาพนั กงานทูองที่หนึ่ ง และไปเบิกความต่อศาลอีกทูองที่ หนึ่ งซึ่งยังไม่แน่ ว่าจะเป็ นความผิดฐานแจูงความเท็จหรือเบิกความเท็จ พนั กงาน สอบสวนทูองที่ใดทูองที่หนึ่ งดังกล่าวมีอำานาจสอบสวนไดู (ฎ. 822/90) กรณี ความผิดต่อเนื่ องหลายทูองที่ (มาตรา 19(3))
- ความผิดฐานรับของโจรเป็ นความผิดต่อเนื่ องกับความผิดฐานลักทรัพย์
หรือชิงทรัพย์ หรือปลูนทรัพย์ ฯ ตามที่ระบุไวูใน ป.อ. มาตรา 357 ดังนั ้น กรณี ท่ี ความผิดฐานลักทรัพย์ และรับของโจร เกิดต่างทูองที่กัน พนั กงานสอบสวนใน ทูองที่ความผิดฐานลักทรัพย์เกิดขึ้น ย่อมมีอำานาจสอบสวนในความผิดฐานรับ ของโจรไดูดูวย (ฎ. 1180/37, 3903/31) - ความผิดฐานออกเช็คไม่มีเงิน ตาม พ.ร.บ.เช็คฯ ถือว่าทูองที่ท่ีจำาเลย ออกเช็คเป็ นความผิดต่อเนื่ องกับทูองที่ท่ธ ี นาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงิน ดัง นั ้น พนั กงานสอบสวนทูองที่ใดทูองที่หนึ่ งดังกล่าวมีอำานาจสอบสวนตามมาตรา 19 (3) (ฎ. 1702/23 ป.) , 2070/43 - ** จำาเลยทัง้ สองร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนโดยเจูาพนั กงานตำารวจ
วางแผนล่อซื้อ และจับกุมจำาเลยที่ 2 ไดู ในทูองที่ สน.บางขุนเทียน จำาเลยที่ 2
ไดูพาตำารวจ สน.บางขุนเทียนไปจับกุมจำาเลยที่ 1 ไดูในทูองที่ สน.วัดพระยาไกร ถือว่าจำาเลยทัง้ สองกระทำาความผิดซึ่งหนู า และเป็ นความผิดต่อเนื่ องและกระทำา ต่อเนื่ องกันทัง้ ในทูองที่ สน.บางขุนเทียน และสน.วัดพระยาไกร พนั กงาน สอบสวนทัง้ สองสถานี มอ ี ำานาจสอบสวนตามมาตรา 19 (3)
ส่วนพนั กงาน
สอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบไดูแก่ พงส. สน.บางขุนเทียน ตามมาตรา 19 (ก) (ฎ. 1259/42)
20
- กรณี ความผิดต่อ พ.ร.บ.เช็ค ฯ หากเป็ นกรณี ท่ีผู้เสียหายฟู องเอง สถานที่เกิดเหตุมเี พียงสถานที่เดียวคือ สถานที่ท่ีธนาคารตามเช็คปฎิเสธการใชู เงิน (ฎ. 857/30, 1229/19 ป.) แต่ถาู อัยการฟู อง จะมีท่ีเกิดเหตุ 2 แห่งคือ สถานที่ออกเช็ค และสถานที่ท่ธ ี นาคารปฎิเสธการจ่ายเงิน ดังนั ้นถูามีการ สอบสวนในทูองที่ท่ีออกเช็ค ซึ่งถือว่าเป็ นความผิดต่อเนื่ องกับทูองที่ท่ีธนาคารปฎิ เสธการจ่ายเงิน อัยการจึงฟู องไดูตามมาตรา 22(1) (ฎ. 1702-3/23 ป.) ซึ่ง เป็ นการโยงมาตรา 19 (3) กับ มาตรา 22(1)
กรณี ความผิดหลายกรรมกระทำาในทูองที่ต่างๆ มาตรา 19(4) - ผู้เสียหายรูองทุกข์ใหูดำาเนิ นคดีกับจำาเลยในขูอหาตาม พ.ร.บ.เช็คฯ ต่อ พงส. สภ.เมืองนราธิวาส ซึ่งเป็ นทูองที่ท่ีความผิดเกิด
แต่ขณะเดียวกันจำาเลย
ก็ไดูไปแจูงความต่อ พงส. สภ.สุไหงโกลก ว่าเช็คดังกล่าวหาย พนั กงานอัยการ เห็นว่าการแจูงความดังกล่าวเป็ นความผิดฐานฉู อโกงและแจูงความเท็จ จึงสัง่ ใหู พงส.สภ.เมืองนราธิวาส สอบสวนเพิ่มเติมและแจูงขูอหาต่อจำาเลยเพิ่มเติม ดังนี้ พงส.สภ.เมืองนราธิวาส ย่อมมีอำานาจสอบสวน จำาเลยในขูอหาแจูงความเท็จไดู เพราะจำาเลยถ้กกล่าวหาว่า กระทำาความผิดหลายกรรมกระทำาลงในทูองที่ต่างๆ กัน ตาม มาตรา 19(4) และเมื่อเป็ นความผิดหลายกระทงย่อมฟู องรวมกันในฟู อง เดียวกันไดูตามมาตรา 160 ทัง้ ความผิดฐานแจูงความเท็จ เป็ นความผิดที่มีโทษ เบากว่าความผิดฐานฉู อโกงและความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คฯ “ แมูจะเป็ นการ กระทำาต่างกรรม ต่างสถานที่กน ั แต่ก็ไดูกระทำาลงโดยจำาเลย ซึ่งเป็ นผู้กระทำาความ ผิดคนเดียวกันและเป็ นความผิดเกี่ยวพันกัน” (ฎ. 3430/37) ซึ่งสามารถฟู อง คดีทก ุ เรื่องต่อศาลที่มีอำานาจชำาระในฐานความผิดซึ่งมีอัตราโทษส้งกว่า ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 24 ก็ไดู พนั กงานสอบสวนที่มีอำานาจสอบสวน และพนั กงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ - เมื่อมีการจับจำาเลยไดูแลูว พนั กงานสอบสวนทูองที่ท่ีจับจำาเลยไดู เป็ น พนั กงานสอบสวนผูร้ ับผิดชอบ (ฏ. 3585/46) หากพนั กงานสอบสวนทูองที่อ่ ืนที่ มิใช่ทูองที่ท่ีจับจำาเลยไดู ทำาหนู าที่เป็ นพนั กงานสอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบ เป็ นการไม่ ชอบ ถือไม่ไดูว่ามีการสอบสวนในความผิดนั ้นโดยชอบตามมาตรา 120 พนั กงานอัยการไม่มีอำานาจฟู อง (ฎ. 3466/47)
- ถูาจับผู้ตูองหาไดู ตูองเป็ นการจับตัวในขูอหาเดียวกันดูวย ถูาเป็ นการจับ ในขูอหาอื่น จะถือว่าพนั กงานสอบสวนในทูองที่นั้น เป็ นพนั กงานสอบสวนผู้รับ
ผิดชอบ ตามมาตรา 19 วรรคสาม (ก) ไม่ไดู เช่น จำาเลยกระทำาความผิดฐาน ลักทรัพย์ หรือรับของโจรในทูองที่หนึ่ ง แต่ไปถ้กจับตัวไดูอีกทูองที่หนึ่ งในขูอหา ซ่องโจร ดังนี้ไม่ถือว่าเป็ นการจับกุมจำาเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ หรือรับ ของโจรดูวย พนั กงานสอบสวนในทูองที่จับกุมจำาเลยไดูจึงไม่ใช่พนั กงาน สอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบ ตามมาตรา 19 วรรคสาม (ก) นี้ (ฎ. 1579/46)
21
- ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ ง เป็ นการแยกว่าแมูพนั กงานสอบสวนในทูอง ที่ท่เี กี่ยวขูองมีอำานาจสอบสวน แต่พนั กงานสอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบในการ สอบสวน(รวบรวมพยานหลักฐานทัง้ หมดทุกทูองที่และสรุปสำานวน) ตูองเป็ น อำานาจของพนั กงานสอบสวนทูองที่จับผู้ตูองหาไดู ถูาจับตัวยังไม่ไดูเป็ นอำานาจ ของพนั กงานสอบสวนทูองทีท่ีพบการกรทำาความผิดก่อนเป็ นพนั กงานสอบสวน ผู้รับผิดชอบ หากพนั กงานสอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบไม่เป็ นไปตามมาตรา 19 วรรค สามบัญญัติไวู ทำาใหูเกิดผลเสียแก่คดีไดู โดยถือไม่ไดูว่ามีการสอบสวนคดีนั้นโดย ชอบ ตาม มาตรา 120 มีผลทำาใหูพนั กงานอัยการไม่มีอำานาจฟู อง ศาลตูอง พิพากษายกฟู อง (ฎ. 1974/39)
- *** ในกรณี ท่ีจับตัวผู้ตูองหาไดู พนั กงานสอบสวนซึ่งทูองที่ท่ีจับไดูอย่้
ในเขตอำานาจเป็ นพนั กงานสอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบตามมาตรา 19 วรรคสาม (ก) ตามอนุมาตรานี้ น่ าจะหมายถึงกรณี ก่อนจับกุมผู้ตูองหายังไม่มีพนั กงานสอบสวน ผู้รับผิดชอบ กล่าวคือยังไม่ไดูเริ่มทำาการสอบสวนนั่ นเอง เพราะถูาเป็ นกรณี ท่ีมี ความผิดเกิดขึ้นแลูวยังจับตัวผู้ตูองหาไม่ไดูและมีการสอบสวนโดยพนั กงาน สอบสวนทูองที่ท่ีพบการกระทำาความผิดก่อนอย่ใ้ นเขตอำานาจ พนั กงานสอบสวน ทูองที่พบการกระทำาความผิดก่อนย่อมเป็ นพนั กงานสอบสวนผูร้ ับผิดชอบ ตาม มาตรา 19 วรรคสาม (ข) เมื่อมีพนั กงานสอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบแลูว แมูต่อมา จะจับผู้ตูองหาไดูในทูองที่อ่ ืนก็ตาม พนั กงานสอบสวนในทูองที่ท่ีพบการกระ ทำาความผิดก่อน ก็ยังคงเป็ นพนั กงานสอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบอย่้เช่นเดิมไม่ เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่กรณี ตามมาตรา 19 วรรคสาม (ก) (ฎ. 1126/44, 4512/30)
กรณี ความผิดนอกราชอาณาจักร (มาตรา 20) หลักเกณฑ์ ถูาความผิดที่มีโทษตามกฎหมายไทย ไดูกระทำาลงนอกราช อาณาจักร ใหูอัยการส้งสุดหรือผู้รักษาการแทน เป็ นพนั กงานสอบสวนผูร้ ับผิด ชอบ หรือจะมอบหมายใหูพนั กงานอัยการ หรือพนั กงานสอบสวนคนใด เป็ นผู้รบ ั ผิดชอบทำาการสอบสวนแทนก็ไดู (วรรคแรก) ในกรณี ท่ีอัยการส้งสุดหรือผู้รก ั ษาการแทนมอบหมายใหู พนั กงาน สอบสวนคนใดเป็ นผู้รบ ั ผิดชอบทำาการสอบสวน อัยการส้งสุดหรือผู้รก ั ษาการ
22
แทน จะมอบหมายใหูพนั กงานอัยการคนใดทำาการสอบสวนร่วมกับพนั กงาน สอบสวนนั ้นก็ไดู (วรรคสอง) ใหูพนั กงานอัยการที่ไดูรับมอบหมายใหูเป็ นพนั กงานสอบสวนผูร้ ับผิดชอบ หรือใหูทำาการสอบสนร่วมกับพนั กงานสอบสวน มีอำานาจและหนู าที่ในการ สอบสวนเช่นเดียวกับพนั กงานสอบสวน และอำานาจ หนู าที่ประการอื่นที่กฎหมาย บัญญัติไวูใหูเป็ นอำานาจและหนู าที่ของพนั กงานอัยการ (วรรคสาม) ในกรณี ท่ีพนั กงานอัยการทำาการสอบสวนร่วมกับพนั กงานสอบสวน ใหู พนั กงานสอบสวนปฏิบัติตามคำาสัง่ และคำาแนะนำ าของพนั กงานอัยการในเรื่องที่ เกี่ยวกับการรวบรวมพยานหลักฐาน (วรรคสี่) ในกรณี จำาเป็ น พนั กงานสอบสวนต่อไปนี้มอ ี ำานาจสอบสวนในระหว่างรอ คำาสัง่ จากอัยการส้งสุดหรือผู้รักษาการแทน (1) พนั กงานสอบสวนซึ่งผู้ตูองหา ถ้กจับในเขตอำานาจ (2) พนั กงานสอบสวนซึ่งรัฐบาลประเทศอื่น หรือบุคคลที่ไดู
รับความเสียหายไดูรูองฟู องใหูทำาโทษผู้ตูองหา (วรรคหูา) เมื่อพนั กงานอัยการ หรือพนั กงานสอบสวนผู้รบ ั ผิดชอบในการสอบสวน แลูวแต่กรณี เห็นว่าการสอบสวนเสร็จแลูว ใหูทำาความเห็นตามมาตรา 140, 141 หรือ 142 ส่งพรูอมสำานวนไปยังอัยการส้งสุดหรือผู้รักษาการแทน (วรรคทูาย)
- ความผิดที่เกิดขึ้นในเรือไทยหรืออากาศยานไทย ไม่ว่าจะอย่้ท่ใี ด ถือว่า
เป็ นการกระทำาความผิดในราชอาณาจักร ตาม ป.อ.มาตรา 4 วรรคสอง (ฏ. 2670/35) โปรดด้หมายเหตุ
- จำาเลยฝากทรัพย์ของผู้เสียหายขณะที่อย่้นอกราชอาณาจักร แต่เมื่อถึง ประเทศไทยไดูปฏิเสธว่าไม่ไดูรับฝากไวู ถือว่าเหตุความผิดฐานยักยอกเกิดในราช อาณาจักร ไม่ใช่ความผิดที่กระทำาลงนอกราชอาณาจักร จึงไม่เขูากรณี ตามมาตรา 20 (ฎ. 1573/35) หมายเหตุ ความผิดที่มีโทษตามกฎหมายไทย ที่กระทำาลงนอกราช อาณาจักร ตามความหมายของมาตรา 20 นี้ มีความเป็ น 2 ฝ่ าย คือ
1. ฝ่ ายแรกเห็นว่าเป็ นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 4 วรรคสอง , มาตรา 5
–9
เช่น อาจารย์ ธานิ ศฯ อาจารย์จิตรฤดีฯ 2. ฝ่ ายที่สอง เห็นว่ากรณี ท่ี ป.อ.ถือว่าเป็ นการกกระทำาความผิดในราช
อาณาจักร เช่น มาตรา 4 วรรคสองไม่ใช่ความผิดที่มีโทษตามกฎหมายไทย ที่ กระทำาลงนอกราชอาณาจักร เพราะกรณี ดังกล่าว ป.อาญา ใหูถือว่ากระทำาผิดใน ราชอาณาจักร จึงไม่ตูองดูวย มาตรา 20 แห่ง ป.วิ.อาญา
โดยฝ่ ายนี้ก็ไดูแก่
ดร.เกียรติขจรฯ รวมถึงในหนั งสือ วิ.อาญาของจ้ริสฯ
23
และมีคำาพิพากษาฎีกา
สนั บสนุนคือ ฏ. 2670/35 ที่วินิจฉั ยว่า เหตุเกิดในเรือไทย หรืออากาศยานไทย ไม่ว่าจะอย่้ท่ีใด ถือว่าเป็ นการกระทำาในราชอาณาจักร ตาม ป.อ.มาตรา 4 วรรค สอง เมื่อเหตุเกิดในเรือไทยที่อย่้นอกราชอาณาจักร เป็ นการกระทำาความผิดใน ราชอาณาจักร พนั กงานสอบสวนกองปราบกรมตำารวจ มีอำานาจสอบสวนคดีอาญา ไดูทัว่ ราชอาณาจักรจึงมีอำานาจสอบสวน เขตอำานาจศาล( มาตรา 22-27) ศาลที่มอ ี ำานาจรับชำาระคดี หลัก ก็คือศาลที่ความผิไดูเกิดขึ้น อูาง หรือเชื่อว่า เกิดขึ้นในเขตอำานาจ แต่มีขูอยกเวูนคือ อาจฟู องจำาเลยต่อศาลในเขตที่จำาเลย มีท่ี อย่้ หรือ ถ้กจับ หรือ ไดูมีการสอบสวนความผิดในทูองที่ใด ศาลซึ่งทูองที่นั้นๆ อย่้ ในเขตอำานาจก็ไดู ตาม มาตรา 22(1) - มาตรา 22(1) มิไดูเป็ นบทบัญญัติท่ีใหูสิทธิของโจทก์ท่ีจะเลือกยื่นฟู อง จำาเลยต่อศาลชัน ้ ตูนที่จำาเลยมีท่ีอย่ใ้ นเขตอำานาจหรือถ้กจับไดู แต่เป็ นบทบัญญัติท่ี ใหูเป็ นดุลพินิจของศาลชัน ้ ตูนที่จำาเลยมีท่ีอย่้หรือถ้กจับ จะรับชำาระคดีหรือไม่ก็ไดู โดยศาลจะพิจารณาว่าการฟู องคดีท่ีศาลชัน ้ ตูนที่จำาเลยมีท่อ ี ย่้หรือถ้กจับ “ จะ สะดวกยิ่งกว่าการฟู องคดีต่อศาลที่ความผิดเกิด เชื่อ หรืออูางว่าเกิด หรือไม่” ดัง นั ้นการที่โจทก์อาู งว่า การยูายจำาเลยทัง้ สองจากเรือนจำาบางขวาง นนทบุรี ไป ดำาเนิ นคดีท่ีศาลจังหวัดภ้เก็ต จะไม่ปลอดภัย ในการควบคุม และอาจเสียหาย ระหว่างการขนยูาย เป็ นเพียงปั ญหาในการปฎิบัติของกรมราชทัณฑ์ท่ีอาจแกูไขไดู ไม่ใช่กรณี ท่ี การพิจารณาคดีท่ีศาลจังหวัดนนทบุรี จะสะดวกยิ่งกว่าการฟู องที่ ศาลจังหวัดภ้เก็ต (ฎ. 516/48, 6511/46) - คำาว่าที่อย่้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 22(1) มีความหมายเช่นเดียวกับภ้มิลำาเนา
(ฎ. 2073/36) และต่อมาไดูมีบทบัญญัติมาตรา 47 แห่ง ป.พ.พ. บัญญัติใหู ภ้มิลำาเนาของผู้ท่ีถ้กจำาคุกตามคำาพิพากษาถึงที่สุดของศาล ไดูแก่เรือนจำาหรือ ทัณฑสถานที่ถ้กจำาคุกอย่้จนกว่าจะไดูรับการปล่อยตัว ซึ่งโจทก์อาจฟู องจำาเลยต่อ ศาลที่อย่ใ้ นเขตที่ตัง้ ของเรือนจำา หรือทัณฑสถาน ก็ไดู แต่ก็เป็ นดุลพินิจของศาลที่ จะรับชำาระคดีหรือไม่ก็ไดู (ฎ. 2646/46) - ผู้ท่ีถ้กจำาคุกตามคำาพิพากษาของศาลนั ้น ตูองเป็ นคำาพิพากษาถึงที่สุด
ดูวย จึงตะถือว่าเรือนจำา หรือทัณฑสถานเป็ นภ้มิลำาเนา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 47 ถูาคำาพิพากษายังไม่ถึงที่สุดก็ไม่ถือว่าเป็ นภ้มิลำาเนา (ฎ. 2209/40) การจำาคุกจริงๆในเขตศาลนั ้นดูวย (ฎ. 8836/38)
และตูองมี
-*** ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยหนั งสือพิมพ์ลงขูอความหมิ่น
24
ประมาท ถือว่าทูองที่ท่ีจำาหน่ ายหนั งสือพิมพ์ทุกแห่งเป็ นที่เกิดเหตุ (ฎ. 2145/18, 2360/23)
- กรณี ความผิดต่อ พ.ร.บ.เช็ค ฯ หากเป็ นกรณี ท่ีผู้เสียหายฟู องเอง สถาน
ที่เกิดเหตุมีเพียงสถานที่เดียวคือ สถานที่ท่ีธนาคารตามเช็คปฏิเสธการใชูเงิน (ฎ.
857/30, 1229/19 ป.) แต่ถาู อัยการฟู อง จะมีท่ีเกิดเหตุ 2 แห่งคือสถานที่ ออกเช็ค และสถานที่ท่ธ ี นาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนั ้นถูามีการสอบสวนใน ทูองที่ท่อ ี อกเช็ค ซึ่งถือว่าเป็ นความผิดต่อเนื่ องกับทูองที่ท่ีธนาคารปฏิเสธการจ่าย เงิน อัยการจึงฟู องไดูตามมาตรา 22(1) (ฎ. 1702-3/23 ป.) ซึ่งเป็ นการโยง มาตรา 19 (3) กับ มาตรา 22(1)
ผู้มีอำานาจฟู องคดีอาญา (มาตรา 28) ไดูแก่ 1) พนั กงานอัยการ 2) ผู้เสียหาย
- กรณี คดีอาญาที่ผู้เสียหายหลายคน แมูผู้เสียหายคนหนึ่ งไดูฟูองผู้กระทำา ความผิดไปแลูว ผู้เสียหายคนอื่นก็ยังมีสิทธิฟูองผู้กรทำาความผิดไดูอีก ไม่เป็ น ฟู องซำา้ หรือฟู องซูอน (ฎ. 769/35, 3619/43) ผู้เสียหายฟู องคดีแลูวตายลง (มาตรา 29)
หลักเกณฑ์ เมื่อผู้เสียหาย(ที่แทูจริง) ยื่นฟู องแลูวตายลง ผู้บุพการี ผู้สืบ สันดาน สามีหรือภริยา จะดำาเนิ นคดีต่างผู้ตายต่อไปก็ไดู ถูาผู้เสียหายที่ตายนั ้นเป็ นผู้เยาว์ ผู้วิกลจริต หรือผู้ไรูความสามารถ ซึ่งผู้ แทนโดยชอบธรรมผู้อนุบาล หรือผู้แทนเฉพาะคดีไดูย่ ืนฟู องแทนไวูแลูว ผู้ฟูอง แทนนั ้นจะว่าคดีต่อไปก็ - ตามมาตรา 29 เป็ นกรณี ท่ีผู้เสียหายที่แทูจริงเป็ นโจทก์ย่ น ื ฟู องคดีเอง และน่ าจะรวมถึงกรณี ท่ีผู้เสียหายไดูเขูาเป็ นโจทก์ร่วมกับพนั กงานอัยการแลูวตาย ลงดูวย - ** การเขูาดำาเนิ นคดีต่างผู้ตายนี้ ผู้เสียหายตูองไดูย่ ืนฟู องไวูแลูวก่อน ตายลงเท่านั ้น ไม่รวมถึงการแจูงความรูองทุกข์โดยยังไม่ฟูองคดีดูวย ดังนั ้นการที่ ผู้เสียหายเพียงแต่แจูงความรูองทุกข์ไวูท่านั ้น บุคคลตามมาตรา 29 ไม่มีอำานาจ ดำาเนิ นคดีต่อไปไดู (ฎ. 5162/47)
- ผู้เสียหายที่ฟูองคดีแลูวตายตามมาตรา 29 นี้ หมายถึงตัวผู้เสียหายที่แทู จริงเท่านั ้น ไม่รวมถึงผู้มีอำานาจจัดการแทนดูวย ถูาผูจ้ ัดการแทนถึงแก่ความตาย
บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี หรือภริยาของผู้จัดการแทน จะดำาเนิ นคดีต่างผู้ตาย ตามมาตรา 29 ไม่ไดู (ฎ. 1187/43, 2331/21)
25
- ** ตามมาตรา 29 นี้ ผู้เสียหายจะตูองไดูฟูองคดีไวูแลูวตายลง ถูาผู้เสีย หายตายเสียก่อนฟู องคดี อำานาจฟู องคดีไม่เป็ นมรดกตกทอด ไม่เขูากรณี มาตรา 29 นี้ (ฎ. 3395/25, 2219/21) - ผู้บุพการี และผู้สืบสันดาน ที่จะมีอำานาจดำาเนิ นคดีต่างผู้ตาย ตามมาตรา
29 หมายถึงผู้บุพการี หรือผู้สบ ื สันดานตามความเป็ นจริง ( เช่นเดียวกับบุพการี และผู้สืบสันดาน ตามมาตรา 5(2) ) ดังนี้บุตรที่ไม่ชอบดูวยกฎหมายของผู้เสีย หายก็มีสิทธิดำาเนิ นคดีต่อไปไดู และถูาบุตรยังเป็ นผู้เยาว์อย่้ มารดาในฐานะผู้ แทนโดยชอบธรรมก็ดำาเนิ นคดีแทนผู้เยาว์ไดู ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 56 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 โดยมารดาไม่ตูองขออนุญาตเป็ นผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เยาว์ ต่อศาลก่อน(ฎ. 5119/30)
กรณี ถาู เป็ นสามี ภริยา ของผู้เสียหาย ตามมาตรา
29 วรรคแรกนี้ น่ าจะตูองเป็ นสามีภริยากันโดยชอบดูวยกฎหมายดูวย (เทียบ ฎ. 1056/03) ในมาตรา 5(2)) ดังนั ้น ตาม ฎ. 5119/30 นี้ ภริยาโดยไม่ชอบ
ดูวยกฎหมายของของผู้เสียหาย (มารดาของผู้เยาว์) จึงไม่อาจเขูาดำาเนิ นคดีตา่ งผู้ ตายในฐานะภริยาของผู้ตายไดู แต่ท่ีเขูามาในคดีไดูก็เนื่ องจากเป็ นมารดาผู้แทน โดยชอบธรรมของผู้เยาว์ ซึ่งเป็ นบุตรที่ไม่ชอบดูวยกฎหมายของผู้เสียหาย ทัง้ นี้ อาศัยอำานาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 56 ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15
- ** ผู้ท่ีมอ ี ำานาจดำาเนิ นคดีต่างผู้ตายตามมาตรา 29 มีเฉพาะผู้บุพการี ผู้ สืบสันดาน สามี และภริยา เท่านั ้น ดังนี้ พี่นูองร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตาย และเป็ นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ก็ไม่มีอำานาจเขูาดำาเนิ นคดีตา่ งผู้ตาย (ฎ. 2242/33)
- มาตรา 29 วรรคแรก เป็ นเรื่องผู้เสียหายที่แทูจริงยื่นฟู องแลูวตายลง
ส่วนมาตรา 29 วรรคสอง เป็ นกรณี ผู้แทนโดยชอบธรรมฯ หรือผู้แทนเฉพาะคดี เป็ นผู้ย่ ืนฟู องแทนผู้เสียหายไวูแลูวผู้เสียหายนั ้นตายลง ผู้ฟูองคดีแทนจึงว่าคดี ต่อไปก็ไดู เฉพาะกรณี ผู้แทนเฉพาะคดีจะดำาเนิ นคดีต่อไปไดูตามมาตรา 29
วรรคสองนี้ ตูองเป็ นกรณี ท่ีศาลไดูตัง้ ผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เสียหายตามมาตรา 6 ไวูแลูวก่อนที่ผู้เสียหายจะตายลง ถูาผูเ้ สียหายตายระหว่างการรูองขอเป็ นผู้แทน เฉพาะคดี ผู้นั้นจะดำาเนิ นคดีต่อไปไม่ไดู (ฎ. 3432/36, 1625/32)
- บทบัญญัติมาตรา 29 นำ าไปใชูในกรณี รูองขอใหูปล่อยเนื่ องจากการคุม
26
ขังผิดกฎหมายตามมาตรา 90 ดูวย (ฎ. 392/22) และนำ าไปใชูกับกระบวน พิจารณาในชัน ้ รูองขอคืนของกลางไดูดูวย (ฎ. 1595/28)
- บิดาฟู องมารดาเป็ นจำาเลย ผู้สืบสันดานของจำาเลยจะขอรับมรดกความไม่
ไดู เพราะเป็ นคดีอุทลุม (ฎ. 1551/94 ป.)
- การขอเขูาดำาเนิ นคดีต่างผู้ตายต่อไปตามมาตรา 29 นี้ มิไดูกำาหนดเวลา
ไวู จะนำ าระยะเวลาการรับมรดกความในคดีแพ่งซึ่งมีกำาหนด 1 ปี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 มาใชูบังคับไม่ไดู (คร.1595/28)
- ผู้ท่ีไดูรบ ั มรดกความอาจไม่ดำาเนิ นคดีต่อไป แต่ขอใหูศาลจำาหน่ ายคดีก็ไดู
(ฎ. 3619/43)
- กรณี ท่ีผู้เสียหายยื่นฟู องแลูวตายลงนั ้น กฎหมายไม่ไดูบังคับใหูบค ุ คล
ตามที่ระบุไวูในมาตรา 29 ตูองเขูามาดำาเนิ นคดีต่างผู้ตาย ถูาไม่มีผู้ใดเขูามาเลย กรณี ท่ีผู้เสียหายเป็ นโจทก์ร่วม ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะพนั กงานอัยการดำาเนิ นคดี ต่อไปไดู แต่ในกรณี ท่ีผู้เสียหายเป็ นโจทก์ฟูองคดีเอง ถูาการตายของโจทก์ไม่เป็ น เหตุขัดขูองในการดำาเนิ นคดีต่อไป ศาลฎีกาก็มีอำานาจพิจารณาคดีต่อไปไดู เช่น กรณี ท่ีโจทก์ถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ซึ่ง ไม่ตูองมีการพิจารณาสืบพยานกันอีก ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาก็พิจารณา พิพากษาคดีต่อไปไดู (ฎ. 814/20 ป., 1244/04) - ในคดีความผิดต่อส่วนตัว โจทก์ตายหลังจากศาลฎีกาส่งคำาพิพากษาใหู
ศาลชัน ้ ตูนอ่าน แมูไม่มีผู้รับมรดกความ คดีก็ไม่ระงับไป (ฎ. 217/06 ป.) เพราะ ถือว่า ดำาเนิ นคดีมาครบถูวนสมบ้รณ์แลูว โจทก์ร่วม( มาตรา ๓๐,๓๑) กรณี ผู้เสียหายเขูาร่วมกับพนั กงานอัยการ(มาตรา ๓๐) ผู้เสียหาย หมายความถึง ผู้เสียหายตามมาตรา ๒(๔) และผู้มีอำานาจจัดการ แทนตามมาตรา ๔,๕,๖, - ตูองขอเขูาร่วมก่อนศาลชัน ้ ตูนพิพากษา แต่ถาู อัยการเขูาร่วมเป็ นโจทก์ ตูองขอก่อนคดีเสร็จเด็ดขาด - ผู้เสียหายเท่านั ้นที่มอ ี ำานาจขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมในคดีอาญาที่พนั กงาน อัยการยื่นฟู องต่อศาล(ฎ.3252/45)
- ความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปื นฯ, ความผิดตาม ป.อ.มาตรา ๓๗๑,ความ
27
ผิดตามพ.ร.บ.จราจรทางบก, รัฐเท่านั ้นเสียหาย เอกชนจะเขูาเป็ นโจทก์ร่วมไม่ไดู (ฎ.๑๑๔๑/๓๑,๑๙๑/๓๑)
- ** ความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรและความผิดต่อ พ.ร.บ.ใหูบำาเหน็จฯ เป็ นความผิดต่อรัฐ รัฐเท่านั ้นเป็ นผู้เสียหาย แมูผู้จับมีสิทธิไดูรับรางวัลนำ าจับก็ ไม่ใช่ผู้เสียหาย เนื่ องจากการกระทำาความผิดดังกล่าว ขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมไม่ไดู(ฎ. ๓๗๙๗/๔๐) ในกรณี เช่นนี้หากศาลมีคำาสัง่ อนุญาตใหูผู้เสียหายเขูาร่วมเป็ น โจทก์กบ ั พนั กงานอัยการโดยไม่ไดูระบุชัดว่าเขูาร่วมในความผิดฐานใด ก็หมายถึง อนุญาตใหูเขูาร่วมเฉพาะในความผิดที่เขูาเป็ นโจทก์ร่วมไดูเท่านั ้น(ฎ.๒๑๑๐/๔๘) เรื่องนี้บิดาผู้ตายขอเขูาร่วมไดูแต่เฉพาะฐานฆ่าผู้อ่ น ื ส่วนฐานทำาลายพยานหลัก ฐานไม่ใช่ความผิดต่อสาธารณชน แต่เป็ นความผิดเกี่ยวกับรัฐโดยตรง จึงเขูาร่วม ไม่ไดู เมื่อเขูาร่วมไม่ไดูก็ใชูสิทธิอุทธรณ์ไม่ไดู - ผู้ท่ีมีส่วนร่วมในการกระทำาความผิด เพราะเป็ นเรื่องวิวาททำารูายกัน จึง ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิ ตินัย ขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมไม่ไดู แมูศาลชัน ้ ตูนสัง่ อนุญาตใหู เขูาเป็ นโจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมอุทธรณ์ต่อมาก็ตาม ก็ถือว่าเป็ นอุทธรณ์ท่ีไม่ชอบ (ฎ.๒๗๙๔/๑๖) ผลก็คอ ื เท่ากับไม่มีการเขูาร่วมเป็ นโจทก์ การอุทธรณ์กเ็ ท่ากับ ไม่ไดูอุทธรณ์ -ถูาศาลอนุญาตใหูเขูาเป็ นโจทก์ร่วมแลูว แมูภายหลังศาลจะยกคำารูองขอ เขูาเป็ นโจทก์ร่วมก็ตาม แต่ ก็ไม่ทำาใหูการดำาเนิ นคดีของโจทก์ร่วมที่ทำาไปแลูวเสีย ไป(ฎ.๑๘๖/๑๔)พยานหลักฐานที่ไดูอูางอิงไวูแลูวศาลย่อมใชูเป็ นพยานหลักฐาน สำาหรับคดีนั้นไดู -** โจทก์ร่วมเคยขอเขูาร่วมเป็ นโจทก์กับอัยการ และไดูขอถอนตัวจาก การเป็ นโจทก์ร่วมไปแลูว มีผลเท่ากับขอถอนฟู องในส่วนของโจทก์ร่วมเสร็จเด็ด ขาดแลูว ดังนี้ต่อมาโจทก์ร่วมจะขอเขูาเป็ นโจทก์อีกไม่ไดู ตูองหูามตามมาตรา ๓๖ (ฎ๗๒๑๔/๔๔) ทัง้ นี้เพราะการเขูาเป็ นโจทก์ร่วมถือว่าเป็ นการฟู อง - กำาหนดเวลาขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วม ตูองก่อนศาลชัน ้ ตูนพิพากษา ดังนั ้น หากศาลชัน ้ ตูนพิพากษาแลูว ผู้เสียหายจะขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมเพื่อใชูสิทธิอุทธรณ์ ฎีกา หาไดูไม่(ฎ๓๙๒/๑๒) - ศาลตูองสัง่ คำารูองขอของโจทก์ก่อนว่าอนุญาต จึงจะเขูาเป็ นโจทก์ร่วมไดู การสัง่ ว่า “สำาเนาใหูทุกฝ่ ายไวูพ้ดกันวันนั ด” พอถึงวันนั ดจำาเลยรับสารภาพจึง ตัดสินคดีไปทีเดียว กรณี นี้ถอ ื ว่ายังไม่ไดูอนุญาตใหูเขูาเป็ นโจทก์ร่วม (ฎ๑๑๓๗/๙๔) แต่ถาู ศาลยังไม่สัง่ คำารูอง แต่มก ี ารดำาเนิ นกระบวนพิจารณาต่อมา เช่นสืบพยานและอื่นๆต่อมาในฐานะโจทก์ร่วม เป็ นพฤติการณ์ท่ีศาลอนุญาตใหู เขูาเป็ นโจทก์ร่วมแลูว(ฎ๓๒๓/๑๐ ป.)
-เมื่อศาลอนุญาตแลูวตูองถือคำาฟู องของอัยการเป็ นหลัก ดังนี้ถูาศาล พิพากษายกฟู องเพราะโจทก์ไม่มีอำานาจฟู อง การขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมตกไปดูวย (ฎ.๑๕๘๓/๑๓,๑๙๗๔/๓๙)
28
- โจทก์ร่วมจะใชูสิทธินอกเหนื อไปจากสิทธิของอัยการไม่ไดู จึงไม่มีอำานาจ แกูและเพิ่มเติมฟู องของอัยการ(ฎ.๓๘๓๓/๒๕) อย่างไรก็ตามแมูโจทก์ร่วมจะขอ แกูไขเพิ่มเติมฟู องไม่ไดู แต่มีสิทธิระบุพยานหรือขอสืบพยานเพิ่มเติมไดู(ฎ. ๕๖๘/๑๓) - ในคดีท่ีพนั กงานอัยการไม่มีอำานาจขอใหูคน ื หรือใชูราคาแทนผู้เสียหาย คำาขอของโจทก์ร่วมที่ขอใหูถือเอาตามคำาฟู องของอัยการย่อมตกไปดูวย(ฎ. ๓๖๖๗/๔๒) - ในคดีอาญาที่อย่้ในอำานาจของศาลแขวงและมีคำาขอในส่วนแพ่งดูวย แมู คำาขอส่วนแพ่งนั ้นจะมีทุนทรัพย์เกินอำานาจของศาลแขวง พนั กงานอัยการก็มี อำานาจต่อศาลแขวงไดู แต่โจทก์ร่วมไม่อาจถือเอาคำาขอส่วนแพ่งนั ้นเป็ นคำาขอ ของตนไดู โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ใหูจำาเลยรับผิดในส่วนแพ่งไดู(ฎ. ๔๑๑๙/๒๘) - พนั กงานอัยการและโจทก์ร่วมต่างมีฐานะเป็ นโจทก์ดูวยกัน ดังนี้หาก พนั กงานอัยการไม่มาในวันนั ดพิจารณาแต่โจทก์ร่วมมาจะถือว่าโจทก์ขาดนั ดและ ยกฟู องตามมาตรา ๑๖๖ ไม่ไดู(ฎ.๑๕๑๙/๙๗) - สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ ฎีกา เป็ นสิทธิเฉพาะตัวของค่ค ้ วาม โจทก์ร่วมจะ ขอถือเอาฎีกาของพนั กงานอัยการโจทก์เป็ นฎีกาของโจทก์ร่วม และขอแกูไขเพิ่ม เติมฎีกาของโจทก์ไม่ไดู (ฎ.๓๒๙๒/๓๒) - ผู้เสียหายขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมในคดีท่ีผู้เสียหายอื่นยื่นฟู องไม่ไดู เพราะ มาตรา ๓๐,๓๑ บัญญัติใหูผู้เสียหายและพนั กงานอัยการเขูาร่วมเป็ นโจทก์กับคดี ที่อีกฝ่ ายหนึ่ งไดูฟูองเท่านั ้น แสดงว่ากฎหมายประสงค์ใหูมีการเขูาร่วมเป็ นโจทก์ ร่วมไวูเฉพาะสองกรณี ดังกล่าวเท่านั ้น (ฎ.๓๓๒๐/๒๘) และอาศัยมาตรา ๕๗ แห่ง ป.วิ.พ. มาใชูบังคับก็ไม่ไดู(ฎ๓๙๓๕/๒๙)
- เมื่อผู้เสียหายไดูรับอนุญาตใหูเขูาเป็ นโจทก์ร่วมแลูว ผู้เสียหายจึงมีฐานะ
เป็ นโจทก์จะนำ าเรื่องเดียวกันนั ้นฟู องจำาเลยอีกไม่ไดู เป็ นฟู องซูอน ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๓๗
- การขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมก็คือการฟู องคดีนั่นเอง แต่ไม่ไดูทำาเป็ น คำาฟู อง เป็ นเพียงคำารูองเท่านั ้น ดังนี้ทนายความลงชื่อแทนโจทก์ไดูไม่ตูองหูาม ตามมาตรา ๑๕๘(๗)(ฎ.๖๒๙/๐๑)
29
- ผู้เยาว์ฟูองคดีเองไม่ไดู ตูองมีผู้จัดการแทนตามมาตรา ๕ และจะขอเขูา ร่วมเป็ นโจทก์กับอัยการไม่ไดู แมูจะไดูรับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม (ฎ.๕๖๓/๑๗) -** เมื่อศาลชัน ้ ตูนตัดสินคดีแลูว แมูพนั กงานอัยการไม่อท ุ ธรณ์โจทก์ร่วม ก็มีสิทธิอุทธรณ์แต่ผู้เดียว(ฎ.๒๓๘๑/๔๒) แต่ถาู พนั กงานอัยการอุทธรณ์คำา พิพากษาศาลชัน ้ ตูน โดยโจทก์ร่วมไม่ไดูอุทธรณ์ดูวยเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษา แลูวโจทก์ร่วมไม่มีสิทธิฎีกา ถือว่าคดีระหว่างโจทก์ร่วมกับจำาเลยมิไดูว่ากันมาแลูว ในศาลอุทธรณ์ ตูองหูามตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา ๒๔๙ ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา ๑๕(ฎ.๗๑๐๐/๔๐) - พนั กงานอัยการและโจทก์ร่วมต่างมีฐานะเป็ นโจทก์ดูวยกัน ดังนั ้นแมู โจทก์ร่วมเป็ นผู้อุทธรณ์ฝ่ายเดียว และศาลอุทธรณ์ใหูศาลชัน ้ ตูนสืบพยานใหม่ พนั กงานอัยการก็มีสท ิ ธิสืบพยานต่อไป (ฎ.๑๐๐๐/๑๒ ป.) ถอนฟู อง(มาตรา ๓๕) -การถอนฟู องคดีอาญา โจทก์มีสท ิ ธิถอนฟู องไดูจนถึงเวลาใดนั ้นตูองด้ ประเภทคดีอาญาเป็ นสำาคัญ กล่าวคือถูาเป็ นความผิดที่ไม่ใช่คดีความผิดต่อส่วน ตัวโจทก์ขอถอนฟู องไดูก่อนมีคำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูน แต่ถูาเป็ นคดีความผิด ต่อส่วนตัวจะถอนฟู องหรือยอมความไดูก่อนคดีถึงที่สุด - * ดังนั ้นในคดีท่ีไม่ใช่คดีความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะขอถอนฟู องหลัง จากที่ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาแลูวไม่ไดู แต่ถูาคดีดังกล่าวมีการอุทธรณ์หรือฎีกา ถือว่าคำารูองขอถอนคำาฟู อง เป็ นการขอถอนฟู องอุทธรณ์หรือฎีกานั่ นเอง(กรณี ท่ี โจทก์เป็ นผู้อท ุ ธรณ์หรือฎีกา)(ฎ.๗๑๕/๓๗) แต่ถาู เป็ นความผิดต่อส่วนตัวที่คดีอย่้ ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือฎีกา โจทก์ย่ น ื คำารูองว่าไม่ประสงค์จะ ดำาเนิ นคดีต่อไปขอใหูศาลมีคำาสัง่ จำาหน่ ายคดี พอแปลไดูว่าโจทก์มค ี วามประสงค์ จะขอถอนฟู อง ศาลสัง่ อนุญาตใหูถอนไดู(ฎ.๑๔๒/๓๔) - ในคดีความผิดที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว ถูาศาลฎีกายกคำาพิพากษาศาล ล่าง ใหูศาลชัน ้ ตูนพิจารณาพิพากษาใหม่ คดีย่อมกลับมาส่้การพิจารณาของศาล ชัน ้ ตูนอีก โจทก์ขอถอนฟู องไดู(ฎ.๒๗๘/๒๕)
- คดีความผิดต่อส่วนตัวถอนฟู องไดูก่อนคดีถึงที่สุด( ถึงที่สุดเมื่อสิน ้
30
ระยะเวลาอุทธรณ์ ฎีกา) แต่ในคดีท่ีตอ ู งหูามอุทธรณ์หรือฎีกา ก็อาจมีการ อนุญาตหรือรับรองใหูอุทธรณ์หรือฎีกาไดู ดังนั ้นคดีจึงถึงที่สุดเมื่อสิน ้ ระยะเวลา อุทธรณ์หรือฏีกา เช่นกัน - คดีอาญาโจทก์และจำาเลยจะขอใหูศาลฎีกาพิพากษาตามสัญญา ประนี ประนอมยอมความหาไดูไม่ แต่เมื่อเป็ นคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อโจทก์ย่ น ื คำารูองขอถอนฟู องมาดูวยในเวลาก่อนคดีถึงที่สุด เมื่อจำาเลยไม่คัดคูานเป็ นผลใหู สิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไป ตามมาตรา ๓๙ (๒) เมื่อศาลฎีกาอนุญาตใหู ถอนฟู องแลูว มีผลใหูคำาพิพากษาของศาลล่างระงับไปในตัว ศาลฎีกาไม่ตูอง พิพากษายกคำาพิพากษาของศาลล่างอีก (ฎ.๔๓๘/๐๕ ป.) แต่ใหูจำาหน่ ายคดีออก จากสารบบความของศาลฎีกา - ถูาศาลชัน ้ ตูนไม่รับฎีกา ผู้ฎก ี ายื่นคำารูองอุทธรณ์คำาสัง่ ไม่รับฎีกา แมูจะ ล่วงเลยระยะเวลาฎีกาแลูวก็ตาม ก็ถือว่าคดียังไม่ถึงที่สุด( คร.๓๕/๒๒,๙๗๓/๒๕) - กรณี ศาลสัง่ จำาหน่ ายคดีชัว่ คราวเพราะจำาเลยหลบหนี คดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์จึงขอถอนฟู องไดู -** ในกรณี ท่โี จทก์ร่วมขอถอนคำารูองขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วม มีผลเท่ากับ
เป็ นการถอนฟู องนั่ นเอง (คร.๘๙๒/๑๔) แต่ถาู ผู้เสียหายไม่ไดูเขูาเป็ นโจทก์ร่วม ดูวยผู้เสียหายจะถอนฟู องไม่ไดู ศาลฎีกาตีความว่า คำารูองขอถอนฟู องนั ้น เป็ นการถอนคำารูองทุกข์นั้นเอง (ฎ.๑๒๔๑/๒๖) - การอนุญาตใหูถอนฟู องเป็ นดุลพินิจของศาล แต่ถูาจำาเลยยื่นคำาใหูการ
แลูวและคัดคูาน ศาลตูองยกคำารูองขอถอนฟู องจะใชูดุลพินิจไม่ไดู(ฎ.๖๙๘/๘๑) ผลของการถอนฟู อง(มาตรา ๓๖) คดีอาญาที่ไดูถอนฟู องไปจากศาลแลูว จะนำ ามาฟู องใหม่ไม่ไดู แมูยังไม่ไดู ไต่สวนม้ลฟู องก็ตาม(ฎ.๒๙๒๗/๒๙) การถอนฟู องอันมีผลทำาใหูฟูองใหม่ไม่ไดู นั ้น หมายถึงการถอนฟู องโดยเด็ดขาด การถอนฟู อง(คดีความผิดต่อส่วนตัว)เพื่อ ร่วมเป็ นโจทก์กับสำานวนอัยการ หาใช่เป็ นการถอนฟู องโดยเด็ดขาดไม่ สิทธิ การนำ าคดีอาญามาฟู องยังไม่ระงับไปตามมาตรา ๓๙(๒) พนั กงานอัยการยังมี อำานาจฟู อง ไม่ตูองหูามตามมาตรา ๓๖ เพราะถือว่ายังติดใจที่จะดำาเนิ นคดีกับ จำาเลยอย่้นั่นเอง อย่างไรก็ตามการขอเขูาร่วมเป็ นโจทก์กบ ั พนั กงานอัยการก็ตอ ู ง ดำาเนิ นการในเวลาอันควรดูวย หากปล่อยเวลานานไป เช่นกว่า ๖ เดือน ถือว่ามี เจตนาถอนฟู องโดยเด็ดขาด (ฎ.๑๗๖๕/๓๙)
- กรณี การฟู องผิดศาลแลูวถอนฟู องเพื่อไปฟู องยังศาลที่มีอำานาจ ก็มิใช่
31
เป็ นการถอนฟู องเด็ดขาด(ฎ.๒๐๓/๓๑) จึงฟู องใหม่ไดู แต่ก็ตูองฟู องภายในอายุ ความดูวย (อายุความไม่สะดุด)
- * ถอนฟู องเพื่อรอผลคดีแพ่ง เป็ นการถอนฟู องโดยเด็ดขาดฟู องใหม่ไม่
ไดู(ฎ.๔๔๐/๙๗) หรือถอนฟู องโดยอูางเหตุผลว่าฟู องบกพร่อง ขอถอนฟู องเพื่อ จะนำ าไปดำาเนิ นคดีใหม่ ก็ถือว่าเป็ นการถอนฟู องโดยเด็ดขาดดูวย (ฎ.๙๒๔/๓๐)
-การที่ผู้เสียหายขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมกับพนั กงานอัยการ ถือเสมือนว่าโจทก์ ร่วมฟู องคดีเอง ดังนี้การที่โจทก์ร่วมขอถอนตัวจากการเป็ นโจทก์ร่วม จึงมีผลท่า กับเป็ นการขอถอนฟู องในส่วนของโจทก์ร่วมนั ้นเอง โจทก์ร่วมจะขอเขูาเป็ นโจทก์ ร่วมในคดีนั้นในภายหลังอีกไม่ไดู(ฎ.๗๒๔๑/๔๔) - ในความผิดที่มีผู้เสียหายหลายคน เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่ งไดูย่ ืนฟู องไวู แลูวขอถอนฟู องไปย่อมตัดสิทธิเฉพาะผู้เสียหายคนนั ้นไม่ใหูฟูองใหม่ ส่วนผู้เสีย หายคนอื่นยังมีสิทธิฟูองไดูอีก ไม่ถ้กตัดสิทธิตามมาตรา ๓๖(ฎ.๕๙๓๔-๕/๓๓) คดีอาญาเลิกกัน( มาตรา ๓๗-๓๘) - ** ในคดีทำารูายร่างกาย ครัง้ แรกผู้เสียหายไม่ไดูรับอันตรายแก่กาย พนั กงานสอบสวนจึงเปรียบเทียบปรับในความผิดตามป.อ.มาตรา ๓๙๑ ซึ่งเป็ น ความผิดลหุโทษ และผู้ตูองหาชำาระค่าปรับตามที่พนั กงานสอบสวนเปรียบเทียบ แลูว แต่ตอ ่ มากลับปรากฎว่าบาดแผลที่ไดูรับรูายแรงจนเป็ นอันตรายสาหัส เป็ น ความผิดตาม ป.อ.มาตรา ๒๙๗ ซึ่งมิใช่ความผิดลหุโทษ เป็ นคดีท่ีไม่อาจเปรียบ เทียบปรับไดู ดังนั ้นการเปรียบเทียบปรับของพนั กงานสอบสวนไม่มีผลทำาใหูสิทธิ นำ าคดีอาญามาฟู องของโจทก์ระงับไป(ฎ.๓๕๔/๓๑) - กรณี ความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แมูขูอหาที่เบากว่ามี อัตราโทษที่อย่ใ้ นข่ายจะเปรียบเทียบไดู แต่ถูาขูอหาที่หนั กกว่า อัตราโทษไม่อย่้ใน ข่ายที่จะเปรียบเทียบปรับไดู เช่นนี้พนั กงานสอบสวนไม่มีอำานาจเปรียบเทียบ ขูอหาที่เบากว่า เพราะการกระทำาที่เป็ นกรรมเดียวกันเป็ นความผิดต่อกฎหมาย หลายบทนั ้น ตูองลงโทษบทหนั กตาม ป.อ. มาตรา ๙๐ ดังนี้หากพนั กงาน สอบสวนเปรียบเทียบปรับไปก็ไม่ทำาใหูคดีเลิกกัน ศาลจึงมีอำานาจพิจารณา พิพากษาต่อไป(ฎ.๒๘๔๙/๔๐) เรื่องนี้จำาเลยขับรถเมาสุรา และประมาทน่ า หวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บค ุ คลหรือทรัพย์ เป็ นกรรมเดียวผิดกฎหมาย หลายบท พงส.ไม่มีอำานาจปรับขูอหาขับรถประมาทซึ่งเป็ นความผิดซึ่งเบากว่า ขูอหาขับรถขณะมาสุราเพื่อใหูความผิดทัง้ หมดเลิกกันตามมาตรา ๓๗
- แต่ถาู เป็ นหลายกรรม หลายกระทง การเปรียบเทียบปรับก็ใหูพิจารณา เป็ นรายขูอหา
32
สิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับ ตามมาตรา ๓๙ -เมื่อสิทธินำาคดีอาญามาฟู องของโจทก์ระงับไปหลังจากที่มีการฟู อง ศาล ตูองจำาหน่ ายคดีออกจากสารบบความ มิใช่พิพากษายกฟู อง และถูาเป็ นคำาสัง่ จำาหน่ ายของศาลส้งก็มีผลทำาใหูคำาพิพากษาของศาลล่างระงับไปในตัว ไม่ตูอง พิพากษายกฟู อง(ฎ.๘๓๐๘/๔๓) หากสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไปก่อนที่ โจทก์จะนำ าคดีมาฟู อง ถือว่าโจทก์ไม่มีอำานาจฟู องมาแต่ตูน ศาลตูองพิพากษา ยกฟู อง - กรณี ท่ีโจทก์ตาย ไม่เป็ นเหตุใหูสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไป
(ฎ๒๓๔๙/๔๗) แต่หากจำาเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำาคดีอาญามาฟู องจึงระงับไป ตามมาตรา ๓๙(๑) และโทษก็เป็ นอันระงับไปดูวยความตายของผู้กระทำาผิดตาม ป.อ.มาตรา ๓๘ การถอนคำารูองทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัว - ในความผิดที่เป็ นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งมีทัง้ ความผิดอัน ยอมความไดูและที่มีใช่ความผิดอันยอมความไดู เมื่อผู้เสียหายขอถอนคำารูองทุกข์ ก็มีผลทำาใหูสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไปเฉพาะความผิดอันยอมความไดู เท่านั ้น พนั กงานอัยการคงมีอำานาจดำาเนิ นคดีในความผิดที่มิใช่ความผิดอันยอม ความไดูต่อไป(ฎ.๑๑๒๗/๔๔) - ** คดีท่ีพนั กงานอัยการเป็ นโจทก์ผู้เสียหายจะถอนฟู องไม่ไดู ถูาผู้เสีย หายถอนฟู องศาลฎีกาวินิจฉั ยว่าเป็ นการขอถอนคำารูองทุกข์ (ฎ.๑๒๔๑/๒๖) นอกจากนี้การที่ผู้เสียหายยื่นคำารูองหรือเบิกความว่า ไม่ติดใจเอาความกับจำาเลย พอแปลไดูว่าผู้เสียหายถอนคำารูองทุกข์แลูว (ฎ.๘๔๖๓/๔๔) บางครัง้ ขูอเท็จจริง อย่างเดียวกันนี้ศาลฎีกาถือว่าเป็ นการยอมความ(ฎ.๑๐๖๑/๔๕) - การถอนคำารูองทุกข์ท่ีจะมีผลทำาใหูสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไป ตูองมี ลักษณะเป็ นการเด็ดขาดเพื่อไม่เอาผิดกับจำาเลยอีกต่อไป ดังนี้การถอนคำารูอง ทุกข์เนื่ องจากผู้เสียหายไดูนำาคดีมาฟู องเสียเอง ไม่ใช่ถอนเพื่อไม่เอาผิดกับผู้ กระทำาผิด ไม่ทำาใหูคดีระงับ(ฎ.๙๙๔/๔๓) - เมื่อถอนคำารูองทุกข์แลูวสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับทันที การที่ผู้
ตูองหาไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขขูอตกลงไม่ทำาใหูกลับมีสิทธิฟูองคดีขึ้นอีก(ฎ. ๔๘๔/๐๓)
- ** สิทธิในการถอนคำารูองทุกข์ในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์(เช่นความ
33
ผิดฐานยักยอก ทำาใหูเสียทรัพย์) ตกทอดแก่ทายาทไดู เมื่อผู้เสียหายตาย ทายาท ของผู้เสียหายถอนคำารูองทุกข์ไดู(ฎ.๒๐๖/๘๘,๑๑/๑๘)
-*** เมื่อผู้เสียหายถอนคำารูองทุกข์แลูว คำาขอในส่วนแพ่งย่อมตกไปดูวย อัยการโจทก์ไม่มีสิทธิขอใหูจำาเลยคืนหรือใชูราคาแทนผู้เสียหายตามมาตรา ๔๓ ไดู อีกต่อไป(ฎ๓๔๙๑/๓๔) - ผู้เสียหายตกลงกับจำาเลยว่าจะไปขอถอนคำารูองทุกข์ แมูจะยังไม่มีการ ถอนคำารูองทุกข์ก็ตาม ก็มีผลเป็ นการยอมความแลูว (ฎ๑๙๗๗/๒๓) ดังนี้สิทธิ นำ าคดีอาญามาฟู องระงับไปแลูวจึงไม่อาจยื่นคำารูองขอถอนคำารูองถอนคำารูองทุกข์ ในภายหลังอีกไดู(ฎ.๑๖๘๑/๔๕) แต่ถาู ตกลงจะถอนคำารูองทุกข์โดยมีเงื่อนไขว่า จำาเลยจะตูองชำาระหนี้ใหูผู้เสียหายก่อน เมื่อจำาเลยยังไม่ชำาระหนี้ใหูโจทก์ ถือไม่ไดู ว่าเป็ นการยอมความแลูว (ฎ.๓๐๑๙/๔๒) - การที่ผู้เสียหายบอกกับตำารวจว่าไม่ติดใจเอาเรื่อง ไม่ถือว่าเป็ นการถอน
คำารูองทุกข์หรือยอมความ(ฎ.๖๐๔๕/๓๑) หรือการที่ผู้เสียหายมีหนั งสือถึงจำาเลย ว่าไม่เอาโทษจำาเลย ไม่เป็ นการถอนคำารูองทุกข์ทัง้ ไม่ถือเป็ นการยอมความดูวย(ฎ. ๘๒/๐๖)
แต่มี ฎ.๔๕๔๘/๓๙ วินิจฉั ยว่าเป็ นการยอมความแลูว
- การถอนคำารูองทุกข์ ผูเ้ สียหายจะขอถอนต่อพนั กงานสอบสวน พนั กงานอัยการ หรือศาลก็ไดู แมูคดีจะอย่้ในระหว่างการพิจารณาของศาลก็ถอน คำารูองทุกข์ต่อพนั กงานสอบสวนหรือพนั กงานอัยการก็ไดู(ฎ.๑๕๐๕/๔๒)และ การที่พนั กงานอัยการไดูรับคำารูองขอถอนคำารูองทุกข์ของผู้เสียหายแลูว ถือ เป็ นการถอนคำารูองทุกข์โดยชอบแลูว ศาลไม่ตูองสอบถามผู้เสียหายอีก(ฎ. ๑๕๐๕/๔๒) - คดีท่ีอย่้ในระหว่างการพิจารณาของศาล หากมีคำารูองขอถอนคำารูองทุกข์ ศาลตูองพิจารณาคำารูองขอถอนคำารูองทุกข์ก่อนที่จะดำาเนิ นการต่อไป มิฉะนั ้น เป็ นการดำาเนิ นกระบวนพิจารณาไม่ชอบ ตูองดำาเนิ นกระบวนพิจารณาใหม่ (ฎ. ๑๓๓๒/๓๐) บางกรณี ศาลฎีกาก็ถอ ื ว่าศาลล่างอนุญาตใหูถอนคำารูองทุกข์โดย ปริยายแลูว ไม่จำาตูองยูอนสำานวนไปใหูศาลชัน ้ ตูนดำาเนิ นการใหม่ แต่สัง่ จำาหน่ าย คดีไปไดูเลย(ฎ.๔๒๑/๔๖) - ตามมาตรา 35 วรรคสอง บัญญัติ เฉพาะกรณี การถอนฟู อง และการ ยอมความในคดีความผิดต่อส่วนตัวว่าสามารถกระทำาไดูก่อนคดีถึงที่สุด แต่ไม่ไดู บัญญัติถึงกรณี การถอนคำารูองทุกข์ไวูดูวยว่าสามารถกระทำาไดูจนถึงเวลาใด คงมี
แต่บทบัญญัติมาตรา 126 บัญญัติว่า จะถอนคำารูองทุกข์เสียเมื่อใดก็ไดู และ
34
ศาลฎีกาตีความว่าถอนคำารูองทุกข์ไดูจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ตามมาตรา 35 วรรค ทูาย (ฎ.1/28, 5689/45, 1374/09)
- เมื่อถอนคำารูองทุกข์แลูว ศาลตูองมีคำาสัง่ ใหูจำาหน่ ายคดี จะพิพากษา
ยกฟู องไม่ไดู (ฎ. 2689/27, 6097/34)
- ในกรณี ท่ีสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับในระหว่างพิจารณาของศาล อุทธรณ์ หรือศาลฎีกา คำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูนหรือศาลอุทธรณ์แลูวแต่กรณี ก็ระงับไปในตัวไม่มีผลบังคับอีกต่อไป (ฎ. 537/42) ยอมความทำาใหูสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับ (มาตรา 39(2))
- “ การยอมความตูองเป็ นการตกลงระหว่างผู้เสียหายและจำาเลย” ไม่จำา ตูองทำาเป็ นหนั งสือเพราะไม่ใช่สัญญาประนี ประนอมยอมความตาม ป.พ.พ.มาตรา 851,852 (ฏ. 353/32, 976/08) - ในกรณี ความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท บางขูอหาเป็ นความ ผิดต่อส่วนตัว และบางขูอหาเป็ นความผิดต่อแผ่นดิน การยอมความหรือถอน คำารูองทุกข์ มีผลทำาใหูสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไปเฉพาะขูอหาความผิดอัน ยอมความไดูเท่านั ้น (ฎ. 1904/40) - ถูาความผิดที่โจทก์ฟูองเป็ นการกระทำากรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลาย บท มีทัง้ ขูอหาความผิดต่อส่วนตัวและความผิดอาญาแผ่นดิน หากศาลชัน ้ ตูนหรือ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษเฉพาะขูอหาที่เป็ นความผิดต่อส่วนตัวและยกฟู อง ขูอหาความผิดอาญาต่อแผ่นดิน ในกรณี เช่นนี้ ถือว่าเป็ นคดีความผิดต่อส่วนตัว ยอมความกันในชัน ้ พิจารณาของศาลส้งไดู เช่น โจทก์ฟูองขอใหูลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 362, 365 ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำาเลยตามมาตรา 362 ซึ่งเป็ นความ ผิดต่อส่วนตัวและยกฟู องมาตรา 365 ซึ่งเป็ นความผิดอาญาแผ่นดิน เช่นนี้ อาจ
ยอมความในชัน ้ ฎีกาไดู มีผลทำาใหูสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไป (ฎ. 2257/40) -ทำาสัญญาว่าจะถอนฟู องไม่ดำาเนิ นคดีกับจำาเลย แมูจะยังไม่ถอนฟู อง หรือ แมูศาลจะยังไม่สั่งคำารูอง ก็มีผลเป็ นการยอมความแลูว ศาลตูองจำาหน่ ายคดีออก จากสารบบความ (ฎ.2257/40, 1009/33 , 980/33, 1433/06 ) -ในคดีท่ีพนั กงานอัยการเป็ นโจทก์ ผูเ้ สียหายยื่นคำารูองว่ารับชำาระหนี้จาก จำาเลยแลูวไม่ติดใจเอาความ เป็ นการยอมความตามกฎหมายแลูว และทำาใหู
คำาขอในส่วนแพ่งของโจทก์ท่ีใหูจำาเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายตกไปดูวย (ฎ.
35
1061/45) -
การพ้ดใหูอภัยจำาเลยโดยมีเงื่อนไขว่าจำาเลยจะไม่ไปพ้ดใหูเสียหาย ไม่
เป็ นการยอมความกันโดยถ้กตูองตามกฎหมาย (ฎ. 3038/31) เพราะผู้เสียหาย ไม่ไดูพ้ดว่า จะไม่ดำาเนิ นคดีแก่จำาเลยตลอดไป - ขูอตกลงที่ใหูถอนฟู องนั ้นมีเงื่อนไขใหูจำาเลยตูองชำาระหนี้กอ ่ น ถูา จำาเลยยังไม่ปฎิบต ั ิตามเงื่อนไข
ยังถือไม่ไดูว่าเป็ นการยอมความกัน (ฎ.
1724/39) เช่นเดียวกับตกลงว่าจะไปถอนคำารูองทุกข์ เ มื่อตกลงกันแลูว แมูจะ ยังไม่ไปถอนคำารองทุกข์ ผลแห่งการตกลงดังกล่าวถือไดูว่าเป็ นการยอมความกัน ในตัวแลูว (ฎ. 1977/23) - ตกลงออกเช็คฉบับใหม่ใหูแทนฉบับเดิมซึ่งธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงิน โดยมีขูอตกลงว่าเมื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับใหม่แลูวจะถอนแจูงความ และนำ า เช็คฉบับเดิมมาคืนใหู เป็ นการตกลงสละสิทธิในเช็คพิพาทโดยมีเงื่อนไขว่าตูอง เรียกเก็บเงินตามเช็คฉบับใหม่ก่อน เมื่อเช็คฉบับใหม่ถ้กธนาคารปฏิเสธการจ่าย เงิน ยังถือไม่ไดูว่ามีการยอมความกันในความผิดตามเช็คฉบับเดิม (ฎ. 5033/46)
-ในคดีท่รี าษฎรเป็ นโจทก์ฟูองคดีเอง ภายหลังยื่นคำารูองขอถอนคำารูอง
ทุกข์ทัง้ ที่ไม่เคยรูองทุกข์ต่อพนั กงานสอบสวน ก็มีผลเป็ นการยอมความแลูว (ฎ. 3630/32)
- การยอมความกันโดยมีเงื่อนไขที่จำาเลยจะตูองปฏิบัติอย่างหนึ่ งอย่างใด ก่อน ถือว่าไม่เป็ นการยอมความกันโดยเด็ดขาด สิทธินำาคดีอาญามาฟู องจะระงับ ไปต่อเมื่อจำาเลยไดูปฏิบต ั ิตามเงื่อนไขนั ้นแลูว (ฎ. 1500/36, 1605/38, 2016/00)
- ยอมความโดยมีเงื่อนไขว่า หยุดบุกรุกก็ไม่เอาเรื่อง เห็นไดูชัดว่าจำาเลย ตูองหยุดบุกรุกผู้เสียหายจึงจะไม่เอาเรื่อง ดังนั ้น หากต่อมาบุกรุกอีก ความผิดที่ บุกรุกครัง้ แรกก็ยังไม่ระงับ (ฎ. 2016/00 ป.)
- ถูาเป็ นการยอมความที่ไม่มีเงื่อนไข ว่าจำาเลยตูองปฏิบัตอ ิ ย่างหนึ่ งอย่าง ใดก่อน ถือว่าสิทธิในการดำาเนิ นคดีอาญามาฟู องระงับไปในทันที แมูภายหลัง จำาเลยจะไม่ปฏิบัตต ิ ามขูอตกลงก็ตาม (ฎ. 67/24, 2825/39,)
- การยอมความกันตาม ป.วิ.อ.มาตรา 39(2) หมายถึงการยอมความกัน ทางอาญาเท่านั ้น และตูองมีขูอความชัดแจูงว่ามีการยอมความกันในทางอาญาดูวย
ดังนี้ การตกลงประนี ประนอมยอมความกันในทางแพ่ง ไดูกล่าวถึงคดีอาญา คดีอาญาไม่ระงับ (ฎ.200/08)
(นอกศาล) โดยไม่
36
- การตกลงประนี ประนอมยอมความกันในทางแพ่ง(ในศาล) โดยไม่ไดู ตกลงใหูความผิดอาญาระงับหรือสิทธิในการดำาเนิ นคดีอาญาดูวย ไม่ถือว่า เป็ นการยอมความกันในคดีอาญาดูวย (ฎ. 4751/47, 2267/43) -บางกรณี ศาลฎีกาวินิจฉั ยว่าเป็ นเรื่องที่ผู้เสียหายกับจำาเลยตกลงยอมความ กันในคดีอาญาดูวย เช่น กรณี ท่ีผู้เสียหายกับจำาเลยตกลงเปลี่ยนแปลงม้ลหนี้กัน ใหม่ (แปลงหนี้ใหม่) (ฎ. 1050/27) - สำาหรับความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คฯ มาตรา 7 บัญญัติว่า ถูาหนี้ตามเช็คนั ้น ไดูสิน ้ ความผ้กพันไปก่อนที่ศาลมีคำาพิพากษาถึงที่สุด ใหูถือว่าคดีเลิกกันตาม ป.วิ.อ ดังนั ้นในคดีแพ่งที่โจทก์ฟูองเรียกเงินตามเช็ค ถูาไดูมีการประนี ประนอม ยอมความ มีผลทำาใหูหนี้ตามเช็คระงับไป แมูตามสัญญาประนี ประนอมยอม ความดังกล่าวจะเป็ นการยอมความกันเฉพาะคดีแพ่ง และผู้เสียหายไม่ไดูสละสิทธิ ในการดำาเนิ นคดีอาญาซึ่งไม่มีผลเป็ นการยอมความในคดีอาญาตามมาตรา 39(2) ดูวยก็ตาม คดีอาญาก็เป็ นอันเลิกกันตาม พ.ร.บ.เช็คฯ มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ ในการนำ าคดีอาญามาฟู องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (ฎ. 721/44, 3447-
8/43) การนำ าม้ลหนี้ตามเช็คมาแปลงหนี้เป็ นสัญญากู้ยืม เป็ นการทำาสัญญา แปลงหนี้ใหม่ ม้ลหนี้เดิมตามเช็คจึงระงับ แมูจำาเลยยังไม่ไดูชำาระหนี้เงินตาม สัญญาเงินกู้ใหูโจทก์ก็ตาม คดีจึงเป็ นอันเลิกกันตาม พ.ร.บ.เช็คฯ (ฎ. 5247/45) ตกลงในการผ่อนชำาระหนี้ตามเช็ค มิใช่การเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็ นสาระสำาคัญแห่งหนี้ จึงมิใช่สัญญาประนี ประนอมยอมความ หนี้เดิมตามเช็คยังมีอย่้ ไม่ทำาใหูคดีอาญา เลิกกันตามมาตรา 7 (ฎ. 2420/41) เรื่องนี้โจทก์จำาเลยตกลงผ่อนชำาระหนี้ตาม เช็คเป็ นเงิน ศาลฎีกาถือว่าเป็ นขูอตกลงผ่อนชำาระหนี้ตามเช็คเท่านั ้น แต่ถูามีการ ออกเช็คผ่อนชำาระแทนเช็คพิพาทศาลฎีกาถือว่าเป็ นสัญญาประนี ประนอมยอม ความแลูว และเป็ นการยอมความในคดีอาญาตามมาตรา 39(2) ดูวย (ฎ. 1053/42)
- เมื่อยอมความกันถ้กตูองแลูว แมูผู้เสียหายจะแถลงต่อศาลว่า สุดแต่ศาล
จะพิจารณาสิทธินำาคดีอาญามาฟู องก็ระงับไป (ฎ. 73/23)
- แต่ถาู ยังไม่มีการตกลงยอมความกันการที่ผู้เสียหายยื่นคำารูองฝ่ ายเดียว
ต่อศาลว่าไม่ติดใจเอาโทษจำาเลยต่อไป ดังนี้ไม่ใช่การยอมความ (ฎ. 260/36,
238/24) เพราะการยอมความตูองมีการตกลงกัน แต่มค ี ำาสัง่ คำารูองที่ 4548/39
37
บอกว่าการที่ผู้เสียหายมีหนั งสือถึงจำาเลยว่าไม่ติดใจเอาความ เป็ นการยอมความ แลูว ( ค.ฎ. 4548/39) สรุป การยอมความตูองประกอบไปดูวย ตูองมีการตกลงกันที่จะยอม และ ตูองไม่ติดใจที่จะดำาเนิ นคดีแก่จำาเลยอีกต่อไป - การยอมความตูองกระทำาภายหลังความผิดเกิดแลูว ขูอตกลงล่วงหนู าไม่ ถือว่าเป็ นการยอมความ (ฎ. 1403/08)
- การที่จำาเลยนำ าเงินที่ยักยอกมาคืนผู้เสียหาย หรือตกลงว่าจะคืนใหูโดยผู้
เสียหายไม่ไดูตกลงใหูระงับคดีอาญาดูวย ไม่เป็ นการยอมความ (ฎ. 3680/31, 2284/47)
ฟู องซำา้ ( มาตรา 39(4) หลักเกณฑ์ เมื่อมีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟูอง สิทธินำาคดี อาญามาฟู องย่อมระงับ 1. คำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดเป็ นคำาพิพากษาของศาลใด - คำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ในความผิดซึ่งไดูฟูอง หมายถึง คำาพิพากษา
ของศาลชัน ้ ตูน ไม่ใช่คำาพิพากษาถึงที่สุดเหมือนฟู องซำา้ ในคดีแพ่ง ( ป.วิ.พ.มาตรา
148) ดังนั ้นคดีอาญาที่ศาลชัน ้ ตูนมีคำาพิพากษาแลูว ถือว่าคดีนั้นไดูมีคำาพิพากษา เสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ไดูฟูองแลูว แมูคดีนั้นยังไม่ถึงที่สุดเพราะอย่้ระหว่าง การอุทธรณ์ หรือฎีกาก็ตาม (ฎ.3488/29, 3116/25) คำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาด นี้อาจเป็ นคำาพิพากษาของศาลทหารก็ไดู (ฎ. 937/87, 764/05) 2. จำาเลยในคดีก่อนและคดีหลัง ตูองเป็ นคนเดียวกัน
- ในความผิดอาญาเรื่องเดียวกัน แมูโจทก์จะไม่ใช่คนเดียวกัน เช่นผู้เสีย หายและอัยการต่างฟู องจำาเลยต่อศาล หากศาลชัน ้ ตูนพิพากษาคดีหนึ่ งคดีใดแลูว สิทธิในการนำ าคดีมาฟู องอีกคดีหนึ่ งย่อมระงับไป แมูจะฟู องคดีไวูก่อนก็ตาม (ฎ. 1037/01, 1438/27) หรือจำาเลยหลายคนถ้กพนั กงานอัยการฟู องจนศาลมีคำา พิพากษาไปแลูว สิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไป จำาเลยคนใดคนหนึ่ งในคดีนั้น จะไปฟู องจำาเลยดูวยกันในเรื่องเดียวกันเป็ นคดีใหม่ไม่ไดูเช่นกัน (ฎ. 738/93, 999/12)
- ศาลลงโทษจำาเลยฐานละเมิดอำานาจศาลไปแลูว พนั กงานอัยการและผู้ เสียหายมาฟู องเป็ นความผิดตาม ป.อ. ไดูอีก ไม่เป็ นฟู องซำา้ เพราะที่ศาลลงโทษ
จำาเลยฐานละเมิดอำานาจศาลเป็ นการลงโทษโดยไม่มีโจทก์ฟูอง (ฎ. 1120/39,
38
87/84)
3. คำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ไดูฟูอง
- ** จำาเลยตูองถ้กดำาเนิ นคดีในคดีก่อนอย่างแทูจริง ไม่ใช่เป็ นการ สมยอมกัน โดยคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีก่อนอันจะมีผลทำาใหูสิทธินำาคดี อาญามาฟู องระงับไปตามมาตรา 39 (4) นั ้น ตูองเป็ นกรณี ท่ีมีการฟู องรูอง ดำาเนิ นคดีแก่จำาเลยอย่างแทูจริง ดังนี้หากคดีก่อนเป็ นการฟู องรูองคดีกน ั อย่าง สมยอม เพื่อหวัง ผลมิใหูมีการฟู องรูองแก่จำาเลยไดูอีก ไม่ใช่เป็ นการดำาเนิ นคดีแก่ จำาเลยอย่างแทูจริง สิทธินำาคดีอาญามาฟู องจึงยังไม่ระงับ (ฏ. 6446/47, 9334/38)
- ** คำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งไดูฟูอง จะตูองเป็ นคำา พิพากษาที่วินิจฉั ยถึงความผิดของจำาเลยว่า จำาเลยไดูกระทำาตามที่โจทก์ฟูองหรือ ไม่ หรือกล่าวอีกนั ยหนึ่ ง ตูองเป็ นการวินิจฉั ยถึงเนื้ อหาของความผิดดูวย จึงจะ ถือว่าศาลไดูมค ี ำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งไดูฟูองแลูว เช่น ศาลชัน ้ ตูน ยกฟู องเพราะพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ไดูว่าจะเลยกระทำาผิดตามฟู อง หรือ ศาล ยกฟู องโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบมีผลเท่ากับโจทก์พิส้จน์ความผิดของจำาเลย ไม่ไดู ดังนี้ฟูองใหม่ไม่ไดู (ฎ. 1382/92) - แมูจะเป็ นการพิพากษายกฟู องในชัน ้ ตรวจฟู อง หากมีการวินิจฉั ยใน เนื้ อหาแห่งการกระทำาของจำาเลยแลูวว่าการกระทำาของจำาเลยตามที่โจทก์ฟูองไม่ เป็ นความผิด ก็ถอ ื ว่ามีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟูองแลูว ฟู องใหม่ เป็ นฟู องซำา้ (ฎ. 2757/44)
- ศาลยกฟู องเพราะขาดองค์ประกอบความผิด เท่ากับฟั งว่าการกระทำาของ จำาเลยตามที่โจทก์ฟูองไม่เป็ นความผิด แมูจะเป็ นคำาวินิจฉั ยในชัน ้ ตรวจคำาฟู อง ก็ ถือว่ามีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ในความผิดซึ่งไดูฟูองแลูว(ฎ. 6770/46)
- ** ศาลพิพากษายกฟู องเพราะเพราะฟู องมิไดูกล่าวถึง เวลา สถานที่ ซึ่ง จำาเลยกระทำาผิด เท่ากับฟู องโจทก์ไม่ปรากฏแน่ ชัดว่าจำาเลยกระทำาผิดในเวลาใด สถานที่ใด เป็ นการวินิจฉั ยความผิดของจำาเลยแลูว ฟู องใหม่เป็ นฟู องซำา้ (ฎ.
687/02 ป. , 776/90 ป.) การที่ศาลยกฟู องเพราะฟู องไม่ระบุเวลากระทำาผิด ถือว่ามีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งไดูฟูองแลูว แต่ถูาศาลพิพากษา ยกฟู องเพราะฟู องบรรยาย เวลาที่เกิดการกระทำา ผิดในอนาคต ซึ่งเป็ นฟู องเคลือบ คลุม ถือว่าศาลยังมิไดูวินิจฉั ยความผิดที่ไดูฟูอง ฟู องใหม่ไดูไม่ตูองหูามตาม มาตรา 39(4) (ฎ. 1590/24)
- ศาลยกฟู องเพราะฟู องเคลือบคลุม เช่น การบรรยายเวลากระทำาความ ผิดในอนาคต หรือการบรรยายฟู องขัดกัน ถือว่ายังไม่มีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ในความผิดที่ฟูอง จึงฟู องใหม่ไดู (ฎ. 2331/14)
39
- กรณี โจทก์ไม่มาศาลตามกำาหนดนั ดตามมาตรา 166 ศาลจะมีคำาสัง่ ใหู
จำาหน่ ายคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 132, 174 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ย่อม ไม่ถ้กตูอง ควรพิพากษายกฟู อง แต่อย่างไรก็ตามถูาศาลมีคำาสัง่ ใหูจำาหน่ ายคดี ดังนี้ ฟู องใหม่ไดู ไม่เป็ นฟู องซำา้ (ฎ. 162-3/16) - ศาลยกฟู องเพราะคดีไม่อย่้ในอำานาจศาล(ฎ. 3981/35) หรือศาล
ยกฟู องเนื่ องจากโจทก์ไม่มีอำานาจฟู อง (ฎ. 2294/17) ไม่ไดูวินิจฉั ยถึงการกระทำา ผิดของจำาเลย ถือว่ายังไม่ไดูวินิจฉั ยความผิดซึ่งไดูฟูอง จึงฟู องใหม่ไดู ไม่เป็ น ฟู องซำา้ - ศาลพิพากษายกฟู องเพราะคำาฟู องไม่ไดูลงชื่อโจทก์ หรือผู้เรียง ดังนี้ย่อม ไม่ไดูวินิจฉั ยความผิดซึ่งไดูฟูอง ฟู องใหม่ไดู ไม่เป็ นฟู องซำา้ (ฎ. 3096/24, 5834/30) ขูอสังเกต
1) แมูการที่ศาลพิพากษายกฟู องเพราะโจทก์ไม่มีอำานาจ ฟู อง ถือว่ายังมิไดูมีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งไดูฟูอง ฟู องใหม่ไม่เป็ น ฟู องซำา้ ก็ตาม แต่ระหว่างที่คดีเดิมยังไม่ถึงที่สุด การที่โจทก์ฟูองใหม่ ย่อมเป็ นฟู อง ซูอน ตูองหูามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15 (ฎ. 1012/27)
2) ฟู องซูอน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173(1) โจทก์ตูองเป็ น คนเดียวกัน แต่หากคดีก่อนผู้เสียหายเป็ นโจทก์ฟูอง คดีหลังพนั กงานอัยการเป็ น โจทก์ฟูอง กรณี ดังกล่าวถือว่าโจทก์เป็ นคนละคนกัน ไม่เป็ นฟู องซูอนตามมาตรา 173(1) ดังนั ้นถูาผู้เสียหายเป็ นโจทก์ฟูองทัง้ สองคดี ถือว่าโจทก์เป็ นคนเดียวกัน จึงเป็ นฟู องซูอน 4. ในความผิดซึ่งไดูฟูอง - ในความผิดซึ่งไดูฟูอง หมายถึง การกระทำาที่ก่อใหูเกิดความผิดนั ้นๆ ไม่ไดูหมายถึงฐานความผิด ดังนั ้น การกระทำาความผิดในคราวเดียวกัน หรือ การกระทำากรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อศาลชัน ้ ตูนตัดสินคดีแลูว โจทก์จะฟู องจำาเลยอีกไม่ไดู เป็ นฟู องซำา้ แมูจะขอใหูลงโทษคนละฐานความผิด ก็ตาม (ฎ. 4656/12) - การกระทำากรรมเดียวกันมีผู้เสียหายหลายคน เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่ งไดู ฟู องคดีจนศาลมีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแลูว สิทธินำาคดีอาญามาฟู องย่อม
40
ระงับ ผู้เสียหายคนอื่นก็จะนำ าคดีมาฟู องใหม่อีกไม่ไดู เช่น รับของโจรไวูหลาย รายการในคราวเดียวกัน แมูจะเป็ นทรัพย์ของผู้เสียหายต่างรายกัน ก็เป็ นความผิด กรรมเดียวกัน เมื่อมีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแลูว โจทก์จะฟู องจำาเลยฐานรับ ของโจรทรัพย์รายการอื่นอีกไม่ไดู (ฎ. 7296/44 ล 4747/33,) หรือหมิ่นประมาท บุคคลหลายคนในคราวเดียวกัน เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่ งฟู องคดีจนมีคำาพิพากษา เสร็จเด็ดขาดไปแลูว สิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไปตามมาตรา 39(4) ผู้เสีย หายคนอื่นจะมาฟู องจำาเลยอีกไม่ไดู (ฎ. 1853/30)
แต่ถูาผู้เสียหายคนหนึ่ งฟู อง
จำาเลยและไดูถอนฟู องแลูว ผู้เสียหายคนอื่นก็ยังฟู องคดีไดูอีก (ฎ. 5934/33) ขูอสังเกต ดังนั ้นจึงไดูหลักว่าการกระทำาที่เป็ นความผิดกรรมเดียวผิดต่อ กฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ฟูองและศาลไดูมีคำาพิพากษาในความผิดบทใดบท หนึ่ งไปแลูว ถือว่าไดูมีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ไดูฟูองแลูว โจทก์จะ นำ าการกระทำาเดียวกันมาฟู องขอใหูลงโทษจำาเลยอีกไม่ไดู แมูจะฟู องคนละฐาน ความผิดกันก็ตาม ดังนั ้นจึงตูองศึกษาว่ากรณี ใดเป็ นการกระทำากรรมเดียวเป็ น ความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็ นความผิดหลายกรรม เช่น
- จำาเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายหลายคนในคราวเดียวกัน เช่นทรัพย์
อย่้ในฟู องเดียวกัน จึงลักเอาไปพรูอมกัน เป็ นกรรมเดียวกัน (ฎ. 6705/46,
1104/04) แต่การลักทรัพย์ของผู้เสียหายทีละคนแมูจะเป็ นเวลาต่อเนื่ องใกลูชิด กัน เป็ นความผิดหลายกรรม (ฎ. 1281/46)
- การที่จำาเลยใชูไมูตีทำารูายผู้เสียหายหลายคนติดต่อกัน ถือว่าเป็ นต่าง
กรรม (ฎ. 1520/06) แต่การทำารูายโดยไม่แยกแยะว่าใครเป็ นใคร เป็ นเจตนา
เดียวกัน เป็ นกรรมเดียว (ฎ. 2879/46) เช่นวางระเบิดครัง้ เดียว มีคนเจ็บหลาย คน - กระทำาชำาเราหญิงในแต่ละครัง้ ใหม่ เนื่ องจากตูองปกปิ ดมิใหูผู้อ่ น ื รู้ ไม่ต่อเนื่ องกัน แยกต่างหากจากกันไดู เป็ นความผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 4232/47) - บุกรุกที่ดน ิ ของผู้เสียหายหลายคน (โดยเขตที่ดินอย่้ติดกัน)
เป็ นการกระทำาผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 2725/35)
- คดีก่อนโจทก์ฟูองจำาเลยฐานทำารูายร่างกายต่อมาในระหว่างการ พิจารณาของศาล ผูเ้ สียหายถึงความตาย ดังนี้ โจทก์จะฟู องจำาเลยฐานฆ่าคนตาย โดยไม่เจตนาอีกไม่ไดู เป็ นฟู องซำา้ ตามมาตรา 39(4) เพราะทัง้ สองคดีเกิดจาก การกระทำาอันเดียวกันของจำาเลย (ฎ. 3116/25, 1124/96 ป.)
- จำาเลยบุกรุกอสังหาริมทรัพย์เพื่อเขูาไปกระทำาความผิดอาญาขูอหา อื่น เช่นบุกรุกเพื่อเขูาไปลักทรัพย์ เป็ นความผิดกรรมเดียวกัน เมื่อโจทก์ฟูอง
จำาเลยบางขูอหาจนศาลมีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดนั ้น โจทก์จะนำ า ขูอหาอื่นมาฟู องอีกไม่ไดู (ฎ. 1193/29, 1949/47)
41
- ความผิดฐานมีอาวุธปื นกระบอกเดียวกันไวูในความครอบครองฯ ครัง้ ก่อนและครัง้ หลังต่อเนื่ องกัน เป็ นกรรมเดียว เมื่อศาลพิพากษาลงโทษการก ระทำาครัง้ หลังไปแลูว โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำาการกระทำาครัง้ แรกมาฟู องอีก (ฎ.
2083/39) เพราะตราบใดที่ยังคงครอบครองอาวุธปื นกระบอกเดียวกัน และ เครื่องกระสุนปื นรายเดียวกัน ก็เป็ นกรรมเดียวกัน แต่ความผิดฐานพาอาวุธปื น ไปในเมืองหม่้บูานฯ ตาม ป.อ. มาตรา 371 ในแต่ละครัง้ เป็ นความผิดต่าง กรรมกัน - จำาเลยลักเอาเช็คหรือรับของโจรแลูวนำ าไปปลอม เพื่อเบิกถอนเงินจาก ธนาคารเป็ นเจตนาเดียวกัน เพื่อใหูไดูเงินไปจากธนาคาร จึงถือว่าเป็ นการกระทำา กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เมื่อคดีกอ ่ นโจทก์ฟูองจำาเลยฐานลักทรัพย์ รับ ของโจร และฐาน เอาเอกสารของผู้อ่ ืนไป และศาลชัน ้ ตูนมีคำาพิพากษาเสร็จเด็ด ขาดลงโทษจำาเลยไปแลูว โจทก์มาฟู องจำาเลยอีกในขูอหาปลอมเอกสาร และใชู เอกสารปลอมอีกไม่ไดู เป็ นฟู องซำา้ ตามมาตรา 39(4) - จำาเลยปลอมและใชูเอกสารปลอมก็เพื่อใชูยักยอกเงินของโจทก์ร่วม เป็ นการกระทำาโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็ นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อ โจทก์ฟูองขูอหายักยอกจนศาลพิพากษาไปแลูว จะมาฟู องจำาเลยในขูอหาปลอม และใชูเอกสารปลอมอีกไม่ไดู เพราะสิทธินำาคดีอาญามาฟู องจำาเลยระงับไปแลูว (ฎ. 3238/36)
- ทำาความผิดขูอหาปลอมเอกสาร แลูวผูท ้ ำานำ าเอกสารนั ้นไปใชู กฎหมาย ใหูลงโทษขูอหาใชูหรืออูางเอกสารปลอมนั ้นอย่างเดียว ดังนั ้น เมื่อคดีก่อนโจทก์ ฟู องขูอหาปลอมเอกสาร ศาลมีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแลูว ก็ตูองถือว่าความ ผิดในขูอหาใชูหรืออูางเอกสารปลอม คดีถึงที่สุดเสร็จเด็ดขาดไปแลูวดูวย ฟู องใหม่ ในขูอหานี้อก ี ไม่ไดู เป็ นฟู องซำา้ (ฎ. 11326/09 ป.) - ในความผิดที่รวมการกระทำาหลายอย่าง เมื่อมีการฟู องเฉพาะการกระทำา อย่างใดอย่างหนึ่ งจนศาลมีคำาพิพากษาไปแลูว จะฟู องการกระทำาอื่นที่รวมอย่้ดูวย อีกไม่ไดู เป็ นฟู องซำา้ (ฎ. 424/20) - เบิกความเท็จหลายตอนในคราวเดียวกันเป็ นความผิดหลายกรรม (ฎ. 908/96) - ความผิดฐานลักปื นของผู้เสียหายกับความผิดฐานมีอาวุธปื นดังกล่าวไวู ในความครอบครองโดยไม่ไดูรับอนุญาต เป็ นความผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 888/07 ป.) - ในความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ถูาความผิดบทหนึ่ งเสร็จไป เพราะศาลชัน ้ ตูน “จำาหน่ ายคดี เนื่ องจากผู้เสียหายถอนคำารูองทุกข์” ถือไม่ไดูว่า มีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟูอง จึงไม่ทำาใหูสิ ทธิในการนำ าคดีอาญา มาฟู องในความผิดอื่นที่เป็ นกรรมเดียวกันนั ้น ระงับไปดูวย (ฎ. 7320/43)
42
คดีขาดอายุความ (มาตรา 39(6) - ฟู องขูอหาฉู อโกงประชาชน ตาม ป.อ. 343 ไดูความว่าเป็ นความผิดฐาน ฉู อโกงตาม ป.อ.มาตรา 341 แมูศาลจะลงโทษไดูในความผิดฐานนี้ไดูตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคทูาย ก็ตาม แต่เมื่อความผิดตามมาตรา 341 เป็ นความผิด อันยอมความไดู หากไม่ไดูรูองทุก๘ภายใน 3 เดือน นั บแต่วันที่ รูเ้ รื่องและรู้ตัวผู้ กระทำาความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 96 คดีย่อมขาดอายุความ (ฎ. 4752/45) - อายุความฟู องรูองในคดีอาญา มีบัญญัติไวูใน ป.อ.โดยเฉพาะแลูว จึงไม่ อาจนำ าบทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาใชูบังคับไดู ดังนั ้น แมูโจทก์จะไดูฟูองจำาเลยในครัง้ แรกต่อศาลชัน ้ ตูนแห่งหนึ่ งภายในอายุความ แต่ คดีไม่อย่้ในเขตอำานาจของศาลชัน ้ ตูนนั ้น โจทก์จึงนำ าคดีมาฟู องต่อศาลชัน ้ ตูนที่อย่้ เขตอำานาจเมื่อพูนกำาหนดอายุความแลูว คดีจึงขาดอายุความ (ฎ. 588/46)
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องกับคดีอาญา (มาตรา 40-51) คดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องกับคดีอาญาคือ กรณี ความรับผิดในทางแพ่ง มีม้ลมาจาก การกระทำาผิดในทางอาญา โดยคดีดังกล่าวนี้จะฟู องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญา หรือต่อศาลที่มอ ี ำานาจชำาระคดีแพ่งก็ไดู - การพิจารณาคดีแพ่งตูองเป็ นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวี พิจารณาความแพ่ง เช่น คำาใหูการส่วนแพ่งตูองแสดงโดยชัดแจูงว่ายอมรับหรือ ปฏิเสธ รวมทัง้ เหตุแห่งการนั ้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 ดังนั ้น ถูาจำาเลยใหูการ ต่อสู้ในคดีส่วนแพ่งพรูอมกับคำาใหูการต่อสู้คดีอาญารวมกันว่าจำาเลยใหูการ ปฏิเสธฟู องโจทก์ทัง้ สิน ้ ถือว่าคำาใหูการจำาเลยในส่วนแพ่งเป็ นคำาใหูการปฏิเสธ ลอยๆไม่มีประเด็นว่าโจทก์ไม่ใช่เจูาของรถยนต์และจำาเลยซื้อรถยนต์มาโดยสุจริต ในทูองตลาด จำาเลยจะอุทธรณ์คดีส่วนแพ่งในประเด็นดังกล่าวไม่ไดู (ฎ. 5713/39) - จำาเลยไม่ไดูยกอายุความขึ้นต่อสูใ้ นคดีแพ่ง ถือว่าไม่มีประเด็นดังกล่าว (ฎ. 607/36) - กำาหนดเวลาใหูย่ ืนคำาใหูการในคดีแพ่งตูองยื่นคำาใหูการภายใน 15 วัน นั บ แต่ไดูส่งหมายเรียกและสำาเนาคำาฟู อง ส่วนคดีอาญานั ้นเมื่อศาลสัง่ ประทับฟู อง แลูว จะมีคำาสัง่ ใหูหมายเรียกจำาเลยมาใหูการในวันนั ดสืบพยานโจทก์ ซึ่งเท่ากับ ศาลอนุญาตใหูจำาเลยยื่นคำาใหูการทัง้ ในส่วนอาญาและส่วนแพ่ง ในวันที่กำาหนด นั ้น จำาเลยจึงไม่ตูองยื่นคำาใหูการแกูคดีภายใน 15 วัน นั บแต่ไดูส่งหมายเรียก และสำาเนาคำาฟู องใหูจำาเลยตามมาตรา ป.วิ.พ.มาตรา 177 (ฎ. 3906/36, 1042/20) - คดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องกับคดีอาญา เมื่อสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไป คำาขอในส่วนแพ่งย่อมตกไปดูวย ศาลตูองจำาหน่ ายคดี (ฎ. 1916/47,1547/29) เช่น กรณี คดีท่ีอัยการเป็ นโจทก์ ฟู อง เมื่อจำาเลยตาย ก็มีผลทำาใหูคำาพิพากษาของศาล ล่างในส่วนใหูคน ื หรือใชูราคาทรัพย์ระงับไปดูวย แมูในคดีนั้นผู้เสียหายจะเขูาเป็ น โจทก์ร่วมดูวยก็ตาม (ฎ. 3271/31) แต่ถาู ผู้เสียหายเป็ นโจทก์ฟูองเอง เมื่อจำาเลย ตาย คดีในส่วนแพ่งก็ตูองมีการรับมรดกความ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 42 - คำาสัง่ ไม่ประทับฟู อง จำาเลยไม่อย่ใ้ นฐานะจำาเลย หมายถึงคดีส่วนอาญา เท่านั ้น แค่ในคดีแพ่ง ถือว่าผู้ถ้กฟู องมีฐานะเป็ นจำาเลยแลูว (ฎ. 1881/19) - สิทธิในการอุทธรณ์ หรือฎีกา ในคดีส่วนแพ่งนั ้น ตูองพิจารณาจากทุน ทรัพย์ท่ีพิพาทกันในชัน ้ อุทธรณ์ หรือฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 และ 248 แลูวแต่กรณี ดังเช่นคดีแพ่งทัว่ ไป แต่อย่างไรก็ดี ถูาคดีส่วนแพ่งตูองหูามอุทธรณ์ หรือฎีกา ในขูอเท็จจริง แต่ในส่วนคดีอาญาไม่ตูองหูาม การรับฟั งขูอเท็จจริงใน
คดีส่วนแพ่ง ก็ตูองถือตามขูอเท็จจริงในส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 46 (ฎ.3548/39) - การที่ศาลชัน ้ ตูนตรวจฟู องคดีอาญาที่มค ี ำาขอในส่วนแพ่ง แลูวพิพากษา ยกฟู องคดีส่วนอาญา ก็ไม่อาจรับคดีส่วนแพ่งไวูพิจารณาพิพากษาไดู ศาลตูอง สัง่ ไม่รับคดีส่วนแพ่งและคืนค่าธรรมเนี ยมแก่โจทก์ (ฎ. 3050/44)
43
การเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย( มาตรา 43-44) - พนั กงานอัยการมีสิทธิเรียกทรัพย์สิน หรือ ราคา แทนผู้เสียหายในความ ผิด เฉพาะ 9 ฐาน คือ ลัก วิ่ง ชิง ปลูน โจร ยัก รับ กรร ฉู อ เท่านั ้น ( ความผิด ยักยอกรวมเจูาพนั กงานยักยอกดูวย ฎ. 631/11 แต่ฐานฉู อโกง ไม่รวมโกงเจูาหนี้ ฎ. 392/06) - การเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืน พนั กงานอัยการ จะขอรวมไปกับคดี อาญา หรือจะยื่นคำารูองในขณะคดีอย่ร้ ะหว่างการพิจารณาของศาลชัน ้ ตูนก็ไดู ( ถูาศาลชัน ้ ตูนพิพากษาแลูว แมูคดีจะอย่้ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือฎีกา อัยการจะขอไม่ไดู) คำาพิพากษาในส่วนแพ่งฯ ใหูรวมเป็ นส่วนหนึ่ งของ คดีอาญา (มาตรา 44) - ฟู องขอใหูลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 147 แต่ศาลพิพากษาว่าจำาเลยมี ความผิดตามมาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำานาจขอใหูจำาเลยคืนหรือใชูราคาทรัพย์ (ฎ. 3793/30) - ในความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ถูาความผิดบทเบาเป็ น ความผิดที่ระบุไวูในมาตรา 43 แต่ความผิดบทหนั กไม่ใช่ความผิดตามมาตรา 43 ถูาศาลพิพากษาว่าจำาเลยมีความผิดทัง้ สองบท ลงโทษบทหนั ก ศาลก็มอ ี ำานาจ พิพากษาใหูจำาเลยคืนหรือใชูราคาทรัพย์ไดู (ฎ. 255/31) แต่ถูาในความผิดกรรม เดียวผิดกฎหมายหลายบท หากศาลพิพากษาว่าจำาเลยมีความผิดบางฐานที่ไม่ใช่ ฐานความผิดตามมาตรา 43 ส่วนฐานที่เป็ นความผิดตามมาตรา 43 ศาล พิพากษายกฟู อง ดังนี้อัยการไม่มีอำานาจเรียกทรัพย์หรือราคาแทนผู้เสียหาย (ฎ. 3530/43) - ในบางกรณี แมูพนั กงานอัยการจะไม่ไดูขอใหูลงโทษจำาเลยในความผิดที่ ระบุไวู ในมาตรา 43 แต่ตามคำาฟู องโจทก์ไดูบรรยายความผิดตามมาตรา 43 รวม อย่้ดูวย ดังนี้ อัยการฯ ขอใหูเรียกทรัพย์หรือราคาแทนผู้เสียหายไดู (ฎ. 476/15) - ความผิดฐานตามมาตรา 149,157, 265 อัยการไม่มีสิทธิขอใหูคืนหรือใชู ราคาทรัพย์ (ฎ. 378/20) - **ทรัพย์สินหรือราคาที่พนั กงานอัยการจะเรียกแทนผู้เสียหายไดู จะตูอง เป็ น “ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายส้ญเสียไปเนื่ องจากการกระทำาความผิด” ดังนี้ ในคดีฉูอโกงแรงงานตาม ป.อ.มาตรา 344 ค่าแรงงานไม่ใช่ทรัพย์ท่ีผู้เสียหาย ส้ญเสียไปเนื่ องจากการกระทำาความผิด อัยการฯ จึงไม่มีอำานาจขอใหูจำาเลยใชู ค่าแรงงานที่ยังไม่จ่ายแก่ผู้เสียหาย (ฎ. 1051/10, 3303/31) - ในคดีรับของโจร เงินที่ผู้เสียหายตูองเสียเป็ นค่าไถ่ทรัพย์ใหูจำาเลย ไม่ใช่ ทรัพย์หรือราคาทรัพย์ท่ีเสียไปเนื่ องจากการกระทำาความผิดฐานรับของโจร อัยการฯ จะขอเรียกเงินคูาไถ่ทรัพย์แทนผู้เสียหาย ไม่ไดู (ฎ. 942/07) - เงินค่าเขูาอย่้โรงแรมก็เป็ นเงินที่เจูาของโรงแรมควรจะไดู ไม่ใช่ทรัพย์สิน ที่ส้ญเสียไปเนื่ องจากการกระทำาความผิดตามมาตรา 345 (ฎ. 2197/16)
44
- จำาเลยลักเอาหนั งสือสัญญากู้เงินของผู้เสียหายไป ทรัพย์สินที่เสียไปคือ หนั งสือสัญญาเงินกู้ ไม่ใช่เงินตามสัญญากู้ ดังนี้พนั กงานอัยการจะขอใหูจำาเลยใชู เงินตามสัญญาเงินกู้ไม่ไดู (ฎ. 40/08 ป.) - เงินที่คนรูายไดูจากการขายทรัพย์สินที่ปลูนมา มิใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหาย ถ้กปลูน ศาลสัง่ คืนใหูผู้เสียหายไม่ไดู (ฎ. 384/19) - ในความผิดฐานฉู อโกง ทรัพย์สินที่จะขอใหูจำาเลยคืนหรือใชูราคาไดูตูอง เป็ นทรัพย์สินที่ไดูมาจากการหลอกลวงเท่านั ้น ทรัพย์สินที่จำาเลยไดูมาภายหลัง ที่ ไม่ใช่การหลอกลวงของจำาเลย อัยการฯ ย่อมไม่มีสิทธิขอใหูคน ื หรือใชูราคาไดู คำาขอของโจทก์ร่วมที่ขอถือเอาตามฟู องของอัยการย่อมตกไปดูวย (ฎ. 3667/42) - จำาเลยหลอกลวงใหูผู้เสียหายไปทำางานต่างประเทศ ถือว่าเงินค่าตัว๋ เครื่อง บิน ที่ผู้เสียหายจ่ายใหูจำาเลยเพื่อใหูผู้เสียหายใชูเดินทางไปทำางานต่างประเทศ เป็ น ทรัพย์สิน ที่ผู้เสียหายส้ญเสียไปเนื่ องจากการกระทำาความผิดฐานฉู อโกง แมูผู้ เสียหายจะใชูตัว๋ เครื่องบินเดินทางไปแลูวก็ตาม อัยการฯ เรียกใหูจำาเลยคืนแทนผู้ เสียหายไดู (ฎ. 5401/42) - สลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถ้กรางวัลแลูว มีราคาเท่ากับเงินรางวัลที่จะไดูรับจึง ถือว่าเงินรางวัลที่จะไดูรับเป็ นราคาทรัพย์ท่ีส้ญเสียไปโดยแทูจริง อัยการฯขอใหู คืนเงินรางวัลไดู (ฎ. 772/20 ป.) - **อัยการฯ มีสิทธิเรียกไดูเฉพาะทรัพย์หรือราคาเท่านั ้น จะเรียกดอกเบีย ้ ไม่ไดู แต่ถูาผู้เสียหายเขูาเป็ นโจทก์ร่วม ดูวย ถือไดูว่าผู้เสียหายไดูเรียกดอกเบีย ้ แลูว แต่ตอ ู งเสียค่าธรรมเนี ยมศาล (ฎ. 1976/05 ป.) - ** แมูการกระทำาของจำาเลยจะเป็ นเพียงความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์ โดยจำาเลยไมไดูทรัพย์ของกลางไป แต่ทรัพย์ของกลางส้ญหายไปในขณะเกิดเหตุ นั ้น ถือว่าผลของการกระทำาผิดของจำาเลย ทำาใหูผู้เสียหายตูองสุญเสียทรัพย์นั้น ไป จำาเลยจึงตูองรับผิดคืนหรือใชูราคาทรัพย์นั้นแก่ผู้เสียหาย (ฎ. 6624/45) - คดีท่ีโจทก์บรรยายฟู องจำาเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร และใหูคืนหรือ ใชูราคาแทนผู้เสียหาย ถูาจำาเลยใหูการรับสารภาพฐานรับของโจร ความรับผิดทาง แพ่งของจำาเลยคงจำากัดเฉพาะที่เกี่ยวเนื่ องกับความผิดฐานรับของโจรเท่านั ้น (ฎ. 855/30 ป.) และเมื่อจำาเลยไดูรบ ั ทรัพย์ท่รี ับของโจรคืนไปแลูว ก็ไม่อาจบังคับใหู จำาเลยคืนหรือใชูราคาทรัพย์ใหูโจทก์ไดูอีก (ฎ. 3098/43) - ระหว่างพิจารณาโจทก์ร่วมแถลงติดใจใหูจำาเลยชำาระหนี้บางส่วนเท่านั ้น เมื่อจำาเลยไม่ชำาระ จำาเลยตูองคืนเงินใหูโจทก์เท่าที่แถลงเท่านั ้น ไม่ใช่จำานวนตาม คำาขอทูายฟู อง เพราะถือว่าโจทก์ไดูสละสิทธิเรียกรูองบางส่วนแลูว (ฎ. 6916/42) - แมูศาลจะยกฟู องคดีส่วนอาญา ศาลยังมีอำานาจสัง่ ใหูจำาเลยคืนหรือใชู ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายไดู (ฎ. 1039/16 ป.) เช่น อัยการโจทก์ฟูองจำาเลยฐาน ยักยอก และใหูคืนหรือใชูเงินที่จำาเลยยักยอกแก่โจทก์ คดีส่วนอาญาศาลวินิจฉั ย ว่าจำาเลยไม่ไกระทำาผิด แต่ศาลก็มีอำานาจพิพากษาใหูจำาเลยคืนหรือใชูเงินจำานวน ดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมตามที่อัยการฯ ขอไดู (ฎ. 4881/39) แต่ถาู ศาลพิพากษา ยกฟู อง เพราะเป็ นความรับผิดทางแพ่งลูวนๆ กรณี มิใช่จำาเลยไดูทรัพย์ไปโดยไม่ ชอบดูวยกฎหมาย และไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องกับคดีอาญา อัยการไม่มีสิทธิท่ีจะ เรียกทรัพย์ไดู (ฎ. 3112/23) -** สิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับ เช่น กรณี ฟูองโจทก์ขาดอายุความ (ฎ. 3746/42) หรือ ผู้เสียหายถอนคำารูองทุกข์หรือยอมความ (ฎ. 1061/45) หรือกรณี ที่ผู้ตูองหาถึงแก่ความตาย (ฎ. 1547/29) ซึ่งทำาใหูคำาขอในส่วนแพ่งตกไปดูวย
45
อัยการฯ ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย แมูผู้เสียหายจะเขูา เป็ นโจทก์ร่วมดูวยก็ตาม (ฎ. 2567/26) - แต่ถาู เป็ นกรณี ท่ีผู้เสียหายฟู องคดีเอง เมื่อจำาเลยตายคดีในส่วนแพ่งตูอง มีการรับมรดกความ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 42 (ฎ. 1238/93) - ในส่วนการใชูราคานั ้น หากไม่ปรากฏว่ามีราคาเท่าใดศาลก็จะไม่สัง่ ใหูใชู ราคา (ฎ.2212/33) ถูาขูอเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่า ผู้เสียหายไดูรบ ั ชดใชูค่าเสีย หายเกินกว่าราคาทรัพย์ไปแลูว ศาลก็จะพิพากษาใหูคน ื หรือใชูราคาอีกไม่ไดู(ฎ. 6553/41) -ในคดีอาญาที่พนั กงานอัยการฟู องและมีคำาขอส่วนแพ่งใหูจำาเลยคืนหรือใชู เงินแก่ผู้เสียหาย ตามมาตรา 43 ถือว่าอัยการฯ ฟู องคดีแทนผู้เสียหายดูวย ดัง นั ้นถูาคดีอาญายังไม่ถึงที่สุด ผู้เสียหายฟู องจำาเลยใหูรบ ั ผิดในส่วนแพ่งอีก จึงเป็ น ฟู องซูอน ตามวิแพ่ง มาตรา 173(1) ทัง้ นี้ไม่ว่าในคดีอาญาผู้เสียหายจะเขูาเป็ น โจทก์ร่วมดูวยหรือไม่ก็ตาม (ฎ. 3080/44) ถูาคดีอาญาถึงที่สุดไปแลูว คำาฟู องของผู้ เสียหายก็เป็ นฟู องซำา้ ตาม วิแพ่ง มาตรา 148 (ฎ. 1207/10, 4615/43) แต่เป็ น ฟู องซูอนเฉพาะตูนเงินเท่านั ้น ส่วนดอกเบีย ้ ไม่เป็ นฟู องซูอน (ฎ. 12414/47 ป.) *** -*** มาตรา 44 วรรคสอง ที่ใหูคำาพิพากษาในส่วนเรียกทรัพย์สินหรือ ราคารวมเป็ นส่วนหนึ่ งแห่งคำาพิพากษาคดีอาญา ทัง้ นี้โดยไม่จำากัดว่าทรัพย์นั้นจะ มีราคาเท่าใด ดังนี้คดีท่ีฟูองต่อศาลแขวง แมูราคาทรัพย์สินที่เรียกจะมีราคามาก นู อยเพียงใด ศาลแขวงก็มีอำานาจพิจารณาพิพากษาคำาขอในส่วนนี้ไดู (ฎ. 180/90, 2952/27) สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหาย เป็ นการใหูสิทธิแก่ผู้เสียหายที่จะเรียกรูองค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุไดู รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือไดูรบ ั ความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียง หรือไดูรบ ั ความเสียหายในทางทรัพย์สิน อันเนื่ องมาจากการกระทำาความ ผิดของจำาเลย โดยยื่นคำารูองเขูาไปในคดีอาญา โดยไม่ตูองฟู องเป็ นคดีแพ่ง ขูอสังเกต 1. ใหูสิทธิแก่ผู้เสียหายที่จะเรียกรูองค่าสินไหมทดแทนเนื่ องจากการกระ ทำาผิดของจำาเลย ผู้เสียหายที่ไดูรบ ั อันตรายแก่ ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ ชื่อ เสียง และทรัพย์สิน 2. ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายเรียกรูองนั ้น เป็ นค่าสินไหมแทนเพื่อการ ละเมิด จึงตูองเป็ นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 438-448 3. มาตรา 44/1 รวมถึงการขอใหูเรียกทรัพย์สินหรือราคาที่ส้ญเสียไป เนื่ องจากการกระทำาผิดของจำาเลยดูวย ดังนั ้นถูาอัยการขอตามมาตรา 43 แลูว ผู้ เสียหาย จะขอใหูเรียกทรัพย์สินหรือราคาที่สุญเสียไปอีก ไม่ไดู 4. กำาหนดเวลา ยื่นคำารูอง ตูองก่อนเริ่มสืบพยานถูาไม่มีการสืบพยานตูอง ก่อนศาลวินิจฉั ยชีข้ าดคดี (ถือว่าคำารูองเป็ นคำาฟู อง ตามวิแพ่ง โดยผู้เสียหายอย่้ ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่ง จึงตูองแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหาย และ จำานวนค่าสินไหมทดแทนที่เรียกรูอง และหากชนะคดี ถือว่าเป็ นเจูาหนี้ตามคำา พิพากษา) คำาพิพากษาในส่วนแพ่ง (มาตรา 47)
46
ตูองเป็ นไปตามความรับผิดทางแพ่ง โดยไม่ตูองคำานึ งว่าคดีอาญาศาลจะ พิพากษาว่า จำาเลยกระทำาความผิดหรือไม่ เช่น กรณี ท่ีศาลยกฟู องโจทก์เพราะฟู อง โจทก์ไม่สมบ้รณ์ ตาม วิ.อาญา มาตรา 158 ศาลก็มีอำานาจสัง่ ใหูจะเลยคืนเงินแก่ ผู้เสียหายไดู (ฎ. 2737/17) - ถูาศาลยกฟู องเพราะเป็ นความรับผิดทางแพ่งลูวนๆ โดยไม่มีม้ลความผิด ทางอาญา มิใช่จำาเลยไดูทรัพย์ไปโดยไม่ชอบดูวยกฎหมาย อัยการฯไม่มีสิทธิท่ีจะ เรียกทรัพย์ไดู (ฎ. 3112/23) - ในกรณี ท่ีคำาขอส่วนแพ่งยังเป็ นปั ญหาอย่้ ศาลอาจใหูไปฟู องรูองกันใน ทางแพ่งต่อไปก็ไดู (ฎ. 504-5/43) การฟั งขูอเท็จจริงในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องคดีอาญา ( มาตรา 46) เมื่อเป็ นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องกับคดีอาญา “ ตูองถือขูอเท็จจริงตามที่ปรากฏ ในคำาพิพากษาส่วนอาญา” - การพิจารณาว่าคดีใดเป็ นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องกับคดีอาญา หรือไม่ นั ้น ตูองพิจารณาว่าความรับผิดในคดีแพ่ง ตูองอาศัยม้ลมาจากการกระทำาผิดในทาง อาญาหรือไม่ ถูาตูองอาศัยก็เป็ นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องกับคดีอาญา ถูาไม่ตูองอาศัย ก็ไม่เป็ นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องฯ เมื่อไม่ใช่แลูวการพิพากษาคดีแพ่งก็ไม่ตูองฟั งขูอเท็จ จริงตามที่ปรากฏในคดีส่วนอาญา ไม่อย่้ในบังคับมาตรา 46 เช่น การฟู องขอใหู เพิกถอนการฉู อฉล ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 เป็ นสิทธิเรียกรูองที่ไม่ตูองอาศัยม้ล ความผิดอาญาในความผิดฐานโกงจูาหนี้ จึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องฯ (ฎ. 2463/39) หรือการฟู องขอใหูศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็ นโมฆะ ก็ไม่ตูองอาศัย ม้ลความผิดทางอาญาฐานแจูงความเท็จ (ฎ. 8032/47) - คดีแพ่งฟู องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาระหว่างโจทก์ จำาเลย ถือเป็ นการ ฟู องโดยอาศัยม้ลตามสัญญา ไม่เป็ นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องฯ (ฎ. 185/45,7283/41) - คดีท่ีฟูองเรียกเงินตามเช็คไม่เป็ นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องฯ (ฎ. 120/40) - แมูคดีแพ่งศาลตูองถือขูอเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาว่า จำาเลยเขูาใจ ว่าตูนอูอยที่จำาเลยตัดเป็ นของผู้ท่ีมอบใหูจำาเลยด้แล และไม่ทราบว่าเป็ นของโจทก์ ในคดีแพ่งซึ่งโจทก์ฟูองจำาเลยฐานละเมิด ศาลฟั งขูอเท็จจริงไดูว่าการที่จำาเลยเขูาใจ ว่าตนมีอำานาจกระทำาไดู เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำาเลย เป็ นการทำา ละเมิดตูองรับผิด (ฎ. 2637/42) หลักเกณฑ์การรับฟั งขูอเท็จจริงในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องกับคดีอาญา 1) คำาพิพากษาคดีอาญาตูองถึงที่สุด (ขูอเท็จจริงในคดีอาญายุติแลูว นั ้นเอง) 2) ขูอเท็จจริงดังกล่าวตูองเป็ นประเด็นโดยตรงในคดีอาญา และ วินิจฉั ยไวูแลูวโดยชัดแจูง 3) ค่ค ้ วามในคดีแพ่ง ตูองเป็ นค่ค ้ วามในคดีอาญา - หากจำาเลยถึงแก่ความตายเสียก่อนคดีถึงที่สุดจะนำ ามาตรา 46 มาบังคับใชู ไม่ไดู ตูองฟั งขูอเท็จจริงใหม่ (ฎ. 623/29) - คำาพิพากษาคดีอาญาถึงที่สุดแลูว แมูจะเป็ นคำาพิพากษาในชัน ้ ไต่สวนม้ล ฟู อง ก็ผ้กพันคดีแพ่งดูวย (ฎ.1948/20) - ขูอเท็จจริงดังกล่าวตูองเป็ นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและวินิจฉั ยไวู แลูวโดยชัดแจูง เช่น คำาพิพากษาคดีอาญาฟั งขูอเท็จจริงว่า จำาเลยขาดเจตนาบุกรุก
47
และทำาใหูเสียทรัพย์เท่านั ้น มิไดูวินิจฉั ยว่าที่พิพาทเป็ นของใคร ประเด็นโดยตรง ที่ว่าที่พิพาทเป็ นของใครยังไม่ไดูวินิจฉั ย จะนำ าขูอเท็จจริงในคดีอาญามาผ้กพันคดี แพ่งไม่ไดู (ฎ. 2839/40, 5410/39) - คดีอาญาศาลพิพากษายกฟู องเพราะโจทก์ไม่มีอำานาจฟู อง จึงไม่อาจรับฟั ง ขูอเท็จจริงในคดีอาญาในปั ญหาที่ว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ มาเป็ นขูอ ยุติในคดีแพ่งไม่ไดู (ฎ. 4377/46) - คำาพิพากษาคดีอาญาฟั งว่า “ มีเหตุใหูจำาเลยเขูาใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาท เป็ นของจำาเลย ที่ดินพิพาทอาจเป็ นของจำาเลยก็ไดูและยังโตูเถียงสิทธิครอบครอง อย่้” ยังไม่ชัดแจูงว่าที่ดินพิพาทเป็ นของโจทก์ จึงรับฟั งเป็ นยุติในคดีแพ่งไม่ไดูว่าที่ ดินพิพาทไม่ไดูเป็ นของโจทก์ (ฎ. 8269/44) - คำาพิพากษาในคดีอาญาที่ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟั งว่าโจทก์ เป็ นเจูาของที่ดินตามฟู อง เท่ากับฟั งว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิใ์ นที่ดินซึ่งถือว่าศาลไดู วินิจฉั ยไวูโดยชัดแจูงแลูว (ฎ. 2286/29) - คำาพิพากษาคดีอาญาวินิจฉั ยว่า ที่ดินพิพาทยังโตูเถียงสิทธิกันอย่้ ไม่ทราบ แน่ ชัดว่าเป็ นของใคร ดังนี้ ถือว่ายังไม่ชัดแจูงว่าที่พิพาทเป็ นของใคร ขูอเท็จจริงดัง กล่าวจึงไม่ผ้กพันคดีแพ่ง (ฎ. 402/30) - ในคดีลก ั ทรัพย์มีประเด็นเพียงว่า จำาเลยเป็ นคนรูายลักขูาวหรือไม่ ประเด็นที่ว่านาขูาวเป็ นของผู้ใด ไม่ใช่ประเด็นโดยตรงในคดีอาญา ที่ศาลวินิจฉั ย ว่านาขูาวเป็ นของจำาเลยจึงไม่ผ้กพันคดีแพ่ง (ฎ. 789/98) - ขูอเท็จจริงในคดีอาญาฟั งว่าจำาเลยประมาท การวินิจฉั ยคดีแพ่งจึงตูองฟั ง ว่าจำาเลยประมาท แต่จำาเลยต่อสู้ในคดีแพ่งไดูว่าโจทก์ก็มีส่วนประมาทดูวย ไม่ขัด กับมาตรา 46(ฎ. 1369/14, 2594/23 ล 682/34) - ในคดีอาญาฟั งว่าจำาเลยขับรถประมาทฝ่ าไฟแดง ส่วนในคดีแพ่งฟู องว่า จำาเลยประมาทโดยขัยรถเร็ว เป็ นคนละประเภทกัน ตูองฟั งขูอเท็จจริงในคดีแพ่ง ใหม่ (ฎ. 2813/28) - โจทก์และจำาเลยเคยถ้กฟู องคดีอาญาเป็ นจำาเลยดูวยกัน ในคดีอาญาฟั งว่า โจทก์และจำาเลยต่างมีความผิดฐานทำารูายร่างกาย ในคดีแพ่งจึงตูองฟั งขูอเท็จจริง ว่าโจทก์จำาเลยต่างทำารูายกัน ไม่เป็ นละเมิด (ฎ. 2670/28) - คำาพิพากษาคดีอาญาตูองวินิจฉั ยไวูชัดแจูงดูวย จึงจะผ้กพันในคดีแพ่ง การที่คำาพิพากษาในคดีอาญาวินิจฉั ยว่าพยานหลักฐานโจทก์ตกอย่้ในความสงสัย ว่าจำาเลยเป็ นผู้กระทำาผิดหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั ้นใหูจำาเลย ถือว่ามิไดูวินิจฉั ยขูอเท็จจริงโดยชัดแจูง ไม่ผ้กพันคดีแพ่ง ตูองฟั งขูอเท็จจริงใหม่ (ฎ. 5178/38, 5018-9/33) - ถูาคำาพิพากษาคดีอาญาวินิจฉั ยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ ที่นำาสืบมา ไม่มีนำ้าหนั กรับฟั งลงโทษจำาเลยไดู ถือว่าเป็ นการวินิจฉั ยขูอเท็จจริงในคดีอาญา โดยชัดแจูงแลูวว่าจำาเลยไม่ไดูกระทำาผิด แมูจะมีขูอวินิจฉั ยของศาลดูวยว่าพยาน หลักฐานของโจทก์มีขูอน่ าสงสัย และยกประโยชน์แห่งความสงสัยใหูจำาเลยดูวย ก็ตาม ก็คงเป็ นเหตุผลที่แสดงเพิ่มเติมขึ้นเท่านั ้น แต่ในสาระสำาคัญศาลไดูวินิจฉั ย แลูวว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ไดูว่าจำาเลยกระทำาความผิด (ฎ. 1674/12 ป. , 4209/33) - ขูอเท็จจริงในคำาพิพากษาคดีอาญาฟั งว่าเหตุรถชนกันนั ้นอาจเกิดจาก ความประมาทของจำาเลยกับบุคคลอื่น ก็เป็ นไดูทัง้ สองทางเท่าๆกันและยก ประโยชน์แห่งความสงสัยใหูจำาเลยเป็ นคำาวินิจฉั ยที่ยังไม่ยุติว่าเป็ นอย่างไร ไม่ ผ้กพันคดีแพ่ง (ฎ. 928/07)
48
- ในคดีแพ่งจะรับฟั งขูอเท็จจริงตามคำาพิพากษาคดีอาญาก็แต่เฉพาะขูอ เท็จจริงที่เป็ นประเด็นสำาคัญ ถูาเป็ นเพียงประเด็นปลีกย่อย ตูองมีการสืบพยาน กันต่อไป เช่น ขูอเท็จจริงในคดีอาญาที่ว่าจำาเลยที่ 2 บุกรุกที่ดน ิ พิพาท ในคดีแพ่ง จำาตูองฟั งตามตามขูอเท็จจริงดังกล่าว ส่วนขูอที่ว่าจำาเลยบุกรุกเป็ นเนื้ อที่เท่าใด เป็ นประเด็นปลีกย่อย ตูองสืบพยานกันในคดีแพ่งกันต่อไป (ฎ. 695/40) - ผู้ท่ีจะถ้กขูอเท็จจริงในคดีอาญาผ้กพันในคดีแพ่ง ตูองเป็ นค่้ความในคดี อาญาเท่านั ้น ถูาผู้เสียหายเป็ นโจทก์ฟูองคดีอาญา ค่ค ้ วามในคดีอาญาก็ไดูแก่ โจทก์และจำาเลยนั ้นเอง แต่ถูาในคดีอาญาพนั กงานอัยการเป็ นโจทก์ ก็ตูองถือว่า พนั กงานอัยการดำาเนิ นคดีแทนผู้เสียหาย ขูอเท็จจริงในคดีอาญาจึงผ้กพันผู้เสีย หายกับจำาเลยในคดีแพ่ง แมูในคดีอาญาผู้เสียหายไม่ไดูเขูาร่วมเป็ นโจทก์ก็ตาม (ฎ. 2731/22, 6598/39) -การที่คำาพิพากษาในคดีอาญาฟั งว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แมูคค ่้ วาม อีกฝ่ ายหนึ่ งจะเป็ นผู้รับโอนที่ดินนั ้นมาจากจำาเลยในคดีอาญาก็ตาม ในคดีแพ่งก็ ตูองฟั งว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ เพราะโจทก์ไม่ใช่บค ุ คลภายนอกคดี(ฎ. 6501/44) - ในความผิดบางฐาน รัฐเท่านั ้นเสียหาย ราษฎรไม่อาจเป็ นผู้เสียหายไดู จึง ถือไม่ไดูว่าอัยการฟู องคดีอาญาดังกล่าวแทนผู้เสียหาย เช่นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ขูอเท็จจริงในคดีอาญา จึงไม่ผ้กพันคดีแพ่ง (ฎ. 5589/34 ป.) -ค่ค ้ วามในคดีอาญาที่จะตูองผ้กพันในคดีแพ่งนี้ แมูจะเป็ นค่ค ้ วามฝ่ าย เดียวกันก็ตอ ู งผ้กพันดูวย (ฎ. 2670/28) แต่คำาพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่ผ้กพันถึง บุคคลภายนอกดูวย เช่นนายจูาง บริษัทประกันภัย (ฎ. 2061/17, 1957/34, 296/47, 1425/39 ) - * การพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติใหูตูองถือขูอเท็จจริง ตามคดีแพ่ง (ฎ. 5695/44) และไม่มีกฎหมายบังคับใหูการพิพากษาคดีอาญาจะ ตูองถือขูอเท็จจริงในคดีอาญาเรื่องอื่น แมูจะมีม้ลกรณี เดียวกันหรือเกี่ยวขูองกัน ก็ตาม (ฎ. 2320/23) -** คดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องกับคดีอาญาซึ่งในการพิพากษาคดีแพ่ง ศาลจำาตูอง ถือขูอเท็จจริงเฉพาะในคำาพิพากษาคดีส่วนอาญาเท่านั ้น ไม่รวมถึงความเห็นของ พนั กงานสอบสวน แมูจะเป็ นขูอเท็จจริงที่ปรากฏในคดีส่วนอาญาก็ตาม (ฎ. 366/46) และตูองไม่รวมถึงขูอเท็จจริงในชัน ้ สอบสวนที่มีการเปรียบเทียบปรับ (ฎ. 176/38) - ถูามีการฟู องคดีแพ่งต่างหากต่อศาลที่มีอำานาจชำาระคดีแพ่ง การพิจารณา พิพากษาจึงแยกจากกัน ในคดีส่วนแพ่งจึงชอบที่จะงดการพิจารณาไวูเพื่อรอฟั งผล คดีส่วนอาญาก่อน (ฎ. 960/20) - คำาพิพากษาคดีส่วนอาญาฟั งว่าที่ดินพิพาทเป็ นของโจทก์ ขูอเท็จจริงในคดี แพ่งก็ตูองฟั งเช่นเดียวกัน และตูองฟั งว่าตูนไมูยืนตูนที่ปล้กในที่ดินพิพาทเป็ น ของโจทก์ดูวย เพราะเป็ นส่วนควบของที่ดิน (ฎ. 416/46) หมายจับ - เหตุท่ีจะออกหมายจับ 1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่า บุคคลใดน่ าจะไดูกระทำาความผิดอาญา ซึ่ง มีอัตราโทษจำาคุกอย่างส้งเกินสามปี ( กรณี นี้ไม่ตูองพิจารณาว่ามีเหตุอันควรเชื่อ
49
ว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือ ก่อเหตุราู ยประการอื่น ดูวยหรือไม่ ) 2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่า บุคคลใดน่ าจะไดูกระทำาความผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือ ก่อ เหตุรูายประการอื่น - สังเกตว่าหลักเกณฑ์การออกหมายจับทัง้ สองกรณี ขูางตูน ตูองประกอบ ไปดูวย “ตูองมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลนั ้นน่ าจะไดูกระทำาความผิดอาญา” ศาลจึงจะออกหมายจับใหู
การจัดการตามหมายจับ จะตูองจัดการตามเอกสาร หรือหลักฐานอย่างหนึ่ งอย่างใด ดังต่อไปนี้ 1) สำาเนาหมายอันรับรองว่าถ้กตูอง 2) โทรเลขแจูงว่าไดูออกหมายแลูว 3) สำาเนาหมายที่ส่งทางโทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิ กส์ ฯ การจัดการตามขูอ 2 ,3 ใหูส่งหมายหรือสำาเนาอันรับรองแลูวไปยังเจูา พนั กงานผู้จัดการตามหมายโดยพลัน ฎ. 3031/47 เมื่อดาบตำารวจ ป. พบ ส. ผู้ตูองหาซึ่งมีการออกหมายจับไวู แลูว ดาบตำารวจ ป. จับกุม ส. ไดู เป็ นการปฎิบัตห ิ นู าที่โดยชอบดูวยกฎหมาย เอกสารหมาย จ. 1 เป็ นสำาเนาที่ทำาขึ้นโดยการพิมพ์ และมีเจูาหนู าที่ลงลายมือชื่อ รับรองสำาเนาถ้กตูอง ซึ่งเป็ นวิธก ี ารจัดทำาสำาเนาเอกสารวิธีหนึ่ ง นอกจากการจัดทำา สำาเนาเอกสารดูวยการถ่ายจากตูนฉบับ ดังนั ้นแมูเอกสารหมาย จ.1 ไม่ไดูถ่าย จากตูนฉบับ และผู้ลงลายมือชื่อออกหมายไม่ไดูเป็ นผู้รับรอง ก็ไม่ทำาใหูเอกสาร จ.1 เป็ นสำาเนาที่ไม่ชอบ อันจะมีผลทำาใหูการจับกุม ส. ของ ดาบตำารวจ ป. เป็ นการ ปฏิบัติหนู าที่โดยมิชอบแต่ประการใด การจับโดยไม่ตูองมีหมายจับของศาล พนั กงานฝ่ ายปกครอง หรือตำารวจ จะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับ หรือคำาสัง่ ของศาลนั ้นไม่ไดู เวูนแต่ 1) เมื่อบุคคลนั ้นไดูกระทำาความผิดซึ่งหนู าตามมาตรา 80 ซึ่งไดูแก่ ความผิดซึ่ง เห็นกำาลังกระทำา หรือพบในอาการใด ซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่า เขากระทำาผิดมาแลูวสดๆ และในกรณี ความผิดตามที่ระบุไวูทาู ย ป.วิ.อาญา ใหู ถือว่าเป็ นความผิดซึ่งหนู า ดังนี้ 1.1 เมื่อบุคคลหนึ่ งถ้กไล่จับ ดัง่ ผู้กระทำาโดยมีเสียงรูองเอะอะ 1.2 เมื่อพบบุคคลหนึ่ งแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทำาผิด ในถิ่นแถวใกลูเคียงกับที่เกิดเหตุนั้น และมีส่ิงของที่ไดูจากการกระทำาผิด หรือมี เครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอ่ น ื อันสันนิ ษฐานไดูว่าไดูใชูในการกระทำาผิด หรือมีรอ ่ ง รอยพิรธ ุ เห็นประจักษ์ท่ีเสื้อผูาหรือเนื้ อตัวของผู้นั้น 2) เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะก่อเหตุรูายใหูเกิด ภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อ่ ืน โดยมีเครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุอย่าง อื่นที่อาจใชูในการกระทำาความผิด 3) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่า บุคคลใดน่ าจะไดูกระทำาความผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือ ก่อ เหตุรูายประการอื่น แต่มค ี วามจำาเป็ นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอใหูศาลออกหมายจับ บุคคลนั ้นไดู
4) เป็ นการจับผู้ตูองหาหรือจำาเลย ที่หนี หรือจะหลบหนี ในระหว่างถ้ก ปล่อยชัว่ คราว ตามมาตรา 117
50
- *** พนั กงานฝ่ ายปกครองหรือตำารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับไดู ถูา เป็ นความผิดซึ่งหนู า (มาตรา 78(1)) ถูาความผิดซึ่งหนู านั ้นกระทำาลงในที่ รโหฐานก็มีอำานาจเขูาไปคูนในที่รโหฐานไดูโดยไม่ตูองมีหมายคูน (มาตรา 92(2)) และถูาเป็ นกรณี ฉุกเฉิ นอย่างยิ่งอาจทำาการคูนในเวลากลางคืนไดู (มาตรา 96(2)) เช่น จ่าสิบตำารวจ ส. และรูอยตำารวจเอก ป. จับจำาเลยไดูขณะที่จำาเลยกำาลังขายวัตถุ ออกฤทธิ ์ ใหูแก่สิบตำารวจ ส. ผู้ล่อซื้อ ถือว่าเป็ นความผิดซึ่งหนู า ขณะนั ้นธนบัตร ที่ใชูล่อซื้ออย่้ท่ีจำาเลยและจำาเลยดิน ้ รนต่อสู้ ถูาปล่อยใหูเนิ่ นชูาจะนำ าหมายจับและ หมายคูนมาไดู จำาเลยอาจหลบหนี และพยานหลักฐานอาจส้ญหาย จึงเป็ นกรณี ท่ี ฉุกเฉิ นอย่างยิ่ง จ่าสิบตำารวจ ส. และรูอยตำารวจเอก ป. จึงมีอำานาจเขูาไปในบริเวณ บูานที่เกิดเหตุ อันเป็ นที่รโหฐานในเวลากลางคืนโดยไม่ตูองมีหมายคูน และมี อำานาจจับจำาเลยซึ่งเป็ นผู้กระทำาความผิดไดู โดยไม่ตูองมีหมายจับ ตามมาตรา 80,81 ประกอบมาตรา 92(2) และ 96(2) (ฎ. 4461/40) - *** เจูาพนั กงานตำารวจจับผู้กระทำาความผิดคนหนึ่ งไดูในขณะล่อซื้อยา เสพติดใหูโทษ ถือเป็ นความผิดซึ่งหนู า แลูวพาเจูาพนั กงานตำารวจไปจับกุมผู้ร่วม กระทำาความผิดในเวลาต่อเนื่ องทันที ถือว่าเป็ นการจับกุมผู้กระทำาความผิดซึ่งหนู า เช่นกัน เจูาพนั กงานตำารวจจึงมีอำานาจเขูาไปจับกุมผู้กระทำาความผิดคนหลังนี้ใน หูองพัก อันเป็ นที่รโหฐานไดูโดยไม่ตูองมีหมายจับ(มาตรา 78(1)ประกอบมาตรา 81 และไม่ตูองมีหมายคูน (มาตรา 92(2) ฎ.1259/ 42 - เจูาพนั กงานตำารวจซุ่มด้เห็นจำาเลยซื้อขายยาเสพติดใหูโทษแก่สายลับ จึง เขูาตรวจจับกุมจำาเลย พบยาเสพติดใหูโทษอีกจำานวนหนึ่ ง เป็ นกรณี ท่ีเจูาพนั กงาน ตำารวจพบเห็นการกระทำาความผิดฐานจำาหน่ ายและมียาเสพติดใหูโทษในความ ครอบครองเพื่อจำาหน่ าย ซึ่งเป็ นความผิด ซึ่งหนู า และการตรวจคูนจับกุมไดูกระทำา ต่อเนื่ องกัน เจูาพนั กงานตำารวจจึงมีอำานาจคูนและจับจำาเลยไดูโดยไม่ตูองมีหมาย จับและหมายคูน ตามมาตรา 78(1) ,92(2) (ฎ.1848/47) , 1328/44 - เจูาพนั กงานตำารวจเห็นจำาเลยโยนยาเสพติดใหูโทษออกไปนอกหนู าต่าง เป็ นกรณี เจูาพนั กงานพบจำาเลยกระทำาความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไวูในความ ครอบครองอันเป็ นความผิดซึ่งหนู า และไดูกระทำาลงในที่รโหฐาน เจูาพนั กงาน ตำารวจย่อมมีอำานาจจับจำาเลยไดูโดยไม่ตูองมีหมายจับหรือหมายคูน ตาม มาตรา 78(1) , 92(2) - เจูาพนั กงานตำารวจแอบด้เห็นคนเล่นการพนั นอย่้ในบูาน ถือว่าเป็ นความ ผิดซึ่งหนู า (ฎ. 698/16 ป.) - กรณี ท่ีวินิจฉั ยว่าไม่เป็ นความผิดซึ่งหนู า เช่น การทะเลาะวิวาท ซึ่งไดูยุติ ลงไปก่อนแลูว ไม่ใช่การกระทำาความผิดซึ่งหนู า เจูาพนั กงานตำารวจซึ่งมาภายหลัง เกิดเหตุ ไม่มอ ี ำานาจจับโดยไม่มีหมายจับ (ฎ. 4243/42) การจับโดยมีเหตุจำาเป็ นเร่งด่วน ตามมาตรา 78(3) การจับไม่ตูองมีหมายจับ กรณี มีเหตุท่ีจะออกหมายจับบุคคลนั ้น ตามมาตรา 66(2) แต่มีความจำาเป็ นอันเร่งด่วนที่ไม่อาจขอใหูศาลออกหมายจับบุคคลนั ้นไดู (มาตรา 78(3) เหตุออกหมายจับตามมาตรา 66(2) คือ กรณี เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่า บุคคลใดน่ าจะไดูกระทำาความผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะ
51
ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น กรณี หากมีความ จำาเป็ นเร่งด่วนไม่อาจขอใหูศาลออกหมายจับไดูทัน เจูาพนั กงานตำารวจฯ ก็มี อำานาจจับไดูโดยไม่ตูองมีหมายจับ และเมื่อมีการจับโดยชอบแลูว แมูจะมีเจูา พนั กงานตำารวจบางคนซึ่งไม่ไดูร่วมจับกุมดูวยมาร่วมลงลายมือชื่อในบันทึกการ จับกุม ก็ไม่ทำาใหูการจับกุมกลายเป็ นไม่ชอบดูวยกฎหมาย (ฎ. 2612/43) - แมูการจับกุมจะไม่ชอบดูวยกฎหมาย ก็ไม่ทำาใหูการสอบสวนที่ชอบดูวย กฎหมายเสียไปดูวย เพราะถือว่าเป็ นคนละขัน ้ ตอนกัน (ฎ. 1547/40 ล 2699/16)
การออกหมายขัง - ผู้ตูองหาที่ยังไม่ถ้กจับ ไม่อย่ใ้ นอำานาจ ควบคุมของพนั กงานสอบสวน หรือพนั กงานอัยการ จะขอใหูศาลออกหมายขังผู้ตูองหาในระหว่างการสอบสวน ไม่ไดู - คำาสัง่ ศาลที่ไม่อนุญาตใหูขังผู้ตูองหาต่อไป จะอุทธรณ์หรือฎีกาไม่ไดู (ฎ. 1125/96) - เมื่อครบกำาหนดเวลาตามที่ขอใหูศาลออกหมายขังตามมาตรา 87 แลูว เจูาพนั กงานตูองปล่อยตัวผู้ตูองหาไป ต่อมาถูาจะตูองฟู องผู้ตูองหาต่อศาล เจูา พนั กงานฯ มีอำานาจจับตัวมาเพื่อฟู องคดีต่อศาลไดู เพราะพนั กงานอัยการตูองนำ า ตัวจำาเลยมาส่งศาลในขณะยื่นฟู องดูวย (ฎ. 515/91 ป.) แต่จะควบคุมไดูเท่าที่ จำาเป็ นในการนำ าตัวส่งศาลเท่านั ้น จะควบคุมเพื่อเหตุอ่ ืน เช่น เพื่อการสอบสวน ต่อไปหรือรออัยการสัง่ ฟู อง ไม่ไดู - กรณี ศาลออกหมายขังผู้ตูองหาแลูว ผู้ตูองหาหลบหนี ไป ถือว่าผู้ตูองหา อย่้ในอำานาจของศาลแลูว ไม่ตูองนำ าตัวจำาเลยมาศาลในวันยื่นฟู อง (ฎ. 1735/14 ป.) - ก่อนประทับฟู องศาลไม่มีอำานาจออกหมายขังจำาเลย (มาตรา 88 ) (ฎ. 2756/24) - ** ในการยื่นฟู องจำาเลยที่ตูองขังต่อศาลศาลจะขังจำาเลยต่อไป หรือปล่อย ชัว่ คราวก็ไดู จำาเลยที่ถก ้ ขังในคดีหนึ่ ง เมื่อถ้กฟู องอีกคดีหนึ่ ง ศาลก็อาจออกหมาย ขังไดูอีก เพราะไม่มีบทกฎหมายใดหูามไวูว่าเมื่อจำาเลยถ้กขังในคดีหนึ่ งแลูวจะถ้ก ขังในคดีอ่ น ื อีกไม่ไดู(ฎ. 2766/40) การคูนในที่รโหฐาน (มาตรา 92) หูามมิใหูคูนในที่รโหฐาน โดยไม่มีหมายคูนคือคำาสัง่ ศาล เวูนแต่ พนั กงาน ฝ่ ายปกครองหรือตำารวจเป็ น ผูค ้ ูนและในกรณี ดังนี้ 1) มีเสียงรูอง... 2) ตูอง ซึ่งหนู า... 3) ว่าซุกซ่อน...4) จรเนิ่ นชูา.. 5) ถูาเจูาบูาน... - เมื่อเจูาพนั กงานไปทำาการตรวจคูนตามหมายคูนที่ศาลออกใหูตามคำาขอ ของเจูาพนั กงาน แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย “กระบวนการต่างๆในการคูนไดูเสร็จ สิน ้ ยุติไปแลูว” เจูาของบูานที่ถ้กคูนจะขอใหูศาลไต่สวนเพื่อทราบสาเหตุและหลัก ฐานอันเป็ นที่มาในการขอออกหมายคูนไม่ไดู หากเห็นว่าเป็ นการขอตรวจคูนโดย ไม่มีพยานหลักฐานก็ตูองไปว่ากล่าวเป็ นอีกคดีต่างหาก (ฎ. 270/43) -เมื่อเจูาพนั กงานตำารวจซุ่มด้เห็นจำาเลยซื้อขายยาเสพติดใหูโทษแก่สายลับ จึงเขูาตรวจจับกุมจำาเลย พบยาเสพติดใหูโทษอีกจำานวนหนึ่ ง เป็ นกรณี ท่ีเจูา พนั กงานตำารวจพบเห็นการกระทำาความผิดฐานจำาหน่ ายและมียาเสพติดใหูโทษใน
52
ความครอบครองเพื่อจำาหน่ าย ซึ่งเป็ นความผิดซึ่งหนู า และการตรวจคูนจับกุมไดู กระทำาต่อเนื่ องกัน เจูาพนั กงานตำารวจจึงมีอำานาจคูนและจับจำาเลยไดูโดยไม่ตูองมี หมายจับและหมายคูน ตามมาตรา 78(1) ,92(2) (ฎ.1848/47) , 1328/44 - เจูาบูานตามมาตรา 92(5) หมายถึงผู้เป็ นหัวหนู าของผู้ท่ีอย่้อาศัยในบูาน และรวมถึงค่้สมรสผู้เป็ นหัวหนู า ดูวย (ฎ. 1035/36) -*** กรณี ท่ีเจูาของที่รโหฐานยินยอมในการคูน แมูจะไม่มีหมายคูนก็ไม่ ทำาใหูการคูนไม่ชอบดูวยกฎหมาย (ฎ. 1164/46) - วิธก ี ารคูนในที่รโหฐาน ใหูพนั กงานผูค ้ ูนแสดงหมายคูน ถูาคูนไม่มีหมาย คูนตูองแสดงนามและตำาแหน่ ง และถูาเจูาของหรือผู้อย่้อาศัยฯ ไม่ยอมใหูคน ู ก็มี อำานาจใชูกำาลังเพื่อเขูาไป ในกรณี จำาเป็ นจะเกิดหรือทำาลายประต้บาู น ประต้เรือน หนู าต่าง รัว้ หรือสิ่งกีดขวางอย่างอื่นทำานองเดียวกันนั ้นก็ไดู (ฎ. 6403/45) - ผู้ตูองหากระทำาความผิดเล็กนู อย แลูวหลบหนี เขูาไปในบูานของตนซึ่งเจูา พนั กงานตำารวจรู้จักดีและไม่ปรากฏว่าผู้ตูองหาจะหลบหนี ไม่ถอ ื ว่าเป็ นเหตุ ฉุกเฉิ นอย่างยิ่งตามมาตรา 96(2) (ฎ. 187/07, 675/83) - การคูนที่รโหฐานตูองกระทำาต่อหนู าผู้ครอบครองสถานที่หรือบุคคลใน ครอบครัว จึงจะเป็ นการคูนที่ชอบดูวยกฎหมาย บุคคลในครอบครัวนั ้นแมูจะยัง ไม่บรรลุนิติภาวะ แตูถูาบุคคลนั ้นเขูาใจสาระสำาคัญของการกระทำา และมีความรู้สึก ผิดชอบเพียงพอ ก็เป็ นการคูนที่ชอบดูวยกฎหมาย (ฎ. 1455/44) แมูบค ุ คลใน ครอบครัวจะตาบอดทัง้ สองขูางและห้หนวก แต่มีบค ุ คลอื่นอีกหนึ่ งคนซึ่งไดูเชิญ มา ก็เป็ นการคูนที่ชอบดูวยกฎหมาย(ฎ. 395/19) - การคูนตัวบุคคลในที่สาธารณสถานตามมาตรา 93 หูามมิใหูคน ู ฯ เวูน แต่พนั กงานฝ่ ายปกครอง หรือตำารวจเป็ นผูค ้ ูน ในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคล นั ้นมีส่ิงของในความครอบครอง เพื่อจะใชูในการกระทำาความผิด หรือซึ่งไดูมาโดย การกระทำาความผิด หรือซึ่งมีไวูเป็ นความผิด สาธารณสถานก็ เช่น หูองโถงใน สถานการณ์คูาประเวณี ผิดกฎหมาย เวลาแขกมาเที่ยว เป็ นสาธรณสถาน ซึ่ง ประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเขูาไปไดู การคูนตัวบุคคลจึงไม่ตูองมีหมายคูน (ฎ. 883/20 ป.)
การขอปล่อยตัวผู้ถ้กควบคุมหรือขังโดยผิดกฎหมาย (มาตรา 90) เมื่อมีการอูางว่าบุคคลใดตูองถ้กควบคุมหรือขังในคดีอาญา หรือในกรณี อ่ ืน ใดโดยมิชอบดูวยกฎหมาย บุคคลดังต่อไปนี้ 1) ผู้ถก ้ คุมขังเอง 2) พนั กงาน อัยการ 3) พนั กงานสอบสวน 4) ผบ.เรือนจำาหรือพัศดี 5) สามี ภริยา 6) ญาติ ของผู้นั้น 7) บุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้ถ้กคุมขัง มีสิทธิย่ น ื คำารูองต่อศาล แห่งทูองที่ท่ีมีอำานาจพิจารณาคดีอาญาเพื่อขอใหูปล่อยตัว เมื่อศาลไดูรบ ั คำารูองแลูวใหูดำาเนิ นการไต่สวนฝ่ ายเดียวโดยด่วน ถูา เห็นว่าคำารูองนั ้นมีม้ล ศาลมีอำานาจสัง่ ผู้คุมขังใหูนำาตัวผู้ถก ้ คุมขังมาศาลโดยพลัน และถูาผู้คุมขังแสดงใหูเป็ นที่พอใจแก่ศาลไม่ไดูว่าการคุมขังเป็ นการชอบดูวย กฎหมาย ใหูศาลปล่อยตัวผู้ถ้กคุมขังไปทันที - * ถูาในระหว่างการไต่สวนคำารูอง ผูร้ ูองไดูรับการปล่อยตัวไปแลูว ดังนี้ไม่ จำาตูองไต่สวนคำารูองต่อไป การสอบสวน ( มาตรา 140-147) หูามมิใหูพนั กงานอัยการฟู องคดีใดต่อศาลโดยมิไดูมีการสอบสวนในความ ผิดนั ้นก่อน
53
- ในกรณี ขอแกูไขฟู องโดยเพิ่มฐานความผิด ก็ตูองมีการสอบสวนใน ฐานความผิดที่ขอเพิ่มเติมนั ้นดูวยเช่นกัน (ฎ. 750/94, 801/11) ถูาไดูมีการ สอบสวนฐานความผิดที่จะขอแกูฟูองแลูว ดังนี้ขอแกูไดูแมูศาลอนุญาตใหูแกูแลูว จะเกินอำานาจศาลก็ตาม (ฎ.993/27) การสอบสวนที่ไม่ชอบดูวยกฎหมายไดูแก่ 1. การสอบสวนที่กระทำาโดยพนั กงานสอบสวนที่มีอำานาจตามบทบัญญัติ มาตรา 18 และ 19 การสอบสวนที่กระทำาโดยพนั กงานสอบสวนที่ไม่มีอำานาจ ถือว่าไม่มี การสอบสวน พนั กงานอัยการย่อมไม่มีอำานาจฟู องตามมาตรา 120 (ฎ. 518/06, 726/83) หรือกรณี ท่ีพนั กงานสอบสวนผู้รับผิดชอบไม่เป็ นไปตามมาตรา 18 วรรคสาม ,19 วรรคสอง ก็ถือไม่ไดูว่ามีการสอบสวนคดีนั้น พนั กงานอัยการก็ ไม่มีอำานาจฟู องเช่นกัน(ฎ. 1974/39, 1350/82) 2. ในคดีความผิดต่อส่วนตัวพนั กงานสอบสวน จะทำาการสอบสวนไดูตูองมี การรูองทุกข์ตามระเบียบ ดังนั ้นหากไม่มค ี ำารูองทุกข์ หรือเป็ นคำารูองทุกข์ท่ีไม่ชอบดูวยกฎหมาย ถือว่าไม่มีการสอบสวน อัยการไม่มีอำานาจฟู อง (ด้ในเรื่องการรูองทุกข์) - ผู้ท่รี ูองทุกข์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ถือว่าความผิดต่อส่วนตัวนั ้นไม่มีการรูอง ทุกข์ตามกฎหมาย(ฎ.4648/28 ป.) - กรณี การกระทำาความผิดต่อหูางนิ ติบค ุ คล หูางหูุนส่วนจำากัด หรือ บริษัทจำากัด นิ ติบค ุ คลดังกล่าวเป็ นผู้เสียหาย ผู้แทนนิ ตบ ิ ุคคล เช่น ห่น ุ ส่วนผู้ จัดการ หรือกรรมการผู้จัดการ มีอำานาจรูองทุกข์แทน บุคคลอื่นแมูจะเป็ นหูน ุ ส่วน ผู้ถือหูุน ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎ. 610/15) การที่ผู้แทนนิ ติบค ุ คล หรือ ผู้จัด การน ไปรูองทุกข์ในนามส่วนตัว ถือว่าผู้เสียหายที่แทูจริงไม่ไดูรูองทุกข์ (ฎ. 5008/37, 1250/21 ป.) - การมอบอำานาจใหูรูองทุกข์ตูองมีความชัดเจนว่ามอบอำานาจใหูรูองทุกข์ แทน หนั งสือมอบอำานาจที่มีขูอความว่ามอบอำานาจใหูฟูองต่อศาล ไม่รวมถึงมอบ อำานาจใหูรูองทุกข์ (ฎ. 610/15) - การแจูงความไวูเป็ นหลักฐาน ไม่ใช่คำารูองทุกข์ (ฎ. 4906/43) - คำาใหูการในของผู้เสียหายชัน ้ สอบสวนถือว่าเป็ นคำารูองทุกข์ ไดู (ฎ. 1641/14) - ในความผิดที่เป็ นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท การที่ผู้เสียหาย รูองทุกข์โดยระบุฐานความผิดบางขูอหา ถือว่าผู้เสียหายไดูรูองทุกข์ในขูอหาอื่น ดูวย (ฎ. 2429/37) - เมื่อไดูรูองทุกข์โดยชอบแลูวแต่พนั กงานสอบสวนบกพร่องไม่ระบุขูอหา ใหูครบถูวน ก็ไม่ทำาใหูการรูองทุกข์เสียไป (ฎ. 2167/28) - หนั งสือรูองทุกข์ของผู้เสียหายหลายคน แต่ผู้เสียหายลงชื่อในหนั งสือ รูองทุกข์เพียงบางคน ถือว่าผูเ้ สียหายที่ไม่ไดูลงชื่อ ไม่ไดูรูองทุกข์ดูวย (ฎ. 2730/38) - บริษัทมอบอำานาจใหูผู้อ่ ืนไปรูองทุกข์ กรรมการที่ลงชื่อในหนั งสือมอบ อำานาจมีเพียงคนเดียว แต่ตามขูอบังคับของบริษัทตูองมีกรรมการรวม 2 คน ลงชื่อผ้กพันบริษัทไดู การมอบอำานาจดังกล่าว จึงไม่ผ้กพันบริษัทโจทก์ จึงถือว่า บริษัทโจทก์ไม่ไดูรูองทุกข์ในความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คฯ -**คำารูองทุกข์ไม่มีแบบ จึงไม่ตูองทำาเป็ นหนั งสือ (ฎ. 719/83) แมู พงส. จะยังไม่ลงบันทึกประจำาวันก็เป็ นคำารูองทุกข์ (ฎ. 2371/22)
54
- การรูองทุกข์ต่อเจูาพนั กงานที่ไม่มีอำานาจรับคำารูองทุกข์ เช่นรูองทุกข์ ต่อ รมต.มหาดไทย ถือว่าไม่มีการรูองทุกข์ - ถูาผู้เสียหายเป็ นเจูาพนั กงานตำารวจรูองทุกข์ตอ ่ ตนเอง ก็ถือว่า เป็ นการรูองทุกข์ท่ีชอบดูวยกฎหมายไดู (ฎ. 292/82) - การถอนคำารูองทุกข์ ที่จะทำาใหูสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไปตาม มาตรา 39(2) นั ้น ตูองกระทำาก่อนคดีถึงที่สุด (ฎ. 284-5/38, 5689/45) - ในความผิดที่เป็ นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีทัง้ ความผิด อันยอมความไดูและมิใช่ความผิดอันยอมความไดู เมื่อผู้เสียหายถอนคำารูองทุกข์ ก็มีผลทำาใหูสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไปเฉพาะความผิดอันยอมความไดู เท่านั ้น อัยการฯ ยังคงมีอำานาจดำาเนิ นคดีท่ีมิใช่ความผิดอันยอมความไดูต่อไป (ฎ. 1925/41) -จำาเลยกระทำาความผิดฐานรับของโจรทรัพย์ท่ีไดูมาจากความผิดฐาน ยักยอก แมูผู้รอ ู งทุกข์จะถอนคำารูองทุกข์ในความผิดฐานยักยอก จำาเลยก็คงมี ความผิดฐานรับของโจรอย่้ (ฎ. 6152/40) - สิทธิขอถอนคำารูองทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัวที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน ตกทอดแก่ทายาท ทายาทจึงขอถอนคำารูองทุกข์ไดู ( คร.751/41) - การที่อัยการฯ ไดูรับคำารูองขอถอนคำารูองทุกข์แลูว ถือเป็ นการถอน คำารูองทุกข์โดยชอบแลูว ศาลไม่ตูองสอบถามผูเ้ สียหายอีก (ฎ. 1505/42) - โจทก์ร่วมขอถอนฟู องคดีความผิดต่อส่วนตัวที่อัยการฯ เป็ นโจทก์ ถือว่าผู้เสียหายประสงค์จะถอนคำารูองทุกข์นั้นเอง (ฎ. 746/47) 3. การแจูงขูอหา การสอบสวนที่ชอบดูวยกฎหมาย ตูองมีการแจูงขูอเท็จจริงเกี่ยวกับ การกระทำาที่กล่าวหา และแจูงขูอหาแก่ผู้ตูองหา -ในความผิดที่เกี่ยวกับการกระทำาอันเดียวกัน หรือความผิดอันเกี่ยว พันกัน พนั กงานสอบสวนไม่จำาตูองแจูงขูอหาทุกกระทงความผิด ดังนี้เมื่อ พนั กงานสอบสวน ไดูแจูงบางขูอหา พนั กงานสอบสวนก็มีอำานาจสอบสวนไดูทุก ขูอหา (ฎ.5433/43, 3426/43) นอกจากนี้เมื่อไดูแจูงขูอหาหนึ่ งแลูว หากมีความ ผิดฐานอื่นปรากฏขึ้นในระหว่างการสอบสวน ก็ถือว่าไดูสอบสวนความผิดฐานนั ้น ดูวยแลูว (ฎ. 3288/35) เพราะการแจูงขูอหาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 134 ก็เพื่อ ประสงค์ใหูผู้ตูองหาทราบและเขูาใจ ถึงการกระทำาของตนว่าเป็ นความผิด หาไดู หมายความว่าพนั กงานสอบสวนจะตูองแจูงขูอหาใหูผู้ตูองหาทราบทุกกรรมเป็ น ความผิดไม่ เช่นเดิมแจูงขูอหาตามมาตรา 157, และ 165 มิไดูแจูงมาตรา 138 ดูวย แต่เมื่อสอบสวนแลูวปรากฏว่าการกระทำาเป็ นความผิดตามมาตรา 138 ก็ เรียกไดูว่า ไดูมีการสอบสวนในความผิดฐานนี้แลูว (ฎ. 6962/39) - แต่หากเป็ นความผิดที่ไม่เกี่ยวเนื่ องกัน หรือมีเนื้ อหาต่างกัน ตูองแจูง ทุกขูอหาดูวย เช่น หูุนส่วนผู้จัดการยักยอกทรัพย์ของหูาง พงส. แจูงขูอหาแก่ จำาเลยฐานยักยอก ไม่ไดูแจูงขูอหาตาม พ.ร.บ.กำาหนดความผิดเกี่ยวเนื่ องกับหูาง หูุนส่วนจดทะเบียน พ.ศ.2499 มาตรา 46 ฐานทำางบดุล ถือไม่ไดูว่า มีการ สอบสวนความผิดฐานนี้ (ฎ.1250/21 ป.) - **การไม่แจูงขูอหาใหูผู้ตูองหาทราบนี้ เป็ นบทบัญญัติหูามมิใหูอัยการ ฟู องคดีในขูอหาดังกล่าวต่อศาลเท่านั ้น ในกรณี ท่ีเป็ นขูอหาที่ศาลพิจารณาไดูความ ตามมาตรา 192 วรรคสาม แมูขูอหานั ้นพนั กงานสอบสวนจะมิไดูมีการแจูงขูอหา ไวู ศาลก็ลงโทษจำาเลยไดู เช่น โจทก์ฟูองขอใหูลงโทษฐานปลูนทรัพย์ แต่ขูอเท็จ จริงทีปรากฎในทางพิจารณาฟั งไดูว่าเป็ น รับของโจร เมื่อจำาเลยไม่หลงต่อสู้ ศาล
55
ลงโทษในความผิดฐานรับของโจรไดู ส่วนการที่พนั กงานสอบสวนมิไดูแจูงขูอ กล่าวหา และสอบสนจำาเลยในขูอหารับของโจร เป็ นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติหูามมิ ใหูพนั กงานอัยการนำ าคดีในขูอหาดังกล่าวมาฟู องต่อศาลเท่านั ้น (ฎ. 2129/37) - ในกรณี ท่ีผู้ตูองหาเป็ นนิ ตบ ิ ุคคล การแจูงขูอหาแก่กรรมการผู้มอ ี ำานาจ แมูไม่ไดูระบุว่าแจูงขูอหาดำาเนิ นคดีแก่นิติบุคคลดูวย ก็ถือว่าเป็ นการแจูงขูอหาแก่ นิ ตบ ิ ุคคลดูวยแลูว (ฎ. 935/37) - การสอบสวนพยานหลายคนพรูอมกัน และมีบค ุ คลอื่นนั่ งฟั งการสอบ สวยนอย่้ดูวย การสอบสวนก็ไม่เสียไป (ฎ. 9378/39) -การจับหรือการตรวจคูนที่ไม่ชอบดูวยกฎหมาย ไม่ทำาใหูการสอบสวน เสียไป เพราะเป็ นคนละขัน ้ ตอนกัน (ฎ. 99/41, 1547/40) - การสอบสวน กฎหมายไม่ไดูบังคับว่าจะตูองสอบสวนมากนู อยเพียงใด (ฎ. 4037/42) พนั กงานสอบสวนจึงไม่จำาตูองสอบพยานโจทก์ทุกปาก (ฎ. 1907/94) แต่การสอบสวนผู้ตอ ู งหา เป็ นส่วนสำาคัญและจำาเป็ นของการสอบสวน หากยังมิไดูมีการสอบสวนผู้ตูองหา ก็ยังถือไม่ไดูว่ามีการสอบสวนคดีนั้น ดังนั ้น พนั กงานอัยการย่อมไม่มอ ี ำานาจฟู อง (ฎ. 99/81, 545/96) และการสอบปากคำาใน ฐานะพยาน ไม่เป็ นการแจูงขูอหาและสอบสวนจำาเลยในขูอหานั ้น ( 2449/24) - การสอบสวนของ พงส. ในขณะที่ไม่ไดูเขูาเวรปฏิบัติหนู าที่พงส. ก็ถือ เป็ นกาสอบสวนโดยชอบ (ฎ. 3096/36) -การทำาแผนที่เกิดเหตุ เป็ นส่วนหนึ่ งของการสอบสวน แต่ถึงหากกระทำา ไปไม่ชอบเพราะไม่ตรงกับขูอเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็ไม่มีผลกระทบถึงกับเป็ นเหตุ ใหูการสอบสวนเสียไป (ฎ. 4546/36) - การที่ล่ามแปลคำาใหูการในชัน ้ สอบสวนโดยมิไดูสาบาน หรือปฏิญาณ ตน ไม่ทำาใหูการสอบสวนไม่ชอบ (ฎ. 5476/37) 128)
กรณี ท่ีพนั กงานสอบสวนมีอำานาจใหูเจูาพนั กงานอื่นทำาแทนไดู (มาตรา
1) ส่งประเด็นไปใหู พงส. อื่นทำาการสอบสวนในเรื่องที่อย่น ้ อกเขตอำานาจ ของตน 2) การสอบสวนในเรื่องเล็กนู อย ซึ่งอย่้ในอำานาจของตน ไม่ว่าทำาเองหรือ จัดการตามประเด็น มีอำานาจสัง่ ใหูผู้ใตูบังคับบัญชาทำาแทนไดู - ตามมาตรา 128 ตูองไม่ใช่เรื่องสำาคัญๆ ถูาเป็ นเรื่องเล็กนู อยมีอำานาจ สัง่ ใหูผู้ใตูบังคับบัญชาทำาแทนไดู เช่น การแจูงขูอหาเพิ่มเติมแก่จำาเลย (ฎ. 3031/47) การสอบสวน( มาตรา 130-147) - ใหูเริ่มทำาการสอบสวนโดยไม่ชักชูา จะทำาที่ใด เวลาใด แลูวแต่จะเห็น สมควรโดยผู้ตูองหาไม่จำาตูองอย่้ดูวย มาตรา 130) แต่ผู้ตูองหาก็มีสิทธิไดูรับการ สอบสวนดูวยความรวดเร็ว ต่อเนื่ อง และเป็ นธรรม (มาตรา 134) อย่างไรก็ตาม การไม่ปฎิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการสอบสวนนั ้น เป็ นการสอบสวนไม่ชอบ ดังนั ้นแมูพนั กงานสอบสวนเพิ่งเริ่มทำาการสอบสวน หลังจากไดูรับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาแลูวเป็ นปี ก็ไม่ทำาใหูการสอบสวนนั ้น ไม่ชอบ (ฎ. 430/46) -การรวบรวมพยานหลักฐานของพนั กงานสอบสวน( มาตรา 131) ตูอง รวบรวมเพื่อพิส้จน์ใหูเห็นความ บริสุทธิข์ องผู้ตูองหาดูวย
56
มาตรา 158(5) ฟู องตูองระบุการกระทำาทัง้ หลายที่อูางว่าจำาเลยไดู กระทำาผิด 1. การกระทำาทัง้ หลายที่อูางว่าจำาเลยไดูกระทำาผิด หมายถึง การกระทำาที่ เป็ นองค์ประกอบความผิด ดังนั ้น ฟู องที่ขาดองค์ประกอบความผิดจึงเป็ นฟู องที่ ไม่ชอบดูวยกฎหมาย 1.1 ขูอเท็จจริงที่ไม่ใช่การกระทำาทัง้ หลายที่อาู งว่าจำาเลยไดูกระทำาผิด ไม่ตูองบรรยายมาในฟู อง เช่น - ขูอเท็จจริงที่ว่าจำาเลยเคยตูองคำาพิพากษาถึงที่สุดใหูจำาคุกและ ศาลรอการลงโทษจำาคุกไวู และจำาเลยกระทำาผิดคดีนี้ ในเวลาที่ศาลรอการลงโทษ ไวู ศาลสามารถรับฟั งขูอเท็จจริงที่ไดูจากการสืบเสาะและเป็ นดุลพินิจจะใชูอำานาจ บวกโทษที่รอไวูหรือไม่ก็ไดู ไม่เกินคำาขอ ฎ.1081/44) - ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 143 ขูอที่ว่าการที่จำาเลยจะไดูไป ติดต่อหรือจ้งใจเจูาพนั กงานหรือไม่ เป็ นเพียงพฤติการณ์แห่งการกระทำาของจำาเลย เท่านั ้น หาใช่องค์ประกอบแห่งความผิดไม่ ( ฎ.960/34) 1.2 การบรรยายฟู องที่เป็ นขูอเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบความผิดนั ้น ไม่ไดูเคร่งครัดว่าจะตูองใชูถูอยคำาตามที่บัญญัติไวูในกฎหมายทุกประการ การ บรรยายฟู องที่ใชูถูอยคำาอื่นแต่มค ี วามหมายเช่นเดียวกัน ก็เป็ นฟู องที่สมบ้รณ์ เช่น - ในความผิดฐานฉู อโกง หรือ ลักทรัพย์ การที่บรรยายฟู องว่า “บังอาจ” ไม่มีคำาว่าโดยทุจริต ก็เป็ นการฟู องที่สมบ้รณ์ (ฎ.6711/39) หรือในความผิดฐาน บุกรุกไม่ไดูบรรยายว่าจำาเลยเขูาไปโดยไม่มีเหตุอน ั สมควร แต่บรรยายฟู องคำาว่า “บังอาจบุกรุก” ย่อมทำาใหูเขูาใจไดูว่าจำาเลยกระทำาการตามที่กฎหมายบัญญัติว่า เป็ นความผิดแลูว (ฎ. 306/17 ) -ในความผิดฐานข่มขืนกระทำาชำาเรา ตาม ป.อ.มาตรา 276 นั ้น แมูจะไม่ไดูระบุว่าผู้เสียหายเป็ นหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของจำาเลยก็ตาม แต่ถูาไดูระบุว่า ผู้เสียหายยังเป็ นนางสาว ย่อมเขูาใจไดูว่าผู้เสียหายเป็ นหญิงที่ยังไม่มีสามี และมิไดู เป็ นภริยาของผู้ใดรวมทัง้ จำาเลยดูวย (ฎ.352/07) - ในความผิดอันยอมความไดู ไม่ตูองบรรยายฟู องว่าผู้เสียหายไดูรูองทุกข์
โดยชอบดูวยกฎหมายแลูว (ฎ.5155/41)
- การฟู องคดีอาญาดูวยวาจาต่อศาลแขวง โดยใหูศาลบันทึกใจความแห่ง
คำาฟู องไวูเป็ นหลักฐาน จึงไม่ตูอง ปฎิบต ั ิตาม วิ.อาญา มาตรา 158 โดยเคร่งครัด
เป็ นหนู าที่ของศาลจะตูองสอบถามรายละเอียดพอที่จำาเลยจะเขูาใจขูอหาไดู (
57
ฎ.7712/44) - ความผิดฐานหมิ่นประมาท โจทก์ตอ ู งบรรยายฟู องดูวยว่าขูอความตอนใด ทำาใหูโจทก์เสียชื่อเสียง ถ้กด้หมิ่น ถ้กเกลียดชังอย่างไร จึงจะเป็ นฟู องที่สมบ้รณ์ (ฎ.3050/44) - ความผิดฐานโกงเจูาหนี้ ตูองบรรยายว่าจำาเลยไดูกระทำาโดยรู้ว่าเจูาหนี้ของ ตนไดูใชูหรือจะใชูสิทธิเรียกรูองทางศาลใหูชำาระหนี้ จึงจะเป็ นฟู องที่สมบ้รณ์ (ฎ.288/2515) ดังนั ้นการบรรยายฟู องว่าจำาเลยกระทำาไปทัง้ ที่คาดหมายไดูว่า โจทก์ตูองฟู องบังคับคดี หรือบรรยายฟู องแต่เพียงว่ามีสิทธิท่ีจะใชูสิทธิเรียกรูอง เป็ นคำาฟู องไม่ชอบ ไม่สมบ้รณ์ ขาดสาระสำาคัญ ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐาน โกงเจูาหนี้ตาม ป.อาญา มาตรา 350 (ฎ.184/41) - ความผิดฐานเบิกความเท็จตูองบรรยายว่า ขูอความที่เป็ นเท็จนั ้นเป็ นขูอ สำาคัญในคดีและขูอสำาคัญนั ้นเป็ นอย่างไร ถูาไม่บรรยายเป็ นฟู องไม่สมบ้รณ์ (ฎ.19/32,2862/39) และตูองบรรยายมาดูวยว่า จำาเลยเบิกความเท็จนั ้นมีขูอหา ความผิดตามกฎหมายใดดูวย(ฎ.274/46) - ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ตูองบรรยายใหูปรากฎขูอความว่า เป็ นเอกสารที่เป็ นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ ระหว่างโจทก์กับจำาเลยอย่างไรบูาง (ฎ.2954/47) - ความผิดฐานปลูนทรัพย์ ตูองบรรยายว่าการใชูกำาลังประทุษรูายนั ้น กระทำาอย่างไร และตูองปรากฎดูวยว่า การใชูกำาลังประทุษรูายนั ้นเพื่อใหูความ สะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อการอย่างใดอย่างหนึ่ ง ตาม ป.อาญา ม.339 อันเป็ นส่วนหนึ่ งของความผิดฐานปลูนทรัพย์ (ฎ.1033/27)
- ความผิดฐานทำารูายร่างกายเป็ นเหตุใหูไดูรับอันตรายสาหัส ตูองบรรยาย
ดูวยว่าไดูรับอันตรายสาหัสอย่างไร ตาม ป.อ.มาตรา 297
(ฎ. 6416/34)
- ความผิดฐานยักยอก ตูองบรรยายว่า จำาเลยเบียดบังทรัพย์อย่างไร (ฎ.
2352/21) เช่น บรรยายว่าเบียดบังเอาไปเป็ นประโยชน์ส่วนตัว( ฎ. 3274/27) แต่ไม่จำาตูองบรรยายว่าเอาไปโดยทุจริต (ฎ. 2722/49)
- ความผิดเกี่ยวกับการกระทำาโดยประมาท ตูองบรรยายว่ากระทำาประมาท
อย่างใด (ฎ.1616/08)
เช่น บรรยายว่ายางลูอหนู าดูานขวามือของรถยนต์ท่ีขับ
อย่้ในสภาพเก่า และบรรยายว่าจำาเลยขับรถลงเนิ นดูวยความเร็วส้ง (ฎ.1832/34)
- ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจาร ไม่ตูองบรรยายว่าจำาเลยกระทำา
58
อนาจารผู้เยาว์อย่างไร (ฎ.6632/40) แต่ถาู ฟู องเฉพาะขูอหาอนาจาร ตูอง บรรยายว่าอนาจารอย่างไร - ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ ตาม ป.อาญา ม. 220 ตูองระบุดูวยว่า การกระทำาของจำาเลยน่ าจะเป็ นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของบุคคลดูวย (ฎ.5364/36) - ความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คฯ ตูองบรรยายว่า เป็ นการชำาระหนี้ท่ีมีอย่้จริงและ
บังคับไดูตามกฎหมาย เพราะเป็ นองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา 4 (ฎ.7371/44)
แมูไม่ไดูระบุว่าเป็ นหนี้ค่าอะไรก็เป็ นคำาฟู องที่ชอบดูวยกฎหมาย
(ฎ.2602/43) แต่ถูาบรรยายว่าออกเช็คเพื่อชำาระหนี้ค่าสินคูาใหูแก่โจทก์ แมูไม่ ไดูระบุว่าออกเช็คเพื่อชำาระหนี้ท่ีมีอย่้จริงและบังคับไดูตามกฎหมายก็เป็ นฟู องที่ ชอบดูวยกฎหมายเพราะคำาว่าชำาระหนี้ค่าสินคูา ย่อมแสดงอย่้ในตัวว่าเพื่อชำาระหนี้ ที่มีอย่้จริงและบังคับไดูตามกฎหมาย(ฎ. 7262/40) แต่ถาู เป็ นเรื่องออกเช็คชำาระ หนี้เงินกู้ยืม ตูองระบุดูวยว่าเป็ นหนี้ท่ีมีอย่้จริงและบังคับไดูตามกฎหมาย จึงจะ ชอบ (ฎ.4591/45) การบรรยายฟู องขัดกัน เป็ นฟู องเคลือบคลุม การบรรยายฟู องเกี่ยวกับการกระทำาทัง้ หลายที่อูางว่าจำาเลยกระทำาผิดจะ ตูองไม่ขัดกัน ถูาขัดกันเป็ น “ ฟู องเคลือบคลุม” ดังนั ้น ฟู องที่ขัดกันแมูจำาเลย ใหูการรับสารภาพก็ลงโทษจำาเลยไม่ไดู - บรรยายฟู องว่าจำาเลยเบิกความเป็ นพยานชัน ้ สอบสวนอย่างหนึ่ ง แลูว เบิกความต่อศาลอีกอย่างหนึ่ งแตกต่างกันและขัดกันซึ่งเป็ นความเท็จ แต่มิไดู บรรยายว่าอย่างไหนจริงหรือความจริงเป็ นอย่างไร ยากที่จำาเลยจะต่อสู้คดีไดูถ้ก ตูอง เป็ นฟู องเคลือบคลุม (ฎ.1806/23)
- บรรยายฟู องว่ากระทำาผิดฐานรับของโจรก่อนที่ทรัพย์นั้นจะถ้กลักไป หรือถ้กยักยอกไป เป็ นฟู องที่ขัดต่อสภาพหรือลักษณะความผิด เป็ นฟู องเคลือบ คลุม ( ฎ.2370/44)
เวลากระทำาผิด ( มาตรา 158(5)) ฟู องตูองระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเวลากระทำาผิด เวลากระทำาผิดหมายถึง เวลากลางวัน กลางคืนรวมทัง้ วัน เดือน ปี ที่เกิดเหตุ (ฎ.512/93) - เวลากระทำาผิดตูองเป็ นเวลาก่อนที่โจทก์ฟูอง ถูาเวลากระทำาผิดตามฟู อง เป็ นเวลาภายหลังการฟู อง เป็ นการบรรยายฟู องเวลาในอนาคต เป็ นฟู องที่ไม่ชอบ
แมูจำาเลยจะใหูการรับสารภาพศาลก็ตูองยกฟู อง (ฎ.128/43) เนื่ องจากเป็ นการ รับสารภาพตามฟู องที่ไม่เป็ นความผิด - การบรรยายวันเวลาเกิดเหตุ ทัง้ ก่อนฟู องต่อเนื่ องไปจนหลังฟู องติดต่อ
59
กัน เป็ นฟู องไม่ชอบดูวยกฎหมาย (ฎ.985/24) เพราะเป็ นการกล่าวคลุมไปถึง เวลาที่ยังมาไม่ถึงซึ่งเป็ นไปไม่ไดู ทำาใหูจำาเลยไม่อาจเขูาใจขูอหาตามฟู องไดูดี - ฟู องระบุแต่เพียงเดือนและปี ท่ีความผิดเกิด หรือบรรยายฟู องเพียงว่า… เมื่อตูนเดือน… โดยไม่ไดูระบุวันที่ หรือเวลาที่กระทำาผิดใหูแน่ นอน เป็ นคำาฟู องที่ ไม่สมบ้รณ์ (ฎ. 848/45)
- การบรรยายฟู องความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค ฯ ตูองบรรยายวันที่ธนาคาร ปฎิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งเป็ นวันกระทำาผิด หรือถูาหากการบรรยายทำาใหูเขูาใจไดูว่า วันใดธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงิน ก็สมบ้รณ์แลูว แมูไม่ไดูระบุว่าปฎิเสธวันใด ถือว่าเป็ นคำาฟู องที่ระบุเวลาทำาผิดแลูว (ฎ.2234/41) และแมูไม่ไดูระบุว่าเกิดเวลา กลางวันหรือกลางคืน ก็เป็ นฟู องที่ชอบดูวยกฎหมาย (ฎ. 2041/41) เพราะ ธนาคารย่อมปฎิเสธการจ่ายเงินในเวลากลางวันอันเป็ นเวลาทำาการของธนาคาร -บางคดีเวลากลางวันกลางคืนไม่เป็ นสาระสำาคัญแห่งการกระทำาผิด เช่น ความผิดฐานเล่นการพนั นสลากกินรวบ(ฎ. 1626/06(ป))
-ฟู องฐานยักยอกระบุแต่เพียงวันที่รับมอบทรัพย์ และเวลาที่ตูองคืนทรัพย์
ไม่ระบุวันเวลาที่ยก ั ยอก เป็ นฟู องที่ไม่สมบ้รณ์(ฎ.1773/05)
ต่อมามีคำา
พิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/06 วินิจฉั ยว่า การระบุวันมอบทรัพย์กับวันตรวจสอบ
บัญชีพบโดยไม่ระบุวันเวลายักยอก ก็เป็ นฟู องที่สมบ้รณ์แลูว ( ฎ. 1330/06) หมายเหตุ 1. ฟู องที่ระบุเวลากระทำาผิดโดยประมาณก็ใชูไดู เช่นบรรยายฟู องว่า วันที่กระทำาผิด เป็ นประมาณวันที่ 12 กรกฎาคม 2528 (ฎ. 5021/33) เพราะ เป็ นรายละเอียเกี่ยวกับเวลาพอสมควรเท่าที่จำาเลยจะเขูาใจขูอหาไดูดีแลูว 2. ถูาโจทก์บรรยายวันเวลากระทำาผิดมาแลูว แมูคลาดเคลื่อนไป จากขูอเท็จจริง ก็ถือว่ามิใช่ขูอสาระสำาคัญ เมื่อจำาเลยไม่หลงขูอต่อสู้ ศาลก็ลงโทษ จำาเลยไดู (ฎ. 1208/42)
3. วันที่รู้เรื่องความผิดไม่ใช่องค์ประกอบความผิด ไม่ใช่รายละเอียด เกี่ยวกับเวลาที่จำาเลยกระทำาผิด โจทก์ไม่ไดูบรรยายมา ศาลสัง่ ใหูแกูฟูอง ไดู(ฎ.5059/40) สถานที่กระทำาความผิด
ฟู องตูองระบุสถานที่ท่ีเกิดการกระทำาผิด โดยปกติจะระบุว่าเหตุเกิดที่ ตำาบล อำาเภอและจังหวัดใด ก็เป็ นการเพียงพอแลูว โดยคำาว่าสถานที่ หมายถึง สถานที่เกิดการกระทำาผิด หาไดูระบุไวูโดยเฉพาะเจาะจงว่าอย่้หม่้ใด ตำาบลใด เสมอไปไม่ เพียงแต่กล่าวอูางไวูพอสมควรที่จะทำาใหูจำาเลยเขูาใจขูอหาไดูดีก็ เป็ นการเพียงพอแลูวและแมูจะไม่ระบุว่าเหตุเกิดตำาบลอำาเภอ จังหวัดใด แต่ถาู จำาเลยเขูาใจไดูว่าเหตุเกิดที่ใดก็ใชูไดู ฎ.951/09(ป))
60
- เหตุเกิดมี 2 แห่ง บรรยายฟู องที่เกิดเหตุมาเพียงแห่งเดียวถือว่าเป็ นฟู อง ที่สมบ้รณ์ (ฎ.4378/28)
- *** คำาฟู องไม่ไดูบรรยายสถานที่เกิดเหตุ แต่ถูาเอกสารทูายฟู อง ไดู บรรยายเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุไวูดูวยก็ถือไดูว่าคำาฟู องบรรยายสถานที่เกิดเหตุ แลูวโดยอนุโลม เช่น หมายขังซึ่งกล่าวในคำาฟู องถือเป็ นส่วนหนึ่ งของ คำาฟู อง เมื่อหมายขังไดูระบุสถานที่เกิดเหตุไวูดูวย แมูคำาฟู องจะไม่ไดูบรรยายว่าเหตุเกิดที่ ใด ก็ถือว่าเป็ นฟู องที่กล่าวถึงสถานที่เกิดเหตุแลูว (ฎ.1222/46) บุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวขูอง - ในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตูองระบุว่าทรัพย์นั้นเป็ นอะไรดูวย (ฎ.
1360/09 ป) และตูองระบุช่ ือเจูาทรัพย์ดูวยจึงจะเป็ นฟู องที่ชอบดูวยกฎหมาย (ฎ. 338/89) แต่ถูาอ่านคำาฟู องแลูวพอเขูาใจไดูว่าทรัพย์เป็ นของใคร ดังนี้เป็ นฟู องที่
สมบ้รณ์(ฎ.1809/12) แต่ถูาเป็ นกรณี ท่ีไม่อาจทราบตัวเจูาทรัพย์ท่ีแน่ นอนไดู ก็ ไม่จำาเป็ นตูองระบุช่ ือเจูาทรัพย์ เช่นระบุเพียงว่าเป็ นทรัพย์ของหญิงไม่ทราบชื่อ อายุ ประมาณ 35 ปี ก็สมบ้รณ์แลูว (ฎ. 3977/30, 1433/30) - ** ความผิดฐานชิงทรัพย์ ประกอบดูวยความผิดลักทรัพย์โดยใชูกำาลง
ประทุษรูาย โดยมีม้ลเหตุจ้งใจตาม (1)-(5) แห่ง ป.อาญา มาตรา 339 การ
บรรยายฟู องตูองบรรยายองค์ประกอบความผิดทัง้ มาตรา 334 และ 339 ประกอบ กัน โดยตูองบรรยายว่าทรัพย์ท่ีถ้กลักเอาไปเป็ นของผู้อ่ ืน หรือที่ผู้อ่ ืนเป็ นเจูาของ รวมอย่้ดูวย และผู้ท่ีถ้กประทุษรูายเป็ นใคร ดูวย - ความผิดฐานฉู อโกง ตูองระบุดูวยว่าจำาเลยไดูทรัพย์อะไรไปจากผู้เสียหาย (ฎ.352/36)
- ความผิดฐานฉู อโกงประชาชน ไม่จำาตูองบรรยายฟู องว่า ประชาชนผู้ถ้ก
หลอกลวงเป็ นผู้ใดบูาง (ฎ. 3624/31) เพราะเป็ นเพียงรายละเอียดที่จะตูอง นำ าสืบในชัน ้ พิจารณา - ฟู องยักยอกเงิน แต่ไม่ไดูระบุแน่ ชัดว่าเป็ นเงินจำานวนเท่าใด เป็ นฟู อง เคลือบคลุม
- ฟู องกรรโชก ตูองระบุช่ อ ื ผู้ถ้กข่้เข็ญดูวย (ฎ. 1078/92)
61
- ความผิดฐานปลอมเอกสารไม่จำาตูองระบุว่าผูท ้ ่ีหลงเชื่อเป็ นเป็ นผู้ใด (ฎ. 1403/36)
- ความผิดฐานแจูงความเท็จต่อเจูาพนั กงานตูองระบุช่ ือเจูาพนั กงานนั ้น ดูวย ไม่เช่นนั ้นเป็ นฟู องเคลือบคลุม (ฎ. 894-7/06)
- ฟู องคดีหมิ่นประมาท ไม่ตูองบรรยายฟู องว่าบุคคลที่สามเป็ นใคร - ฟู องว่าจำาเลยกับพวกกระทำาฐานปลูนทรัพย์ โดยไม่ไดูระบุว่าพวกของ
จำาเลยมีก่ค ี น เป็ นฟู องไม่สมบ้รณ์ ลงโทษฐานปลูนทรัพย์ไม่ไดู (ฎ.1331/93) ผลของการยกฟู อง เพราะฟู องไม่สมบ้รณ์ตาม มาตรา 158(5)
1. กรณี ฟูองใหม่ไม่ไดู (เพราะถือว่ามีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิด
ที่ฟูองแลูว ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(4)) เช่น
- ฟู องที่บรรยายขาดองค์ประกอบความผิด ( แต่อุทธรณ์ไดู ตามมาตรา 161 วรรคสอง)
- ฟู องไม่ไดูบรรยายเวลาหรือสถานที่กระทำาผิด
2. กรณี ท่ีฟูองใหม่ไดู
ไม่เป็ นฟู องซำา้ เพราะยังไม่ถือว่ามีคำาพิพากษาเสร็จ
เด็ดขาดในความผิดที่ฟูองแลูว ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(4) เช่น
- ฟู องเคลือบคลุม , ฟู องที่บรรยายเวลากระทำาผิดในอนาคต, ฟู องที่ไม่มี ลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้พิมพ์ ฟู องตูองอูางมาตราที่กฎหมายบัญญัติเป็ นความผิด มาตรา 158(6) ตามมาตรา 158(6) บังคับไวูว่าตูองอูางมาตราในกฎหมายที่บัญญัติว่าการ กระทำาเช่นนั ้นเป็ นความผิด ดังนี้หากเป็ นบทบัญญัติในเรื่องอื่น เช่น ตัวการร่วม ความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม การขอใหูบอกโทษ การขอใหูริบของกลาง เหล่านี้ไม่ใช่กรณี ท่ีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำาเช่นนั ้นเป็ นความผิด จึงไม่จำาตูอง อูางมาตราในคำาฟู องดูวย - มาตรา 158(6) บังคับเฉพาะใหูตูองอูางมาตราเท่านั ้น ไม่ตูองระบุวรรค (ฎ. 9239/47)
- ฟู องขูอหาปลอมและใชูเอกสารสารปลอม คำาขอทูายฟู องใหูลงโทษตาม
62
มาตรา 264,268 โดยมิไดูระบุช่ ือกฎหมาย ก็เขูาใจไดูว่าเป็ นประมวลกฎหมาย อาญา (ฎ. 1700/14 ป.)
- พ.ร.บ.เช็คฯ แมูจะมีหลายมาตรา แต่มบ ี ทบัญญัติความผิดเพียงมาตรา เดียว แมูคำาฟู องระบุเพียงชื่อกฎหมาย ไม่ไดูระบุเลขมาตราซึ่งบัญญัติว่าการกระทำา เช่นนั ้นเป็ นความผิด ก็เป็ นฟู องที่ชอบดูวยกฎหมาย - มาตรา 58 ป.อาญา ไม่ใช่บทบัญญัติว่าการกระทำาเช่นนั ้นเป็ นความ ผิด ดังนั ้นศาลจึงนำ าโทษที่ศาลรอลงโทษไวูในคดีกอ ่ นมาบวกโทษในคดีท่ีฟูองไดู โดยไม่ตูองมีคำาขอหรือระบุเลขมาตราดังกล่าวไวูในคำาฟู องดูวย (ฎ. 2143/45) - อูางบทมาตราเดิมซึ่งมีการแกูไขแลูว แต่ไม่ไดูอูางกฎหมายที่แกูไขถือว่า
อูางกฎหมายซึ่งบัญญัติเป็ นความผิดตามมาตรา 158(6) แลูว (ฎ. 706/16)
อูางบทลงโทษแต่ไม่อูางบทหูาม ก็ใชูไดู (ฎ.652/40) อูางบทหูามแต่ไม่อูางบท ลงโทษก็ใชูไดูเช่นกัน (ฎ.1971/41)
ฟู องตูองมีลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟูอง มาตรา 158(7) - ** หากไม่มี ถูาศาลชัน ้ ตูนไม่สัง่ ใหูแกูไข หรือมีการแกูไขตาม มาตรา
163,164 เมื่อปรากฎในชัน ้ อุทธรณ์ ศาลตูองยกฟู อง เพราะล่วงเลยเวลาที่แกูไข แลูว (ฎ. 229/90, 1564/46)
- กรณี ลายมือชื่อโจทก์ในศาลชัน ้ ตูนนั ้น โจทก์ตูองลงลายมือชื่อเอง
ทนายความไม่มีอำานาจลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในฟู องคดีอาญา (ฎ.607/14) แต่ ถูาเป็ นชัน ้ อุทธรณ์หรือฎีกา ทนายความลงลายมือชื่อในอุทธรณ์หรือฎีกาไดู แต่ ตูองมีใบแต่งทนายความในสำานวนดูวย (ฎ. 62/94) จะถือเอาคำาเบิกความของ โจทก์ในการพิจารณาคดีเป็ นการใหูสัตยาบันเพื่อใหูฟูองสมบ้รณ์ไม่ไดู ยกเวูนคดี แพ่ง (ฎ.300/07) เพราะโจทก์ชอบที่จะยื่นคำารูองขอแกูไขเพิ่มเติมคำาฟู อง ตาม มาตรา 163,164 ไดูอย่้แลูว
- โจทก์มอบอำานาจใหูผู้อ่ น ื ฟู องคดีแทน ผู้รับมอบอำานาจก็ลงชื่อเป็ นโจทก์ ไดู - กรณี ลายมือชื่อผู้เรียงนั ้น โจทก์เป็ นผู้เรียงคำาฟู องเองไดู แต่ถูาใหูผู้อ่ น ื เรียงคำาฟู องใหู ผู้นั้นตูองเป็ น ผู้ไดูรับอนุญาตใหูเป็ นทนายความเท่านั ้น (ฎ.3397/47)
- ** กรณี ทนายความลงลายมือชื่อในช่องผู้อุทธรณ์ แต่ไม่มีใบแต่ง
63
ทนายความ ศาลย่อมมีอำานาจสัง่ ใหูแกูไขใหูถ้กตูองไดูตามมาตรา 208(2)ประกอบ มาตรา 225 (ฎ.7903/47) แต่ถาู ศาลไม่สัง่ ใหูแกูไขแต่ปรากฎว่าต่อมาไดูมีการ ตัง้ ใหูทนายความคนดังกล่าวเป็ นทนายความใหูมีอำานาจอุทธรณ์ฏีกาไดู ก่อนมี การยื่นฎีกา ถือว่ายื่นฟู องอุทธรณ์โดยชอบแลูว การบรรยายฟู องในกรณี ขอใหูเพิ่มโทษ มาตรา 159
- กรณี ท่ีโจทก์จะขอใหูเพิ่มโทษจำาเลยนั ้น จะตูองกล่าวมาในฟู องหรือจะยื่น คำารูองขอเพิ่มเติมก็ไดู กล่าวคือ โจทก็ตอ ู งกล่าวมาในฟู อง และตูองมีคำาขอใหูเพิ่ม โทษจำาเลยดูวย (ฎ.5965/46) - สำาหรับการขอใหูนับโทษต่อ ไม่มีบทกฎหมายดังเช่นการขอใหูเพิ่มโทษ
ตาม 159 จึงไม่จำาตูองกล่าวมาในคำาฟู อง แต่ตูองมีคำาขอใหูนับโทษต่อมาทูาย
ฟู องดูวย (ฎ. 2003/47) และโจทก์อาจขอใหูนับโทษต่อโดยยื่นคำารูองขอใหูแกูไข เพิ่มเติมฟู องก็ไดู แต่ตูองก่อนศาลชัน ้ ตูนพิพากษา ตามมาตรา 163,164 เท่านั ้น จะเพิ่มเติมหลังจากที่ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาแลูวไม่ไดู -** กรณี ท่ีมีการรวมพิจารณาพิพากษาเขูาดูวยกัน ถูาตามคำาขอทูายฟู อง ของคดีท่ีมีการรวมพิจารณา ไม่ไดูขอใหูนับโทษติดต่อกันไวู ก็จะนั บโทษต่อกันไม่ ไดู เพราะเป็ นการพิพากษาเกินคำาขอตามมาตรา 192 (ฎ.4569/28) การตรวจคำาฟู อง มาตรา 161
ถูาฟู องไม่ถ้กตูองศาลสัง่ ไดู 3 ประการ คือ สัง่ ใหูแกูฟูอง ยกฟู อง หรือไม่ ประทับฟู อง 1. กรณี สัง่ ใหูแกูฟูอง เช่น ฟู องไม่ลงชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้พิมพ์ หรือ ไม่ระบุ สถานที่เกิดเหตุ ทัง้ นี้ตูองแกูไขก่อนประทับฟู อง ถูาหลังประทับฟู องแลูวแกูไข โดยการแกูไขฟู อง ตาม 163,164 ซึ่งตูองก่อนศาลชัน ้ ตูนพิพากษาเท่านั ้น ถูา ล่วงเลยเวลาดังกล่าว ตูองยกฟู อง 2. กรณี ท่ีตูองยกฟู อง เช่น ฟู องที่ขัดกัน(เคลือบคลุม) ขาดองค์ ประกอบความผิด ไม่มีอำานาจฟู อง การกระทำาตามฟู องที่ไม่เป็ นความผิด ฟู องที่ลงชื่อโดยบุคคลไม่มีอำานาจ ( จำาย่อๆ ว่า ขัด ขาด อำานาจ ไม่ผิด ) และด้ มาตรา 185 ดูวย
3. ไม่ประทับฟู อง เช่น ฟู องผิดศาล
หมายเหตุ คำาสัง่ ตามมาตรา 161 ไม่ใช่คำาสัง่ ระหว่างพิจารณา จึง อุทธรณ์ไดูทันที
ดี)
64
ไต่สวนม้ลฟู อง มาตรา 162,165 (เกี่ยวกับความสงบฯ และศีลธรรมอัน - พนั กงานอัยการและผู้เสียหายต่างฟู องจำาเลยในขูอหาเดียวกัน (อัยการ
ฟู องก่อน) คดีท่ีผู้เสียหายฟู องก็ไม่จำาตูองไต่สวนม้ลฟู องตามมาตรา 162(1) (ฎ 4007-8/30)
- คดีท่ีราษฎรเป็ นโจทก์ฟูองคดีอาญา ศาลตูองไต่สวนม้ลฟู องก่อนเสมอ มิ ฉะนั ้นเป็ นการมิชอบ แต่ศาลมิไดูสัง่ ใหูไต่สวนม้ลฟู องก็จะถือเป็ นเหตุยกฟู อง โจทก์ไม่ไดู เพราะไม่ใช่การกระทำาของโจทก์ ศาลส้งจึงตูองพิพากษายกคำา พิพากษาของศาลชัน ้ ตูน ใหูศาลชัน ้ ตูนไต่สวนม้ลฟู องและพิจารณาต่อไป (ฎ.477/08) - ถูาตามคำาฟู องของโจทก์ปรากฏชัดแจูงว่าการกระทำาของจำาเลยไม่เป็ น ความผิด ศาลก็พิพากษายกฟู องไดูเลย โดยไม่ตูองไต่สวนม้ลฟู องก่อน (ฎ.2722/41) เหตุผลอย่ท ้ ่ีมาตรา 185
- มาตรา 165 บัญญัติใหูคดีซ่ึงพนั กงานอัยการเป็ นโจทก์ ในวันไต่สวน ม้ลฟู องใหูจำาเลยมา หรือคุมตัวมาศาล และศาลฎีกาไดูวินิจฉั ยว่า ในวันที่ย่ น ื ฟู อง อัยการโจทก์ก็ตูองนำ าตัวจำาเลยมาศาลดูวย มิฉะนั ้นศาลจะไม่ประทับฟู อง (ฎ.1133/93)
- กรณี ท่ีจำาเลยอย่้ในอำานาจศาลแลูว โจทก์ฟูองไดูโดยไม่ตูองนำ าตัว จำาเลยมาศาล เช่น ศาลไดูออกหมายขังจำาเลยไวูระหว่างสอบสวน พนั กงาน อัยการยื่นฟู องโดยไม่ไดูมีการเบิกตัวจำาเลยมาศาล ศาลก็ตูองประทับฟู องไวู พิจารณา ในกรณี เช่นนี้หากจำาเลยไดูหลบหนี ไปก่อนโจทก์ย่ ืนฟู อง ก็ถือว่าจำาเลย อย่้ในอำานาจศาลแลูวเช่นกัน พนั กงานอัยการฟู องคดีไดูโดยไม่ตูองส่งตัวจำาเลย มาพรูอมกับฟู อง(ฎ.1735/14 ป.) - กรณี ท่ีจำาเลยถ้กขังตามหมายของศาลในคดีหนึ่ ง แต่ไดูหลบหนี ไปจาก เรือนจำาก่อนฟู อง ถือว่าจำาเลยอย่้ในอำานาจศาลเฉพาะคดีท่ีศาลออกหมายขังไวู เท่านั ้น ไม่ถือว่าจำาเลยอย่้ในอำานาจศาลในคดีอาญาเรื่องอื่นดูวย ดังนั ้นหาก พนั กงานอัยการจะฟู องจำาเลยในคดีอ่ น ื ก็ตูองนำ าตัวจำาเลยมาศาลดูวย (ฎ.1020/08) - กรณี ท่ีพนั กงานอัยการไดูขอใหูศาลออกหมายปล่อยผู้ตูองหาไปใน ระหว่างสอบสวนหรือศาลปล่อยตัวจำาเลยไปเพราะขังครบกำาหนดเวลาตาม
65
กฎหมายแลูว ไม่ถอ ื ว่าจำาเลยอย่้ในอำานาจศาล (ฎ. 1133/93) กรณี นี้ถือว่าผู้ ตูองหาอย่้ในอำานาจของอัยการแลูว - กรณี ท่ีศาลอนุญาตใหูปล่อยตัวชัว่ คราวตามที่ผู้ตูองหาหรือจำาเลยรูองขอ ถือว่าจำาเลยหรือผู้ตูองหาอย่ใ้ นอำานาจของศาลแลูว โจทก์จึงฟู องจำาเลยในม้ลกรณี เดียวกันหรือคดีอาญาเรื่องอื่นต่อศาลเดียวกันไดูโดยไม่ตูองนำ าตัวจำาเลยมาในวัน ฟู อง (ฎ. 1497/96 ป.) เรื่องนี้ตูองปรากฏดูวยว่าจำาเลยหรือผู้ตูองหานั ้นไม่ไดูหนี ประกัน (ฎ.6462/43)
- ชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู อง จำาเลยไม่มีสิทธินำาพยานมาสืบ แต่ถาู เป็ นเอกสารที่ ทนายจำาเลยใชูประกอบการถามคูานพยานโจทก์และพยานโจทก์ยอมรับแลูว จำาเลยมีสิทธิส่งเอกสารนั ้นประกอบคำาพยานโจทก์ไดู ไม่ใช่การนำ าพยานเขูาสืบใน ชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู อง (ฎ.904/22) พยานหลักฐานในชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู อง - ในชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู อง โจทก์จะอูางแต่คำาเบิกความของพยานในคดีแพ่ง มาเป็ นพยาน โดยไม่นำามาเบิกความในคดีอาญา ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบใหู ฟั งไดูว่าคดีมีม้ล (ฎ.604/92) -
การแถลงรับขูอเท็จจริงกันก็ถอ ื ว่าเป็ นการไต่สวนม้ลฟู องแลูว
(ฎ.1050/14) -
คำาพยานในชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู อง ค่ค ้ วามอาจอูางเป็ นพยานหลักฐานใน
ชัน ้ พิจารณาไดู(ฎ.2644/35) เพราะเป็ นพยานหลักฐานที่น่าจะพิส้จน์ไดูว่าจำาเลยมี ผิดหรือบริสุทธิ ์ ส่วนจะรับฟั งไดูเพียงใดนั ้นเป็ นดุลพินิจที่ศาลจะพิจารณาวินิจฉั ย อีกชัน ้ หนึ่ ง การแกูไขคำาฟู อง คำาใหูการ มาตรา 163,164 1. ตูองมีเหตุอันควร
เช่น
- อูางว่าพิมพ์ฟูองตกไป เพราะความบกพร่องของผู้พิมพ์หรือผู้ตรวจฟู อง
(ฎ.1377/13)
- การขอเพิ่มเติมวันเวลากระทำาผิด เพราะมิไดูกล่าวมาในฟู อง โดยอูางว่าผู้ พิมพ์ฟูอง พิมพ์ตกไป - ขอแกูไขนำ ้ าหนั กยาเสพติดใหูโทษของกลาง โดยอูางว่าพนั กงาน สอบสวนส่งรายงานการตรวจพิส้จน์มาใหูผิดพลาด กรณี ไม่ถือว่ามีเหตุอันควร เช่น โจทก์ขอเพิ่มเติมฟู องโดยเพิ่มคนอื่นเขูา มาเป็ นจำาเลยดูวย
66
หมายเหตุ ฟู องที่ขาดองค์ประกอบความผิด จะมาขอแกูไขเพิ่มเติมเพื่อ ใหูครบองค์ประกอบ ไม่ไดูเพราะถือว่าเป็ นฟู องที่ไม่ถ้กตูอง มาแต่ตูน จึงจะมาขอ แกูไขเพิ่มเติมเพื่อใหูฟูองถ้กตูองขึ้นมาหาไดูไม่ - พนั กงานอัยการโจทก์ขอแกูไขเพิ่มเติมคำาขอส่วนแพ่งไดู ใหูจำาเลย คืนหรือใชูราคาทรัพย์ตามมาตรา 43 ไดูก่อนมีคำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูน ( ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163,164 ไม่ใช่ ป.วิ.พ มาตรา 180)
2. ถูาจะทำาใหูจำาเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี หูามมิใหูศาลอนุญาต การแกูไขหรือเพิ่มเติมฐานความผิด ไม่ว่าจะทำาในระยะใดก่อนมีคำา พิพากษาศาลชัน ้ ตูน มิใหูถือว่าทำาใหูจำาเลยเสียเปรียบ เวูนแต่จำาเลยจะหลงขูอต่อสู้ - การแกูไขหรือเพิ่มเติมฐานความผิดนั ้น ตูองมีการสอบสวนก่อน
ถูายังไม่มีการสอบสวนจะขอแกูไม่ไดู (ฎ. 801/11) และถูาไดูมีการสอบสวน ฐานความผิดที่จะขอแกูฟูองแลูว ดังนี้ขอแกูไดูแมูศาลอนุญาตใหูแกูแลูวจะเกิน อำานาจของศาลก็ตาม (ฎ.993/27) เมื่ออนุญาตใหูแกูแลูวแต่เกินอำานาจ ศาลชัน ้ ตูนนั ้นตูองพิพากษายกฟู อง และสามารถฟู องใหม่ไดูภายในอายุความ เพราะ ถือว่าศาลยังมิไดูมีคำาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟูอง ไม่ตูองหูามตาม มาตรา 39(4) - การแจูงขูอหาเพิ่มเติมจากขูอหาเดิมที่มีการสอบสวนแลูว ก็ถือว่า เป็ นส่วนหนึ่ งของการสอบสวน กรณี มเี หตุอันสมควรใหูโจทก์แกูไขเพิ่มเติมฟู อง ไดู (ฎ.1746/35) เช่น เดิมแจูงขูอหาตาม ป.อ.มาตรา 300 ปรากฎต่อมาใน ระหว่างพิจารณาว่า ผู้บาดเจ็บตาย เมื่อ พงส. ไดูแจูงขูอหาเพิ่มเติมว่าทำาผิดตาม ป.อ. มาตรา 291 ถือว่าสอบสวนมาแลูว ดังนั ้นระหว่างพิจารณาของศาลชัน ้ ตูน จึงขอแกูไขเพิ่มเติมฟู องไดู(ขณะฟู องไม่อย่้ในวิสัยที่จะฟู อง ตามมาตรา 291 ไดู เมื่อ พงส. แจูงขูอหาเพิ่มเติมก็เป็ นการสอบสวนแลูว อัยการโจทก์จึงขอแกูฟูอง ก่อนศาลตูนตัดสินไดู)
- ***การแกูไขคำาฟู องที่ทำาใหูจำาเลยเสียเปรียบหูามมิใหูศาลอนุญาต แต่ถูาเป็ นการขอแกูไขเพิ่มเติมระหว่างไต่สวนม้ลฟู อง จำาเลยยังไม่อย่้ในฐานะ จำาเลย ไม่ทำาใหูจำาเลยเสียเปรียบ (ฎ.2902/47) อย่างไรถือว่าทำาใหูจำาเลยหลงต่อสูค ้ ดี เช่น - กรณี ท่ีจำาเลยต่อสู้โดยถือเอาวันเวลาที่โจทก์ฟูองเป็ นหลักสำาคัญใน
การต่อสู้คดี โดยใหูการปฏิเสธว่าวันเวลาเกิดเหตุจำาเลยไม่ไดูอย่้ในที่เกิดเหตุ(อูาง ฐานที่อย่)้
ดังนี้การที่โจทก์ขอแกูไขเวลากระทำาผิดย่อมทำาใหูจำาเลยหลงต่อสู้คดี
ไดู (ฎ.76/01) แต่ถูาจำาเลยใหูการปฎิเสธลอยๆว่าไม่ไดูกระทำาผิดตามฟู อง โดย ไม่ไดูอูางฐานที่อย่้โจทก์ขอแกูวันเวลาทำาผิดไดู ไม่ถือว่าทำาใหูจำาเลยหลงต่อสู้คดี (ฎ.203/40)
67
- โจทก์ขอแกูไขฐานความผิดในขูอเท็จจริงที่เกี่ยวกับฐานะและ อาชีพของจำาเลยซึ่งเป็ นขูอเท็จจริงที่จำาเลยทราบดีอย่้แลูว ไม่ทำาใหูจำาเลยเสียเปรียบ และหลงต่อสู้และถือว่ามีเหตุอน ั สมควรใหูโจทก์แกูไขไดู 3. กำาหนดเวลาขอแกูไขเพิ่มเติมฟู องและคำาใหูการ - โจทก์ย่ ืนคำารูองขอแกูหรือเพิ่มเติมฟู องไดู “ก่อนมีคำาพิพากษาศาล ชัน ้ ตูน” ส่วนจำาเลยยื่นคำารูองขอแกูหรือเพิ่มเติมคำาใหูการไดูก่อนศาลพิพากษา ของศาลชัน ้ ตูน ดังนั ้นแมูจะเสร็จการสืบพยานโจทก์ จำาเลย และนั ดฟั งคำา พิพากษาแลูว ก็ยังขอแกูหรือเพิ่มเติมคำาใหูการไดู (ฎ.2714/26) - การขอใหูนับโทษต่อภายหลังฟู องแลูว จะตูองกระทำาโดยแกูหรือเพิ่มเติม
คำาฟู อง จึงตูองขอแกูไขหรือเพิ่มเติมก่อนศาลชัน ้ ตูนพิพากษาตาม มาตรา 163 (เพราะ ถือว่า เป็ นการแกูไขฟู อง เพิ่มเติมฟู อง ซึ่งตูองกระทำาก่อนศาลชัน ้ ตูน พิพากษาจะขอมาในคำาแกูฏีกา หรือในชัน ้ ฎีกา ไม่ไดู )
- การขอแกูหรือเพิ่มเติมคำาใหูการ อาจกระทำาโดยขอถอนคำาใหูการเดิม และใหูการใหม่ก็ไดู แต่ศาลจะอนุญาตตามคำารูองก็ต่อเมื่อมีเหตุอันสมควรดูวย เช่น เดิมจำาเลยใหูการรับสารภาพ ขอแกูคำาใหูการเป็ นใหูการปฎิเสธเพราะเขูาใจผิด ศาลเห็นว่าเป็ นการแกูไขหลังจากมีทนายความแลูว หรือศาลเห็นว่าเป็ นคดีความ ผิดอันยอมความไดู แต่ผู้เสียหายไม่ไดูรูองทุกข์ไวู หรือจำาเลยไดูคัดคูานรายงาน การสืบเสาะของพนั กงานคุมประพฤติไวู เหล่านี้ศาลฏีกา ถือว่าเป็ นกรณี ท่ีมเี หตุ อันสมควรอนุญาตใหูแกูไดู - ***กรณี ท่ีจำาเลยยื่นคำารูองขอแกูไขคำาใหูการในชัน ้ อุทธรณ์หรือฎีกา จากการปฏิเสธเป็ นใหูการรับสารภาพ แมูจะพูนกำาหนดเวลาตามมาตรา 163 วรรคสองแลูว ซึ่งศาลไม่อาจอนุญาตไดูก็ตาม ก็ถือว่าจำาเลย ไดูยอมรับขูอเท็จจริง โดยไม่ไดูโตูแยูงขูอที่ศาลล่างพิพากษาว่าจำาเลยกระทำาผิดตามฟู อง กรณี จึงไม่มี ประเด็นตูองวินิจฉั ยต่อไปใน ชัน ้ ฎีกาว่าจำาเลยกระทำาผิดตามฟู องหรือไม่ (ฎ. 7531/46)
- หากจำาเลยขอถอนคำาใหูการเพื่อประวิงคดี ถือว่าไม่มีเหตุอันสมควร
ศาลไม่อนุญาต(ฎ.6214-16/44) โจทก์ไม่มาศาลตามกำาหนดนั ด มาตรา 166
68
กำาหนดนั ด หมายถึงกำาหนดนั ดไต่สวนม้ลฟู องและนั ดพิจารณาทุกนั ด ของโจทก์ เพราะโจทก์มีหนู าที่ปฏิบัติต่อศาลโดยตูองนำ าพยานเขูาสืบจนกว่าจะหมด พยานโจทก์ ถูาโจทก์ไม่มา ศาลตูองยกฟู อง - แต่ถูาโจทก์ไดูย่ ืนคำารูองว่าไม่ติดใจสืบพยานโจทก์ท่ีเหลืออีกต่อไป โจทก์ไม่มีหนู าที่ตูองนำ าพยานเขูาสืบอีก (ไม่มีหนู าที่ปฏิบัติต่อศาลอีก) การที่โจทก์ ไม่มาศาลในวันนั ดต่อมา ศาลจะยกฟู องตาม 166 ไม่ไดู
- เมื่อโจทก์ไม่มาศาลในวันนั ดพิจารณา ศาลก็ตูองยกฟู องตาม 166 โดยไม่ตูองคำานึ งว่าในวันดังกล่าวจำาเลยจะมาศาลหรือไม่ และจำาเลยจะอย่้ในอำานาจ ศาลหรือไม่ หรือการส่งหมายนั ดและสำาเนาคำาฟู องใหูจำาเลยยังไม่ครบกำาหนดเวลา ตามกฎหมาย (ฎ. 2085/47) - *** วันนั ดไต่สวนม้ลฟู องและวันนั ดพิจารณา ตูองเป็ นการนั ดเพื่อสืบ
พยานโจทก์ และโจทก์ตูองทราบนั ดโดยชอบดูวย ( ถูาไม่ชอบ ไม่ตูองรูองขอใน 15 วัน เพื่อใหูยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ แต่สามารถอุทธรณ์ไดูทันที)
- วันกำาหนดนั ดเพื่อฟั งกำาหนดวันพิจารณาหรือกำาหนดนั ด
พรูอมเพื่อฟั งผลคดีแพ่ง ไม่ใช่กำาหนดนั ด ตามมาตรา 166
(ฎ.1570/15)
- วันนั ดฟั งประเด็นกลับไม่ใช่วันสืบพยาน (ฎ.890/16)
- ศาลสัง่ นั ดพิจารณา แต่ไม่เป็ นกิจจะลักษณะว่านั ดพิจารณาอะไร เมื่อ โจทก์ไม่มาศาล ก็ยังไม่เป็ นเหตุใหูศาลยกฟู อง (ฎ.1331/42)
- วันที่โจทก์ย่ ืนฟู อง ไม่ใช่วันพิจารณา แมูโจทก์ไม่มา ก็จะยกฟู องตาม
166 ไม่ไดู
- *** คำาว่าโจทก์ หมายความรวมถึง ทนายโจทก์ หรือผู้รบ ั มอบอำานาจจาก โจทก็ดูวย ดังนั ้นถูาผูร้ ับมอบอำานาจจากโจทก์ไดูมาขอเลื่อนคดีแลูว แต่ศาลไม่ อนุญาตใหูเลื่อนก็ถือไดูว่าโจทก์มาศาลแลูว ศาลจะสัง่ ยกฟู อง ตาม 166 ไม่ไดู (ฎ. 1739/28) กระบวนพิจารณาต่อไปมี 2 กรณี คือ กรณี ท่ียังไม่มีการสืบ พยานโจทก์ไวูเลย ศาลก็งดสืบพยานโจทก์และพิพากษายกฟู องโจทก์โดยถือว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ กรณี ท่ีสองมีการสืบพยานโจทก์ไปบูางแลูว ศาลตูองสัง่ งดสืบพยานที่เหลือและพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ท่ีสืบไปแลูว ถูาเป็ นใน ชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู องศาลตูองวินิจฉั ยว่าพยานโจทก์ท่ีนำาเขูาไต่สวนม้ลฟู องไปแลูวพอ ฟั งว่าคดีมีม้ลหรือไม่ ถูาเป็ นชัน ้ พิจารณาก็ตูองนั ดสืบพยานจำาเลยต่อไป แลูว พิพากษาตามพยานหลักฐานที่มีอย่้ (ฎ. 145/36) - *** คดีท่ีผู้เสียหายเขูาร่วมเป็ นโจทก์กับพนั กงานอัยการ โจทก์ร่วมและ ทนายโจทก์ร่วมมีฐานะเป็ นโจทก์ร่วมเช่นกัน ดังนี้ถูาพนั กงานอัยการโจทก์ไม่มา
ศาลตามกำาหนดนั ด คงมาแต่โจทก์ร่วมหรือทนายโจทก์ร่วม จะถือว่าโจทก์ไม่มา ศาลตามกำาหนดนั ดพิจารณาและยกฟู องตาม 166 ไม่ไดู (ฎ . 1519/97)
69
- กรณี มีการรวมพิจารณาคดีหลายสำานวนเขูาดูวยกัน โดยโจทก์แต่ละ สำานวนเป็ นคนละคนกัน ปั ญหาว่าโจทก์มาตามกำาหนดนั ดหรือไม่ คงพิจารณาเป็ น รายสำานวน (ฎ.5461/34)
- ** การที่โจทก์หรือทนายโจทก์มาศาลแลูว แต่ไม่เขูาหูองพิจารณา ก็ถือว่า ไม่มาศาลตามกำาหนดนั ด การขอใหูยกคดีขึน ้ ไต่สวนม้ลฟู องใหม่ หรือยกคดีขึน ้ พิจารณาใหม่ มาตรา 166 และ 181 +166 -กรณี ท่ีโจทก์ไม่มาตามกำาหนดนั ด ศาลก็ตูองยกฟู องโดยอูางเหตุผลว่า
โจทก์ขาดนั ดตามมาตรา 166 วรรคหนึ่ ง จะยกฟู องโดยอูางเหตุว่าโจทก์ไม่มี พยานมาสืบไม่ไดู อย่างไรก็ดีแมูศาลจะยกฟู องโดยอูางเหตุว่าโจทก์ไม่มีพยานมา สืบก็ตาม ก็ถือว่าเป็ นการยกฟู องตามมาตรา 166 วรรคหนึ่ งนั่ นเอง โจทก์จึงมี
สิทธิขอใหูยกคดีขึ้นไต่สวนม้ลฟู องใหม่หรือพิจารณาใหม่ตาม มาตรา 166 วรรค หนึ่ ง ไดู (ฎ.772/28)
-เมื่อโจทก์ย่ ืนคำารูองขอใหูยกคดีพิจารณาใหม่ เช่น โจทก์ไม่เขูาหูอง พิจารณาโดยอูางว่าโจทก์ไดูมาศาลตามกำาหนดนั ดแลูวเพียงแต่โจทก์ยังติดการ ดำาเนิ นคดีอาญาอื่น ซึ่งศาลไดูนัดพิจารณาไวูในวันเวลาเดียวกันก่อน หากเป็ น ความจริงก็พอถือไดูว่ามีเหตุผลสมควรที่จะยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลชัน ้ ตูนชอบ ที่จะไต่สวนคำารูองของโจทก์(เพื่อพิจารณาว่ามีเหตุอันควรจริงหรือไม่กอ ่ น) แลูวมี คำาสัง่ ในเรื่องนี้ตอ ่ ไป มิใช่สัง่ เลยไปถึงว่าเป็ นเรื่องโจทก์ไม่มีพยานมาสืบซึ่งเป็ น คนละกรณี กน ั เช่น ฎ. 4366/47 *** ฎ. 4366/47 การที่ศาลชัน ้ ตูนพิพากษายกฟู องโจทก์ เพราะเห็นว่า
โจทก์ไม่มาศาลในวันนั ดสืบพยานโจทก์นั้น เป็ นการยกฟู องตามมาตรา 166 วรรค แรก ประกอบ 181 ดังนั ้นเมื่อขูอเท็จจริงในสำานวนปรากฎว่าศาลชัน ้ ตูน ยกฟู องโจทก์และโจทก์มายื่นคำารูองขอใหูศาลชัน ้ ตูนเพิกถอนคำาพิพากษาดังกล่าว ซึ่งมีผลเท่ากับเป็ นการขอใหูยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ โดยยื่นคำารูองภายใน 15 วัน นั บแต่ศาลชัน ้ ตูนพิพากษายกฟู อง ทัง้ คำารูองของโจทก์ก็ไดูแสดงเหตุยืนยันว่า โจทก์ไดูมาศาลตามกำาหนดนั ดแลูวเพียงแต่โจทก์ยังติดการดำาเนิ นคดีอาญาอื่น ซึ่ง ศาลไดูนัดพิจารณาไวูในวันเวลาเดียวกันก่อนแลูวจึงมาดำาเนิ นคดีนี้ต่อไป ซึ่งหาก เป็ นความจริงตามคำารูองก็นับว่ามีเหตุสมควรที่โจทก์ไม่ไดูมาดำาเนิ นคดีนี้ตาม กำาหนดนั ด ศาลชอบที่จะไต่สวนคำารูองของโจทก์เสียก่อนจึงจะวินิจฉั ยไดูว่าที่โจทก์ ไม่มาดำาเนิ นคดีนี้ตามกำาหนดนั ด มีเหตุผลสมควรหรือไม่ การที่ศาลล่างด่วน
วินิจฉั ยสัง่ ยกคำารูองของโจทก์โดยไม่ไต่สวนใหูไดูความจริงเสียก่อน จึงไม่ชอบ ดูวย มาตรา 166 วรรคสอง ประกอบ 181
70
-** กรณี ท่ีโจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาล แต่ไดูใหูเสมียนทนายนำ าคำารูอง ขอเลื่อนคดีมายื่นต่อศาล ไม่ใช่กรณี โจทก์ไม่มาตามกำาหนดนั ดเพราะโจทก์ขอ เลื่อนคดีไวูแลูว ศาลจึงตูองพิจารณาคำารูองขอเลื่อนคดีของโจทก์ว่าจะอนุญาตใหู เลื่อนคดีหรือไม่ ถูาศาลเห็นว่าไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตใหูเลื่อนคดี ศาลก็ตูอง ใหูงดสืบพยานโจทก์ ซึ่งถูาเป็ นการสืบพยานโจทก์นัดแรก ศาลก็จะถือว่าโจทก์ ไม่มีพยานมาสืบ แลูวพิพากษายกฟู องไดูทันที (ฎ.1739/28) - แต่ถาู ไม่ใช่นัดสืบพยานโจทก์นัดแรกและมีการนั ดสืบพยานโจทก์นัด ก่อนๆไปบูางแลูว หากศาลไม่อนุญาตใหูเลื่อนคดีศาลก็คงใหูงดสืบพยานโจทก์ เฉพาะพยานโจทก์ท่ีเหลือเท่านั ้น แลูวใหูนัดสืบพยานจำาเลยต่อไป เพราะพยาน โจทก์ท่ีไดูสืบไปแลูวยังคงใชูไดูอย่้ ศาลจะใหูงดสืบพยานโจทก์และถือว่าโจทก์ไม่มี พยานมาสืบแลูวพิพากษาใหูยกฟู องทันทีไม่ไดู การพิพากษาคดีตูองวินิจฉั ย พยานโจทก์ท่ีไดูสืบไปแลูวกับพยานจำาเลย จึงพิพากษาไปตามพยานหลักฐานเท่า
ที่ปรากฎนั ้น(ฎ.145/36) กรณี ดังกล่าวแมูจะยกฟู องดูวยเหตุผลว่าโจทก์ไม่มี พยานมาไต่สวนใหูเห็นว่าคดีโจทก์มีม้ลและพิพากษายกฟู อง โจทก์จะมารูองขอใหู ใหูยกคดีขึ้นไต่สวนม้ลฟู องหรือพิจารณาใหม่ ตามมาตรา 166 มิไดู มิใช่เป็ น กรณี ท่ีศาลยกฟู องเพราะโจทก์ไม่มาศาลตามกำาหนดนั ด (เพราะแมูเป็ นกรณี ท่ี โจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาล แต่ไดูใหูเสมียนทนายนำ าคำารูองขอเลื่อนคดีมายื่น ต่อศาล ไวูแลูว จึงมิใช่กรณี โจทก์ไม่มาศาลตามกำาหนดนั ด ) - ** แต่ถาู เป็ นกรณี โจทก์ไม่มาศาล “โดยไม่ไดูขอเลื่อนคดี” ศาลก็ ยกฟู องไดูเลยแมูจะไม่ใช่นัดสืบพยานโจทก์ครัง้ แรกและไม่ตูองคำานึ งถึงพยาน โจทก์ท่ีไดูสืบไปแลูวในนั ดก่อนๆว่าจะรับฟั งไดูหรือไม่ เพราะเป็ นการยกฟู องตาม มาตรา 166 วรรคหนึ่ ง (ฎ.1214/38) - *** ในกรณี ท่ีโจทก์ไม่มาตามกำาหนดนั ดมาตรา 166 ไดูบัญญัติไวูชัด
แจูงแลูวว่าใหูศาลยกฟู อง ดังนั ้นจึงจะนำ า ป.วิ.พ.มาบังคับโดยถือว่าโจทก์ทิง้ ฟู อง
และจำาหน่ ายคดีเป็ นการไม่ชอบ (ฎ.1574/25) อย่างไรก็ดีแมูจะถือว่าคำาสัง่ ศาลที่ สัง่ จำาหน่ ายคดีโดยถือว่าโจทก์ทิง้ ฟู องไม่ชอบดูวยกระบวนพิจารณาก็ตาม แต่หาก ไม่มีการอุทธรณ์ฎีกา คำาสัง่ ดังกล่าวก็ถึงที่สุด เมื่อเป็ นเช่นนี้โจทก์จึงฟู องจำาเลยเป็ น คดีใหม่ไดู ไม่ตูองหูามตามมาตรา 166 วรรคทูาย ทัง้ ไม่ทำาใหูสิทธิในการนำ าคดี อาญามาฟู องระงับไปตาม 39(4)ดูวย(ฎ.162-3/06)
-*** ในกรณี ท่ีมใิ ช่โจทก์ขาดนั ด แต่ศาลกลับยกฟู องอูางว่าโจทก์ขาดนั ด ซึ่งเป็ นการไม่ชอบ เช่น โจทก์ยังไม่ทราบกำาหนดนั ด หรือศาลสัง่ ยกฟู องทัง้ ที่ทนาย โจทก์มาศาล โจทก์ก็มีสท ิ ธิอุทธรณ์คำาสัง่ ศาลชัน ้ ตูนไดูทันที ไม่ตูองขอพิจารณา ใหม่ ตาม 166 วรรคสอง การที่ศาลสัง่ ยกฟู องไปโดยโจทก์ไม่ไดูขาดนั ดนี้ ถือไดู
71
ว่าเป็ นการสัง่ ไปโดยผิดหลงตาม วิ.แพ่ง มาตรา 27 ประกอบวิ.อาญา ม.15 โจทก็จึงมีสิทธิรูองขอใหูศาลชัน ้ ตูนเพิกถอนคำาสัง่ ยกฟู องไดู ซึ่งจะตูองรูองขอ เพิกถอนภายใน 8 วัน นั บแต่โจทก์ทราบคำาสัง่ ศาล กรณี เช่นนี้ไม่อย่้ในบังคับว่า ตูองรูองขอต่อศาลภายใน 15 วันนั บแต่วันยกฟู อง (ฎ.794/40)
- ถูาเป็ นกรณี ท่ีโจทก์ขาดนั ดและศาลยกฟู อง โจทก์จะตูองขอพิจารณาใหม่
ตามมาตรา 166 วรรคสอง ก่อน ทัง้ นี้เพื่อใหูมีขูอเท็จจริงที่ศาลจะวินิจฉั ยใหูโจทก์ จะยื่นอุทธรณ์ขอใหูศาลอุทธรณ์สัง่ ใหูพิจารณาใหม่ทันทีไม่ไดู เป็ นการขูามขัน ้ ตอน (ฎ.2109/29) - ในคดีท่เี กินอำานาจของผู้พิพากษาคนเดียวนั ้น การพิพากษายกฟู องตาม
มาตรา 166 จะกระทำาโดยผู้พิพากษาคนเดียวไม่ไดู (ฎ.2716/28)
- คดีท่ีศาลยกฟู องโดยเหตุท่โี จทก์ไม่มาตามกำาหนดนั ด โจทก์มีสท ิ ธิรอ ู งขอ
ใหูยกคดีขึ้นไต่สวนม้ลฟู องหรือพิจารณาใหม่ไดูภายในกำาหนด 15 วัน นั บแต่วัน ยกฟู อง ไม่ใช่นับแต่วันที่โจทก์ทราบคำาสัง่ (ฎ.1409/29) เหตุสมควรที่โจทก์มาศาลไม่ไดู - โจทก์ไม่มาศาลเพราะจดจำาวันนั ดของศาลผิด เป็ นความบกพร่องหรือ (ฎ.724/48)***
ประมาทเลินเล่อของโจทก์ ถือว่าไม่ใช่เหตุสมควร
- คำารูองอูางว่าไม่ทราบกำาหนดนั ดสืบพยานโจทก์เนื่ องจากยูายภ้มิลำาเนา
เป็ นเหตุอน ั สมควร ศาลตูองไต่สวนคำารูอง (ฎ.186/42)
ผ ล ข อ ง ก า ร ย ก ฟู อ ง ม า ต ร า 166 ว ร ร ค ส า ม จะฟู องจำาเลยเรื่องเดียวกันนั ้นอีกไม่ไดู - การที่ศาลชัน ้ ตูนมีคำาสัง่ ยกฟู องเพราะโจทก์ไม่มาศาลตามมาตรา 166 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็ นกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟู อง โจทก์ จึงตูองหูามมิใหูฎก ี าตามมาตรา 220 (ฎ.1751/48) ค ดี มี ม้ ล ใ หู ป ร ะ ทั บ ฟู อ ง
ม า ต ร า
167
- คดีมีมล ้ ศาลสัง่ ประทับฟู องไดูโดยไม่ตูองทำาในร้ปคำาพิพากษา จึงไม่อย่้
ภายใตูบังคับมาตรา 186 แต่ถาู คดีไม่มีม้ลศาลตูองพิพากษายกฟู องจะตูองมี หัวขูอสำาคัญตามมาตรา 186 (ฎ.243/11)
- กรณี ท่ีโจทก์ไม่สามารถนำ าพยานมาไต่สวนม้ลฟู องไดู ถือว่าคดีโจทก์ ไม่มีม้ล และถูาศาลเห็นว่าการกระทำาของจำาเลยไม่เป็ นความผิด ก็พิพากษา ยกฟู องไดูเลย ไม่จำาตูองประทับฟู องแลูวพิพากษายกฟู องในภายหลัง (ฎ.
72
2777/45) เหตุผลตามมาตรา 185 คำาสั่งมีม้ลย่อมเด็ดขาด มาตรา 170
- คำาสั่งมีม้ลย่อมเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็ นคำาสั่งของศาลชัน ้ ตูนหรือศาลอุทธรณ์ ก็
ต
า
ม
(ฎ
.669/17)
- ในกรณี คดีท่รี าษฎรเป็ นโจทก์เมื่อศาลยังไม่ไดูสั่งใหูคดีมีม้ล จำาเลยจะ อุทธรณ์ฎีกาไม่ไดูเพราะยังไม่อย่้ในฐานะจำาเลย (ฎ. 2046/25)
- ในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่ องกับคดีอาญาชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู อง พิพากษายกฟู องคดี อาญา และไม่รบ ั ฟู องคดีแพ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับใหูรบ ั ฟู องทัง้ คดีอาญา และคดีส่วนแพ่ง จำาเลยฎีกาคำาสัง่ มีม้ลไม่ไดู แต่ฎีกาคำาสัง่ ใหูรบ ั คดีในส่วนแพ่ง ไดู(ฎ. 1895/19)
- ในกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนวินิจฉั ยว่าคดีโจทก์ไม่มีม้ลพิพากษายกฟู อง ก็อย่้ภาย
ใตูบังคับมาตรา 193 ทวิ ดูวย ดังนั ้นหากคดีโจทก์ตอ ู งหูามอุทธรณ์ในปั ญหาขูอ เท็จจริง โจทก์ก็อท ุ ธรณ์ในปั ญหาขูอเท็จจริงไม่ไดู(ฎ.407/24)
- ในกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีม้ลพิพากษายกฟู องนี้ หาก เป็ นคดีตูองหูามอุทธรณ์ปัญหาขูอเท็จจริง แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉั ยใหู แลูว พิพากษาว่าคดีมีม้ล ดังนี้ไม่เป็ นการเด็ดขาดตามมาตรา 170 เพราะศาลอุทธรณ์ ไม่มีอำานาจวินิจฉั ยอุทธรณ์ของโจทก์(ฎ.974/16)
- แมูคำาสัง่ มีม้ลจะเด็ดขาด แต่ถูาเป็ นฟู องที่ไม่ชอบดูวยกฎหมายตามมาตรา
158 ศาลส้งย่อมมีสิทธิยกขึ้นอูางไดู เพราะถือว่าเป็ นปั ญหาเกี่ยวดูวยความสงบ เรียบรูอยฯ (ฎ.3154/24)
การพิจารณาคดีอาญาตูองทำาโดยเปิ ดเผย(ต่อหนู าจำาเลย)
มาตรา
172,172 ทวิ
- คำาเบิกความของพยานในคดีอ่ ืนซึ่งไม่ไดูกระทำาต่อหนู าจำาเลยจะนำ ามายัน
จำาเลยไม่ไดู เพราะมิไดูเบิกความต่อหนู าจำาเลย (ฎ.1020/11) และแมูจำาเลยจะ ยินยอมก็ใชูไม่ไดู
(ฎ. 1264/14) นอกจากนี้โจทก์ยังจะขอใหูศาลวินิจฉั ยตาม
73
คำาพยานโจทก์ในชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู องซึ่งมิไดูกระทำาต่อหนู าจำาเลยไม่ไดู (ฎ.1573/21) แต่ถาู เพียงอูางพยานโจทก์ในชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู องมาประกอบพยาน อื่นที่ไดูมาเบิกความในชัน ้ พิจารณาไดู(ฎ.1142/03)
- ในกรณี ท่ีมีการสืบพยานโจทก์ไปแลูว จำาเลยบางคนจึงใหูการรับสารภาพ ศาลจึงสัง่ ใหูแยกฟู องจำาเลยที่ใหูการปฎิเสธ เมื่อโจทก์ฟูองคดีใหม่แลูว ถือว่าคำา เบิกความในคดีเดิมไดูพิจารณาโดยเปิ ดเผยต่อหนู าจำาเลยแลูว(ฎ.1457/31) - การเรียกสำานวนการสอบสวนจากพนั กงานอัยการมา เพื่อประกอบการ
วินิจฉั ยของศาลตาม ป.วิ.อ.มาตรา 175 มิใช่การพิจารณาและสืบพยานในศาล จึง ไม่ตูองทำาต่อหนู าจำาเลย และจำาเลยไม่มีอำานาจถามคูาน(ฎ. 5239/47) -
กรณี การเดินเผชิญสืบหรือส่งประเด็นไปสืบพยานที่ศาลอื่น โดยจำาเลย
แถลงไม่ติดใจไปฟั งการพิจารณาตามมาตรา 230 ทำาใหูศาลมีอำานาจพิจารณาและ สืบพยานลับหลังจำาเลยไดู แต่ถาู จำาเลยแถลงขอตามประเด็นไปฟั งการพิจารณา ศาลใชูดุลพินิจไม่อนุญาตไม่ไดู(ฎ.377-378/16) แต่ถาู จำาเลยแถลงว่าจะไม่ตาม ประเด็นไป แมูศาลที่รับประเด็นเลื่อนการพิจารณาออกไปโดยไม่แจูงวันเวลานั ดใหู จำาเลยทราบ ก็เป็ นการดำาเนิ นกระบวนพิจารณาที่ชอบ (ฎ.1066/26) - คดีละเมิดอำานาจศาล ถือว่าเป็ นกฎหมายพิเศษที่ใหูอำานาจศาลคูนหาควม
จริงไดูโดยไม่ตูองกระทำาต่อหนู าจำาเลย(ฎ. 1159/26)
- กรณี ไต่สวนม้ลฟู องคดีท่ีราษฎรเป็ นโจทก์ หากจำาเลยไม่มาฟั งการไต่สวน ม้ลฟู อง ศาลไต่สวนม้ลฟู องลับหลังจำาเลยไดู - กรณี การสืบพยานก่อนฟู องคดี ตาม มาตรา 237 ทวิ ไม่จำากัดว่าจะตูอง เป็ นกรณี ท่ี ผู้ตูองหาถ้กควบคุมตัวอย่้หรือไม่ แมูผู้ตูองหาไม่ถ้กควบคุมตัวอย่้ศาล ก็สืบพยานไวูก่อนไดู (ฎ. 2980/47) ก า ร ถ า ม คำา ใ หู ก า ร จำา เ ล ย ม า ต ร า 172 ว ร ร ค ส อ ง - ศาลตูองอ่านและอธิบายฟู องใหูจำาเลยฟั ง และถามว่าจำาเลยกระทำาผิด
จริงหรือไม่ จะใหูการต่อสู้คดีอย่างไร แต่ในการสืบพยานไวูก่อนตามมาตรา 237 ทวิ ไม่อย่้ภายใตูบังคับมาตรา 172 วรรคสอง (ฎ. 757/45)
- การพิจารณาคดีอาญา ศาลจะตูองสอบถามคำาใหูการจำาเลยตามมาตรา
172 วรรคสอง เพื่อใหูทราบประเด็นเบื้องตูนแห่งคดีเท่านั ้น ดังนั ้นแมูจะไม่ไดู
สอบถามคำาใหูการจำาเลยไวูก็ไม่ทำาใหูการดำาเนิ นกระบวนพิจารณาเสียไป (ฎ.
74
465/09)
- การต่อสูค ้ ดีอาญา จำาเลยไม่ตูองใหูการต่อสู้เป็ นประเด็นไวูเหมือนอย่าง
คดีแพ่ง ศาลก็มอ ี ำานาจหยิบยกขึ้นวินิจฉั ยไดู(1035/40 )
- ในคดีอาญาจำาเลยจำาใหูการอย่างไรก็ไดู แมูจะไม่ใหูการก็ไดู เมื่อจำาเลย ใหูการอย่างไร หรือจำาเลยไม่ยอมใหูการก็ใหูศาลจดรายงานไวู จำาเลยหาจำาตูอง ใหูการปฏิเสธเป็ นประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความไวูดูวย เมื่อคดีโจทก์ขาดอายุ ความศาลก็พิพากษายกฟู องไดู ตามมาตรา 185 (ฏ 986/18) - จำาเลยยื่นคำาใหูการไวู 2 ฉบับ ฉบับหนึ่ งใหูการรับสารภาพ อีกฉบับ หนึ่ งใหูการปฏิเสธ เมื่อศาลสอบคำาใหูการจำาเลย จำาเลยใหูการรับสารภาพ ถือว่า เป็ นคำาใหูการรับสารภาพที่ชัดแจูงแลูว(ฎ.2038/45) ก า ร ตั้ ง ท น า ย ค ว า ม ใ หู จำา เ ล ย
ม า ต ร า
173
ตามมาตรา 173 วรรคหนึ่ ง ในคดีท่ีมีอต ั ราโทษประหารชีวิต หรือคดีท่ี จำาเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปี ในวันที่ถ้กฟู องต่อศาล ก่อนเริ่มพิจารณาศาลตูองถาม จำาเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถูาจำาเลยไม่มี ศาลตูองตัง้ ทนายความใหูเสมอ ทัง้ นี้ โดยไม่ตูองคำานึ งว่าจำาเลยตูองการทนายความหรือไม่ (ฎ.7701/47,8366/44) - *** การถามเรื่องทนายความจะตูองถามก่อนเริ่มพิจารณา คือก่อนอ่าน อธิบายฟู องและถามคำาใหูการจำาเลย แต่การถามจำาเลยถึงขูอที่จำาเลยตูองโทษมา ก่อนหรือไม่ก่อนที่จะถามเรื่องทนายนั ้น ไม่ทำาใหูคำาใหูการของจำาเลยในเรื่องนี้เสีย ไป เพราะตามมาตรา 173 หมายถึง ก่อนพิจารณาเนื้ อหาความผิดที่ถก ้ ฟู อง เท่านั ้น (ฎ. 872/09 ป.)
- ที่ว่าการสอบถามจำาเลยเรื่องทนาย จะตูองสอบถามก่อนเริ่มพิจารณา ซึ่ง หมายถึง ก่อนอ่านอธิบายฟู องและถามคำาใหูการจำาเลย ถูาศาลถามคำาใหูการ จำาเลยก่อนแลูวจึงถามเรื่องทนาย เป็ นการไม่ปฏิบต ั ิใหูถ้กตูองตามกระบวนการ พิจารณา เมื่อคดีขึ้นมาส่้การพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือฎีกา ศาลดังกล่าวตูอง ยูอนสำานวนไปใหูศาลชัน ้ ตูนทำาการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามร้ปคดี ตาม มาตรา 208(2) (ฎ. 6915/44) และศาลส้งจะถือเอาเหตุนี้มาพิพากษายกฟู อง โจทก็เสียทีเดียวไม่ไดู ทัง้ นี้เพราะมิใช่ความผิดของโจทก์นั่นเอง - ** การที่ศาลไม่ไดูสอบถามจำาเลยเรื่องทนายความ แต่ปรากฏว่าจำาเลยไดู แต่งทนายความเขูามาดำาเนิ นคดีว่าต่างใหูตัง้ แต่วันสืบพยานโจทก็นัดแรกจนเสร็จ การพิจารณา ไม่มีเหตุท่ีศาลจะสัง่ ใหูศาลชัน ้ ตูนดำาเนิ นกระบวนพิจารณาใหม่ (ฎ.4460/46) อย่างไรก็ตามแมูจำาเลยแต่งทนายความเขูามา แต่เป็ นเวลาภายหลัง
สืบพยานโจทก์เสร็จแลูว เป็ นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลส้งตูองยูอน สำานวนไปใหูศาลชัน ้ ตูนดำาเนิ นการใหม่ (ฎ. 9001/47)
75
- ** การไม่ปฏิบัติตามมาตรา 173 วรรคแรก ทำาใหูกระบวนการพิจารณา นั ้นเสียไปตัง้ แต่ตูน ดังนั ้นที่ว่าศาลชัน ้ ตูนตูองพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามร้ป คดี จึงตูองเริ่มตูนตัง้ แต่สอบจำาเลยเรื่องทนายความ อ่านฟู องและอธิบายฟู องใหู จำาเลยฟั ง ถามคำาใหูการจำาเลย ตามมาตรา 172 วรรคสอง แลูวสืบพยานโจทก์ สืบ พยานจำาเลย และมีคำาพิพากษาใหม่ ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์เพียงแต่ใหูศาลชัน ้ ตูน ถามคำาใหูการจำาเลยแลูวอ่านคำาพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปก็ไม่ทำาใหูกระบวน พิจารณาที่เสียไปแลูวกลับมาเป็ ฯชอบดูวยกฎหมายไดู (ฎ.4608/45) - ถูาความจริงปรากฏว่าศาลชัน ้ ตูนไดูสอบถามเรื่องทนายความแลูวแมูไม่ ไดูจดบันทึกไวูในรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งเป็ นการไม่ชอบก็ตาม ก็ไม่มีเหตุอัน สมควรที่จะตูองดำาเนิ นกระบวนพิจารณาใหม่ (ฎ. 2923/41) - คดีท่ีมีโทษจำาคุก เมื่อศาลถามเรื่องทนายความแลูว จำาเลยแถลงว่าจะหา ทนายความเองและไดูมีการแต่งทนายความเขูามาแลูว ถือว่าศาลไดูดำาเนิ นการ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 173 แลูว แมูต่อมาจำาเลยใหูการรับสารภาพและมีการสืบ พยานโจทก์ประกอบคำารับสารภาพโดยทนายความของจำาเลยไม่มาศาล ก็เป็ นกระ บวนพิจารณาที่ชอบแลูว (ฎ. 2096/41) - แมูจำาเลยจะไดูแถลงว่าจะหาทนายความมาเอง แต่ในวันนั ดสืบพยาน
จำาเลยหาทนายไม่ไดูขอใหูศาลหาทนายใหู ดังนี้ศาลตูองตัง้ ทนายใหู (ฎ.2067/20) ในกรณี เช่นนี้หากในวันนั ดสืบพยาน จำาเลยหาทนายไม่ไดูแต่ลำาเลยไม่ไดูขอใหู ศาลตัง้ ทนายใหู ศาลก็ไม่มีหนู าที่ตูองตัง้ ทนายใหูจำาเลย (ฎ.1260/14)
- ในวันที่ศาลสอบถามคำาใหูการ จำาเลยแถลงว่าจะหาทนายสู้คดีเอง เช่นนี้ ย่อมแสดงว่าจำาเลยไม่ตูองการใหูศาลตัง้ ทนายใหู จึงไม่ใช่หนู าที่ของศาลที่จะตัง้ ทนายใหูจำาเลย แมูในวันนั ดสืบพยานโจทก์จำาเลยในเวลาต่อมาจำาเลยจะมิไดูตัง้ ทนาย ศาลก็ย่อมดำาเนิ นการพิจารณาต่อไป และถือว่าการพิจารณาคดีของศาล เป็ นการชอบ และถูาจำาเลยมีทนายแลูว แต่ไม่มาศาลในวันนั ดสืบพยานโจทก์ ถือ ไม่ไดูว่าจำาเลยไม่มีทนาย (ฎ.666/19) การตรวจพยานหลักฐานก่อนสืบพยาน มาตรา 173/1-2 การกำาหนดใหูมีวันตรวจพยานหลักฐานไม่จำาตูองดำาเนิ นการทุกคดี เช่น คดีท่ีจำาเลยใหูการรับสารภาพ หรือคดีท่ีผู้ตูองหาใหูการปฎิเสธแต่ไม่มีค่้ความฝ่ าย ใดรูองขอและศาลไม่เห็นสมควรใหูมีวันตรวจพยานหลักฐาน ประกอบกับเป็ นคดี ที่ไม่มีความยุ่งยากซับซูอนหรือพยานหลักฐานไม่มากนั ก เหล่านี้ไม่ตูองมีการ กำาหนดใหูมีวันตรวจพยานหลักฐาน
76
การยื่นบัญชีระบุพยาน ค่ค ้ วามตูองยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวัน ตรวจพยานหลักฐานไม่นูอยกว่า 7 วัน ส่วนการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมตูอง ยื่นต่อศาลก่อนการตรวจพยานหลักฐานเสร็จสิน ้ การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม เมื่อล่วงระยะเวลาขูางตูน จะกระทำาไดูต่อเมื่อไดูรับอนุญาตจากศาล โดยตูองแสดง เหตุผลอันสมควรว่าไม่สามารถทราบถึงพยานหลักฐานนั ้น หรือเป็ นกรณี จำาเป็ น เพื่อประโยชน์แห่งความยุตธ ิ รรม หรือเพื่อใหูโอกาสแก่จำาเลยในการต่อสู้คดีไดู อย่างเต็มที่ การเรียกหรือส่งพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ 1. กรณี ท่ีอย่ใ้ นความครอบครองของบุคคลภายนอก
- ใหูย่ ืนคำาขอต่อศาลพรูอมกับยื่นบัญชีระบุพยาน ใหูศาล มีคำาสัง่ เรียกพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ มาจากผู้ครอบครอง เพื่อใหูไดูมาก่อน วันตรวจพยานหลักฐาน 2. กรณี ท่ีอย่ใ้ นความครอบครองของค่้ความ
- ในวันตรวจพยานหลักฐาน ใหูค่้ความส่งเอกสารหรือพยานวัตถุท่ี ยังอย่้ในความครอบครองของตนต่อศาลเพื่อใหูคค ่้ วามอีกฝ่ ายหนึ่ งตรวจสอบ เวูน แต่ศาลจะสัง่ เป็ นอย่างอื่น กระบวนพิจารณาในวันนั ดตรวจพยานหลักฐาน 1. ใหูคค ่้ วามส่งพยานเอกสารและพยานวัตถุท่ีอย่ใ้ นความ ครอบครองของตนต่อศาล เพื่อใหูอีกฝ่ ายตรวจสอบ 2. ใหูคค ่้ วามแต่ละฝ่ ายแถลงแนวทางการเสนอพยานหลักฐานต่อศาล
3. ใหูศาลสอบถามค่ค ้ วามถึงความเกี่ยวขูองกับประเด็น และความจำาเป็ น ที่จะตูองสืบพยานหลักฐานอูางอิง ตลอดจนยอมรับพยานหลักฐานของอีกฝ่ าย เสร็จแลูวใหูศาลกำาหนดวันนั ดสืบพยาน โดยแจูงใหูค่้ความทราบล่วงหนู าไม่นูอย กว่า 7 วัน กรณี โจทก์ไม่มาศาลในวันนั ดตรวจพยานหลักฐาน ใหูนำาบทบัญญัติ มาตรา 166 มาใชูบังคับโดยอนุโลม (การขาดนั ดและศาลตูองมีคำาสัง่ ยกฟู อง โปรดด้มาตรา 166 ) หนู าที่นำาสืบในคดีอาญา มาตรา 174
- โจทก์มีหนู าที่นำาพยานหลักฐานเขูาสืบพิส้จน์ความผิดของจำาเลยก่อน เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแลูวจำาเลยจึงมีหนู าที่นำาพยานเขูาสืบ แสดงว่าในคดีอาญา โจทก์มีหนู าที่นำาสืบก่อนเสมอ ถูาศาลใหูจำาเลยนำ าสืบพยานก่อน เป็ นการไม่ชอบ (ฎ.1217/03)
77
- หากโจทก์ไม่สืบพยาน หรือสืบมาฟั งไม่ไดูว่าจำาเลยเป็ นผู้กระทำาผิด ก็ จะลงโทษจำาเลยไม่ไดู และจะเอาคำาเบิกความของจำาเลยที่ตอบคำาถามคูานโจทก์มา ลงโทษจำาเลยไม่ไดู (ฎ.5485/39)** - จำาเลยใหูการต่อสู้ว่ากระทำาเพื่อปู องกันเท่ากับจำาเลยปฏิเสธว่าไม่ไดู กระทำา ดังนั ้นโจทก์ยังคงมีหนู าที่
นำ าสืบว่าจำาเลยกระทำาผิด (ฎ.2019/14)
- อายุความฟู องในคดีอาญา เป็ นเรื่องอำานาจฟู องของโจทก์ จึงเป็ นหนู าที่
ของโจทก์ท่ีจะนำ าสืบว่าคดียังไม่ขาดอายุความ (ฎ.1035/40)*
- ความผิดฐานรับของโจร โจทก์ตูองนำ าสืบว่าจำาเลยรับทรัพย์ของกลางมา
โดยรู้ว่าเป็ นทรัพย์ท่ีไดูมาจากการกระทำาผิด ตาม ป.อ.มาตรา 357 (ฎ. 5435/43) - ในคดีรูองขอคืนของกลางเป็ นหนู าที่ของผู้รูองจะตูองนำ าสืบว่า ผูร้ ูองเป็ น เจูาของและมิไดูรู้เห็นดูวยในการกระทำาความผิด ไม่ใช่หนู าที่ของโจทก์ (ฎ.368/35) - โจทก์ขอใหูนับโทษต่อจากโทษในคดีอ่ น ื แต่จำาเลยมิไดูใหูการรับว่าจำาเลย เป็ นบุคคลคนเดียวกับจำาเลยในคดีอ่ ืน แมูคดีท่ีขอใหูนับโทษต่อนั ้นจะฟู องต่อศาล ชัน ้ ตูนเดียวกัน ก็ไม่ใช่ขูอเท็จจริงที่ศาลรับรู้ไดูเอง จึงเป็ นหนู าที่ของโจทก์ตูองสืบ ว่าจำาเลยเป็ นบุคคลคนเดียวกันกับจำาเลยในคดีอ่ ืน(ฎ.7262/46) ดังนั ้นศาลตูอง สอบถามจำาเลย และถูาจำาเลยยอมรับโจทก์จึงจะขอใหูนับโทษต่อไดู (ฎ.4255/41)*** - เมื่อจำาเลยแถลงรับขูอเท็จจริงแลูวว่าเป็ นบุคคลคนเดียวกับจำาเลยในคดี อาญาอื่น ถือไดูว่าจำาเลยยอมรับขูอเท็จจริงว่าเคยตูองโทษแต่ศาลรอการลงโทษไวู ศาลจึงบวกโทษจำาคุกของจำาเลยที่รอการลงโทษไวูไดู โดยโจทก์ไม่จำาตูองนำ าพยาน หลักฐานเขูาสืบถึงขูอเท็จจริงดังกล่าว (ฎ.3040/35)
- จำาเลยใหูการต่อศาลว่า ความจริงล้กระเบิดไม่ใช่ของจำาเลย แต่เพื่อมิใหูยุ่ง ยากแก่คดี จำาเลยขอรับสารภาพตลอดขูอหา ดังนี้มิใช่คำาใหูการรับสารภาพตาม ฟู อง (ฎ. 1318/23) - กรณี ท่ีผู้เสียหายมีคำาแถลง ถูาโจทก์ไม่คัดคูานและไม่ขอสืบพยาน ศาล
รับฟั งขูอเท็จจริงจากคำาแถลงของผู้เสียหายไดู(ฎ.1476/25) ค ดี ที่ จำา เ ล ย ใ หู ก า ร รั บ ส า ร ภ า พ มาตรา 176 หลักเกณฑ์ ในชัน ้ พิจารณาถูาจำาเลยใหูการรับสารภาพตามฟู องใหูศาล พิพากษาโดยไม่ตูองสืบพยานหลักฐานต่อไป แต่ถูาเป็ นคดีท่ีมีอัตราโทษจำาคุก
78
อย่างตำ่าตัง้ แต่หูาปี ขน ึ้ ไป หรือโทษหนั กกว่านั ้น ศาลตูองฟั งพยานหลักฐาน จนกว่าจะพอใจว่าจำาเลยไดูกระทำาผิด - ในคดีท่ีจำาเลยใหูการรับสารภาพตามฟู อง ซึ่งมีอัตราโทษจำาคุกอย่างตำ่าไม่ ถึง 5 ปี ที่ใหูอำานาจศาลพิพากษาไดูโดยไม่ตูองสืบพยานหลักฐานนั ้น มิไดู หมายความว่าศาลตูองพิพากษาว่าจำาเลยมีความผิดและลงโทษจำาเลยเสมอไปไม่ ดังนี้เมื่อศาลพิจารณาคำาฟู องแลูวเห็นว่าการกระทำาของจำาเลยตามที่กล่าวในฟู อง ไม่เป็ นความผิด ศาลมีอำานาจพิพากษายกฟู องโจทก์ไดู ทัง้ นี้โดยอาศัยอำานาจตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ ง (ฎ.128/43)
- โจทก์ฟูองว่าจำาเลยกระทำาผิดภายหลังวันที่โจทก์ฟูอง เป็ นคำาฟู องไม่ชอบ
ตามมาตรา 158 จึงไม่อาจลงโทษจำาเลยไดู (ฎ.568/37) เหตุผลเพราะวันเวลา ซึ่งเกิดการกระทำาที่โจทก์กล่าวหาว่าเป็ นความผิด เป็ นสาระสำาคัญของขูอเท็จจริงที่ โจทก์จะตูองบรรยายในคำาฟู องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 158(5) โจทก์จะละเลยเสีย มิไดู โจทก์จึงจะอาจอูางว่าเกิดจากความผิดหลงไม่ไดูโดยเด็ดขาด - คำารับสารภาพที่ไม่ชัดเจนว่าจำาเลยรับสารภาพว่ากระทำาผิดฐานใด ลงโทษ จำาเลยไม่ไดู คงเป็ นหนู าที่โจทก์ตูองนำ าสืบว่าจำาเลยกระทำาผิดฐานใด เช่นโจทก์ฟูอง ว่าจำาเลยกระทำาผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร จำาเลยใหูการรับสารภาพตามฟู อง คำาใหูการดังกล่าวไม่ชัดเจนพอที่จะฟั งว่าจำาเลยกระทำาผิดฐานใด เมื่อโจทก์ไม่ไดู นำ าสืบใหูไดูความเช่นนั ้น และแมูว่าในคำารูองขอบรรเทาผลรูายของจำาเลยจะมี เนื้ อหาว่ารับซื้อไมรโครโพนของกลางไวูเพื่อใหูหลานใชูรูองเพลงเล่นก็ตาม แต่ คำารูองขอบรรเทาโทษมิใช่คำาใหูการ เป็ นเพียงขอใหูศาลลงโทษสถานเบาและ บรรยายเหตุผลต่างๆใหูศาลปราณี ถึงแมูจะใชูถูอยคำาที่อาจแสดงว่าจำาเลยรับ สารภาพในความผิดฐานใดฐานหนึ่ ง หรือมิไดูรับสารภาพในความผิดฐานใดเลย ก็ มิอาจถือไดูว่าคำารูองขอบรรเทาผลรูายดังกล่าว เป็ นคำาใหูการของจำาเลย เมื่อคำา ใหูการของจำาเลยไม่สามารถรับฟั งไดูว่าจำาเลยกระทำาผิดในขูอหาใด ศาลย่อม พิพากษาลงโทษไม่ไดู ด้ ฎ.4129/43 “ โจทก์ฟูองขอใหูลงโทษจำาเลยฐานลักทรัพย์ หรือรับของโจรตาม ป.อ.มาตรา 334 , 335 และ 357 จำาเลยใหูการรับสารภาพ ว่ากระทำาผิดตามฟู อง คำาใหูการฉบับนี้ย่อมไม่ชัดเจนว่าจำาเลยใหูการรับสารภาพใน ขูอหาใด แต่ในวันเดียวกันนั ้นจำาเลยยื่นคำาใหูการอีกฉบับหนึ่ งมีขูอความว่า จำาเลย ขอถอนคำาใหูการทัง้ หมดแลูวขอใหูการรับสารภาพในขูอหาลักทรัพย์ตาม 334 เท่ากับจำาเลยยังคงปฎิเสธคำาฟู องโจทก์ในความผิดตาม 335 และ 357 เมื่อโจทก์ จำาเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน เท่ากับโจทก์ไม่ติดใจที่จะสืบพยานในความผิดตาม 335 และ 357 อีกต่อไป ขูอเท็จจริงจึงฟั งไดูตามคำารับสารภาพของจำาเลยว่า จำาเลยกระทำาผิดตาม 334 ที่ศาลล่างทัง้ สองพิพากษาว่าจำาเลยมีความผิดตาม 335(8) วรรคแรก จึงไม่ถ้กตูอง ”
79
- ฟู องที่ไม่ถ้กตูองแมูจำาเลยจะใหูการรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษจำาเลยไม่
ไดู (ฎ. 473/86)
เช่น ปรากฏว่าบรรยายฟู องเรื่องวันเวลาการบาดเจ็บ ขัดกับ
รายงานการชันส้ตรบาดแผล ดังนี้ย่อมฟั งไม่ไดูว่าจำาเลยทำาผิดตามวัน ที่โจทก์ บรรยายมาในฟู อง แมูจำาเลยจะรับสารภาพตามฟู องก็ลงโทษจำาเลยไม่ไดู ศาลจึง ตูองยกฟู อง(ฎ.833/95) - จำาเลยใหูการรับสารภาพฐานรับของโจร แต่กลับแถลงว่าไม่รู้ว่าทรัพย์ท่ี เอามาเป็ นทรัพย์ท่ถ ี ้กลักมา ถือว่าเป็ นคำาใหูการปฎิเสธ แต่เมื่อโจทก์ยังไม่ทราบ คำาแถลงเพิ่มเติมนี้ จะถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานไม่ไดู จึงตูองใหูสืบพยานกันต่อ ไป (ฎ.2596/41) - จำาเลยใหูการรับสารภาพ “เพื่อมิใหูยุ่งยากแก่คดี” ดังนี้ไม่เป็ นคำารับ
สารภาพ (ฎ.1318/23) แต่ถูาเป็ นการรับสารภาพแลูวไดูแถลงต่อไปว่ากระทำาไป โดย “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” ดังนี้เป็ นคำาแถลงเพื่อขอบรรเทาโทษ ไม่ใช่คำาใหูการว่า จำาเลยมิไดูเจตนากระทำาผิด (ฏ.2274/25) แต่ถูานอกจากจะใหูการรับสารภาพว่า กระทำาไปโดย “รู้เท่าไม่ถึงการณ์แลูว จำาเลยยังใหูการดูวยว่าไม่รู้ว่าการกระทำาดัง กล่าวเป็ นความผิด” ดังนี้ไม่เป็ นคำารับสารภาพ(ฎ.5114/31) จำา เ ล ย ใ หู ก า ร รั บ ส า ร ภ า พ กั บ รั บ ส า ร ภ า พ ต า ม ฟู อ ง คำาใหูการของจำาเลยที่ใหูการว่า “รับสารภาพว่าไดูกระทำาความผิดตามฟู อง หรือรับสารภาพผิดตลอดขูอหา หรือใหูการรับสารภาพ” มีความหมายว่าจำาเลย ใหูการรับสารภาพเฉพาะขูอหาความผิดที่โจทก์ฟูองเท่านั ้น ไม่ถือว่าจำาเลยรับ สารภาพในเรื่องอื่นๆที่โจทก์กล่าวมาในฟู อง เช่น การเป็ นบุคคลเดียวกันกับจำาเลย ในคดีอ่ ืนที่โจทก์ขอใหูบวกโทษ ฎ.6806/39) ดังนั ้นหากโจทก์ไม่สืบพยานและ ศาลชัน ้ ตูนนำ าโทษที่รอมาบวกเขูากับโทษในคดีใหม่นี้ดูวย จึงเป็ นการไม่ชอบ และ ปั ญหานี้เป็ นขูอกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบรูอย (ฎ. 3834/31) - แต่คำาใหูการว่า “รับสารภาพตามฟู อง” ถือว่าเป็ นคำาใหูการที่รับตามที่ โจทก์กล่าวในฟู อง ทัง้ ในขูอหาความผิดที่โจทก์ฟูองและรับในเรื่องอื่นๆที่ไม่เกี่ยว กับขูอหาความผิดที่โจทก์กล่าวมาในฟู องดูวย เช่น รับว่าเป็ นบุคคลเดียวกันกับคดี ก่อนๆ จึงสามารถขอใหูเพิ่มโทษ การขอใหูนับโทษต่อ การรอการลงโทษไวูใน คดีก่อนไดู (ฎ.2167/47,2413/47,2335/47) - ในคดีท่ีจำาเลยใหูการรับสารภาพแลูว ก่อนศาลมีคำาพิพากษา โจทก์ย่ ืน คำารูองขอเพิ่มเติมฟู องใหูนำาโทษจำาคุกที่รอไวูในคดีอ่ ืนมาบวกเขูากับโทษในคดีนี้ ดังนี้หากศาลยังไม่ไดูสอบจำาเลยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการที่จำาเลยเป็ นบุคคลเดียวกัน กับคดีก่อน ศาลจะนำ าโทษจำาคุกที่รอไวูมาบวกโทษในคดีนี้ไม่ไดู(ฎ. 5739/ 31)
-
** เมื่อศาลพิพากษาไปตามคำารับสารภาพของจำาเลย (ไม่ปรากฏว่า
80
คำารับสารภาพของจำาเลยไม่ชอบดูวยกฎหมายอย่างไร) หากค่ค ้ วามไม่พอใจตูองใชู สิทธิอท ุ ธรณ์หรือฎีกาต่อไป จะขอใหูศาลชัน ้ ตูนเพิกถอนกระบวนพิจารณาแลูว พิพากษาใหม่ไม่ไดู (ฎ. 243/43) อย่างไรก็ตาม การอุทธรณ์หรือฎีกา ตูองเป็ น ขูอที่ไดูว่ากล่าวกันมาแลูวในศาลชัน ้ ตูน เช่น อุทธรณ์ว่าโทษที่ศาลชัน ้ ตูนกำาหนด มานั ้นส้งหรือตำ่าไป หรือกระบวนพิจารณาในศาลชัน ้ ตูนไม่ชอบดูวยกฎหมาย - *** ขูอที่จำาเลยจะอุทธรณ์หรือฎีกาว่าไม่มีเจตนากระทำาผิด ซึ่งขัดกับคำา รับสารภาพของจำาเลย ถือว่าเป็ นขูอเท็จจริงที่ไม่ไดูยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแลูวในศาล ล่าง จึงตูองหูามอุทธรณ์หรือฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 หรือ 249 ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15 แลูวแต่กรณี (ฎ. 1576/47) เพราะเป็ นการโตูเถียงขูอเท็จจริงที่ จำาเลยใหูการรับสารภาพแลูว ทัง้ ยังเป็ นการยกขูอเท็จจริงขึ้นใหม่ ซึ่งเป็ นปั ญหาที่ มิไดูยกขัน ้ ว่ากล่าวกันมาแลูวโดยชอบในศาลล่างอีกดูวย หมายเหตุ 1. ป.วิ.อาญา มาตรา 195 บัญญัติไวูแต่เฉพาะใน เรื่องปั ญหาขูอกฎหมายเท่านั ้น ที่ตูองว่ากล่าวกันมาแลูวในศาลชัน ้ ตูน แต่ถาู เป็ น ปั ญหาขูอเท็จจริงจึงตูองนำ ามาตรา ป.วิ.พ.มาตรา 225 หรือ 249 ประกอบ วิ.อาญา มาตรา 15
2. แต่ถาู เป็ นคดีท่ีมีอัตราโทษอย่างตำ่าใหูจำาคุกตัง้ แต่
5 ปี ขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนั กกว่านั ้น ซึ่งเป็ นคดีท่ีโจทก์ตูองสืบพยานประกอบ คำารับสารภาพ จำาเลยอุทธรณ์ไดูว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีนำ้าหนั กลงโทษ จำาเลยไดู (ฎ. 2879/40) เพราะเมื่อเป็ นคดีท่ีโจทก์ตูองสืบพยานประกอบคำารับ สารภาพของจำาเลย ศาลก็ตูองวินิจฉั ยว่าพยานที่โจทก์นำามาสืบนั ้นฟั งไดูว่าจำาเลย กระทำาผิดหรือไม่ จึงถือไดูว่าเป็ นขูอเท็จจริงที่ไดูมีการว่ากล่าวกันมาแลูวในศาล ชัน ้ ตูน จำาเลยจึงอุทธรณ์ไดู ** 3. ในคดีท่ีจำาเลยใหูการรับสารภาพ จำาเลยมีสิทธิยกขูอ
กฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบรูอยขึ้นอุทธรณ์ไดู ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง เช่น อุทธรณ์ไดูว่า การกระทำาของจำาเลยเป็ นความผิดกรรมเดียวไม่ใช่ หลายกรรม (ฎ. 22/42) คำา รั บ สารภาพในความผิ ด ฐานทำา ร่ า ยร่ า งกายตาม ป.อ.มาตรา 297 - ในความผิดฐานทำารูายร่างกายนั ้น เมื่อจำาเลยใหูการปฏิเสธ ศาลจะงดสืบ
พยานโจทก์โดยอูางว่าโจทก์นำาคดีมาฟู องก่อน 20 วันและลงโทษจำาเลยเพียงฐาน ทำารูายร่างกายบาดเจ็บธรรมดาไม่ไดู ศาล ตูองฟั งขูอเท็จจริงตามที่โจทก์นำาสืบก่อน
81
ว่าบาดแผลจะถึงสาหัสจริงตามฟู องหรือไม่ จึงจะพิพากษาไดู แต่ถูาในวันฟู องผู้ เสียหายมาศาลดูวย แสดงว่าผู้เสียหายอาจหายก่อน 20 วันก็ไดู ศาลลงโทษจำาเลย ตามมาตรา 295 ไดู (ฎ. 517/2499)
- กรณี ท่ีผู้เสียหายยื่นคำารูองว่ารักษาบาดแผลเพียง 10 วัน เมื่อโจทก์ไม่
สืบพยานศาลก็ลงโทษจำาเลยไดูตาม มาตรา 295 เท่านั ้น (ฎ. 418/09)
ค ดี ที่ ตู อ ง สื บ พ ย า น ป ร ะ ก อ บ คำา รั บ ส า ร ภ า พ ในคดีท่ีจำาเลยใหูการรับสารภาพมีอัตราโทษอย่างตำ่าใหูจำาคุกตัง้ แต่หูาปี ขน ึ้ ไปฯ ศาลตูองฟั งพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำาเลยไดูกระทำาผิดจริง (โทษตาม 176 เป็ นโทษที่กฎหมายกำาหนดมิใช่โทษที่ศาลลงแก่จำาเลย และถือตามอัตราโทษ ที่บัญญัติไวูในความผิดขูอหาที่โจทก์ฟูอง) -
ในคดีท่ีมีอัตราโทษจำาคุกตลอดชีวิต หรือจำาคุกตัง้ แต่ 2-20 ปี ถือว่ามี
โทษขัน ้ ตำา่ ไม่ถึง 5 ปี ถูาจำาเลยรับสารภาพ ศาลลงโทษไดูเลยโดยไม่ตูองสืบพยาน (ฎ. 1214/29)
- ตูองพิจารณาอัตราโทษเฉพาะขูอหาในกระทงความผิดที่จำาเลยรับ
สารภาพแต่ละขูอหา ว่ามีอัตราโทษอย่างตำ่าจำาคุกตัง้ แต่ 5 ปี ขึ้นไป ไม่ใช่นำาโทษ ทุกกระทงมารวมกัน (ฎ. 775/30)
- ในคดีท่ต ี ูองสืบพยานประกอบนี้หากโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน ก็
ลงโทษจำาเลยไม่ไดู (ฎ.591/36)เพราะถือว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานที่จะฟั ง ลงโทษจำาเลยไดู และไม่ใช่กรณี ท่ีศาลส้งจะยกยูอนเพื่อใหูศาลชัน ้ ตูนสืบพยาน ตาม มาตรา 208 เนื่ องจากโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานแลูว (แตกต่างกับกรณี มาตรา 173 หากไม่มีการสอบถามเรื่องทนายในคดีท่ีตูองสอบถาม ตูองยกยูอน ตาม 208 เพราะกรณี หลังนี้เป็ นความผิดของศาลเอง ไม่ใช่ความผิดของโจทก์
ส่วนกรณี มาตรา 176 เป็ นความผิดของโจทก์เองที่ไม่สืบพยาน ศาลจึงยกฟู องไดู )
- ** ถูาในวันที่โจทก์ย่ ืนฟู องคดีท่ีตูองสืบพยานประกอบคำารับสารภาพของ จำาเลย แต่โจทก์ไม่ไดูอย่้ในศาลในขณะนั ้น ศาลจะถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบแลูว พิพากษายกฟู องทันทีไม่ไดูเพราะในวันดังกล่าวไม่ใช่วน ั สืบพยาน เพราะแมูโจทก์ จะมาในวันนั ้นคดีก็ไม่อาจสืบพยานไดูเพราะไม่ใช่วันสืบพยาน ศาลชัน ้ ตูนจะตูอง เลื่อนการพิจารณาคดีไปแลูวนั ดสืบพยานโจทก์ในภายหลัง การที่ศาลชัน ้ ตูนนั ด ฟั งคำาพิพากษาในวันที่โจทก์ย่ ืนฟู องเสียทีเดียว จึงเป็ นการไม่ชอบดูวย
82
กระบวนการพิจารณา กรณี ไม่ตูองดูวย มาตรา 166,181 และแมูจะถือว่าโจทก์ ทราบกำาหนดนั ดแลูว เพราะในคำาขอทูายฟู องของโจทก์มีขูอความระบุว่า รอฟั งคำา สัง่ อย่้ ถูาไม่รอใหูถือว่าทราบแลูว ก็ยังไม่เป็ นเหตุใหูพิพากษายกฟู องทันที (ฎ. 947/33)
- ในการสืบพยานประกอบคำารับสารภาพของจำาเลย หากปรากฏว่าจำาเลย มิไดูกระทำาผิด หรือการกระทำาของจำาเลยเป็ นการปู องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ศาล ก็ตูองยกฟู อง ตามมาตรา 185 (ฎ. 602/02 ป.) ก า ร แ ย ก ฟู อ ง เ ป็ น ค ดี ใ ห ม่ ในคดีท่ีมีจำาเลยหลายคน จำาเลยบางคนใหูการรับสารภาพ ศาลอาจจำาหน่ าย คดีจำาเลยที่ปฎิเสธโดยใหูโจทก์ฟูองเป็ นคดีใหม่ไดูตาม 176 วรรคสอง แต่โจทก์จะ ตูองฟู องตามขูอหาเดิมเท่านั ้น จะฟู องขูอหาอื่นไม่ไดู (ฎ. 831/02) เมื่อแยกฟู อง แลูว คำาขอของโจทก์เกี่ยวกับจำาเลยที่ปฎิเสธในคดีเดิมย่อมสิน ้ สภาพไปดูวย - การฟู องคดีใหม่ ตูองระบุบัญชีพยานใหม่ แต่ถือไดูว่าคำาเบิกความในคดี เดิมไดูพิจารณาโดยเปิ ดเผยต่อหนู าจำาเลยแลูว ศาลนำ าคำาเบิกความในคดีก่อนมา ประกอบการพิจารณาไดู (ฎ. 1457/31) คำา พิ พ า ก ษ า การอ่านคำาพิพากษา มาตรา 182
แ
ล
ะ
คำา
สั่
ง
- การอ่านคำาพิพากษาตูองอ่านต่อหนู าค่ค ้ วาม ในส่วนของจำาเลยหมายถึง
เฉพาะตัวจำาเลยเท่านั ้น มิใช่ทนายความจำาเลย(ฎ. 3072/46)
- ถูาไดูออกหมายจับจำาเลยใหูมาฟั งคำาพิพากษา แต่ไม่ไดูตัวจำาเลยมาภายใน
1 เดือน นั บแต่วันออกหมายจับ ศาลก็อา่ นคำาพิพากษาลับหลังจำาเลยไดู โดยถือว่า ไดูอ่านคำาพิพากษาโดยชอบแลูวในวันนั ้น(วันที่ครบ 1 เดือน) กำาหนดเวลา อุทธรณ์หรือฎีกาจึงตูองนั บแต่วันนั ้น แมูศาลจะไดูอ่านคำาพิพากษาใหูจำาเลยทราบ อีกในภายหลังก็เป็ นเพียงใหูจำาเลยทราบคำาพิพากษาเท่านั ้น ไม่ทำาใหูเป็ นการยืด กำาหนดเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาออกไป (ฎ.276/04 ป.) และการอ่านคำาพิพากษา ลับหลังจำาเลยหลังจากที่ออกหมายจับจำาเลยนี้ ไม่จำาตูองแจูงวันนั ดอ่านคำาพิพากษา ใหูจำาเลยทราบอีก (ฎ.60/28)
83
เ ห ตุ ย ก ฟู อ ง ม า ต ร า 185 ถูาศาลเห็นว่าจำาเลยมิไดูกระทำาผิด การกระทำาไม่เป็ นความผิด คดีขาด อายุความ มีเหตุท่ีไม่ตูองรับโทษ ใหูศาลยกฟู อง - ขูอที่ศาลจะพิพากษายกฟู องโจทก์ตามมาตรา 185 แมูจำาเลยจะมิไดู ยกขึ้นต่อสูเ้ ป็ นประเด็นไวูในศาลชัน ้ ตูน ศาลก็อาจยกขึ้นวินิจฉั ยไดูเอง (ฎ.8046/42)
- ศาลมีอำานาจพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏอย่ใ้ นสำานวนทัง้ หมด การ ที่ศาลชัน ้ ตูนสัง่ คดี มีม้ลแทนที่จะสัง่ ยกฟู องโจทก์เสียในชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู อง เป็ นเพียงแต่ใหูรับฟู องไวูดำาเนิ นกระบวนพิจารณาต่อไปเท่านั ้น แต่ในชัน ้ พิจารณา เมื่อปรากฏจากพยานหลักฐานชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู องว่าการกระทำาของจำาเลยไม่เป็ น ความผิด ศาลก็มอ ี ำานาจยกฟู องโจทก์ไดู ตาม มาตรา 185 (ฎ.644/36) - ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีอำานาจยกฟู องโจทก์ตามมาตรา 185 ไดู แมู จะเป็ นคดีท่ีตูองหูามอุทธรณ์หรือฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริง
ก า ร แ กู ไ ข คำา พิ พ า ก ษ า ม า ต ร า 190 หูามแกูไขคำา พิพากษา หรือคำา สั่งที่อ่านแลูว นอกจากถูอยคำาที่ เขียนหรือ พิ ม พ์ ผิ ด - การแกูไขหมายจำาคุกในคดีท่ีถึงที่สุดแลูว ไม่เป็ นการแกูไขหรือ เปลี่ยนแปลงคำาพิพากษา เพราะเป็ นเรื่องการบังคับคดีท่ีศาลชัน ้ ตูนจะตูองออก หมายจำาคุกในคดีท่ีถึงที่สุดใหูถก ้ ตูองตามกฎหมาย(ฎ. 2355/39) - ถูาคำาพิพากษาใหูนับโทษต่อ จะแกูคำาพิพากษาใหูนับโทษต่อไม่ไดู เป็ นการแกูคำาพิพากษา(ฎ.177/84) คำา พิ พ า ก ษ า ตู อ ง ไ ม่ เ กิ น คำา ข อ ม า ต ร า 192 หูามมิใหู พิพากษาหรือสัง่ เกินคำาขอ หรือที่มิไดูกล่าวในฟู อง ตามมาตรา 192 วรรคแรก มี 2 ประการ คือ 1. หูามมิใหูพิพากษาหรือสัง่ “เกินคำาขอ”
2. หูามมิใหูพิพากษาหรือสัง่ “ที่มิไดูกล่าวในฟู อง”
- ฟู องขอใหูลงโทษฐานฆ่าผู้อ่ ืนตาม ป.อ. มาตรา 288 ศาล
ลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตาม ป.อ.มาตรา 290 ไดู ไม่เกินคำาขอเพราะ
เป็ นบทที่เบากว่าที่โจทก์ฟูอง (ฎ. 1950/27) (ไม่ใช่วรรคสาม เพราะวรรคสามเป็ น เรื่องความแตกต่างระหว่างเจตนากับประมาท แต่ฎีกานี้แตกต่างระหว่างเจตนากับ
ไม่เจตนา)
อย่างไรก็ตาม มีฎีกาที่ 223/46
84
วินิจฉั ยว่าเป็ นกรณี ตามมาตรา
192 วรรคทูาย ทัง้ นี้น่าจะเป็ นเพราะว่าความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนารวมการก ระทำาที่เป็ นการทำารูายร่างกายดูวย จึงตูองดูวย มาตรา 192 วรรคทูาย โดยผลของ การทำารูายทำาใหูผู้ตายถึงแก่ความตายซึ่งเป็ นผลธรรมดาที่เกิดขึ้นจากการทำารูาย ศาลจึงลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 290 ไดู - บรรยายฟู องว่า ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน แต่ไม่ไดูขอใหูลงโทษตาม
ป.อ.มาตรา 365 ดังนี้ศาลจะลงโทษตามมาตรา 365 ไม่ไดู เกินคำาขอตาม 192 ว.1 (มาตรา 365 โทษส้งกว่า มาตรา 364 )
ฎ. 2624/41
- การบรรยายฟู องว่าจำาเลยวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อ่ ืนขอใหูลงโทษตาม
ป.อ.มาตรา 217,218(1) ทางพิจารณาไดูความว่าจำาเลยเป็ นเจูาของทรัพย์นั้นอย่้ ดูวย จึงไม่เป็ นความผิดตามมาตรา 218(1) ศาลลงโทษในขูอหาทำาใหูเกิดเพลิง ไหมูแก่ทรัพย์ของตนน่ าจะเป็ นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อ่ ืนตาม มาตรา 220 วรรคสอง ไดู หรือถูาฟู องมาตรา 220 ทางพิจารณาไดูความว่า
จำาเลยกระทำาโดยประมาทศาลลงโทษ 225 ไดู เพราะเป็ นขูอแตกต่างระหว่างการก ระทำาโดยเจตนาและประมาทตาม วิ.อาญา มาตรา 192 วรรคสาม ซึ่งไม่ถือว่าเป็ น สาระสำาคัญ ***
- ในการบรรยายฟู องโจทก์ “ไม่จำาตูองอูางมาตราที่ขอใหูริบของกลาง”
เพราะไม่ใช่มาตราซึ่งบัญญัติว่าการกระทำาเช่นนั ้นเป็ นความผิดตามมาตรา 158(6) แต่การที่ศาลจะริบของกลางโจทก์ “ตูองมีคำาขอ” มาดูวย ศาลจึงจะริบของกลาง ไดู(ฎ.828/34) ถูาฟู องไม่มีคำาขอใหูริบของกลาง ศาลริบไม่ไดู (ฎ. 885/18 ป.) แต่ถูาของกลางเป็ นทรัพย์ท่ีมีไวูเป็ นความผิด ซึ่งกฎหมายใหูริบโดยเด็ดขาด เช่น ปื นไม่มท ี ะเบียน ยาเสพติด แมูโจทก์มิไดูมค ี ำาขอใหูริบ ศาลก็มีอำานาจสัง่ ริบไดู เพราะของกลางดังกล่าวเป็ นทรัพย์ท่ีมีไวูเป็ นความผิด เป็ นบทบังคับเด็ดขาด *** - ในคดีท่ีโจทก์ขอใหูรบ ิ ของกลาง ศาลย่อมมีอำานาจสัง่ คืนแก่เจูาของไดู
ไม่เกินคำาขอ(ฎ. 2557/22)**
- โจทก์ไม่ขอใหูนับโทษต่อ นั บโทษต่อไม่ไดูเป็ นกรณี เกินคำาขอ(ฎ.1847-
8/41) และ ในคดีท่ีมีการรวมการพิจารณาพิพากษาเขูาดูวยกัน ถูาตามคำาขอทูาย ฟู องของคดีท่ีมีการรวมพิจารณาไม่ไดูขอใหูนับโทษต่อกันไวู ก็นับโทษติดต่อกัน ไม่ไดู เป็ นกรณี เกินคำาขอ (ฎ.6214-16/44) เมื่อนั บโทษต่อกันไม่ไดู ก็ตูองนั บ โทษจำาคุกไปพรูอมๆกัน
- กรณี การบวกโทษจำาคุกที่ศาลรอการลงโทษไวูในคดีกอ ่ นนั ้น
85
เนื่ องจาก ป.อ.มาตรา 58 ใหูอำานาจศาลในคดีหลังบวกโทษที่รอไวูในคดีก่อนเขูา กับคดีหลังไดู ดังนั ้นแมูโจทก์จะไม่บรรยายฟู องและขอใหูบวกโทษคดีก่อนเขูามา ในคดีนี้ ศาลก็มอ ี ำานาจนำ าโทษที่รอลงโทษไวูนั้นมาบวกเขูากับโทษในคดีหลัง ไดู(ฎ. 1908/47)
- ในเรื่องความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม หากโจทก์บรรยายฟู องว่าการ กระทำาของจำาเลยเป็ นความผิดหลายกรรมแลูว แมูโจทก์จะมิไดูขอใหูเรียงกระทง ลงโทษ หรือ มิไดูอูาง ป.อ. มาตรา 91 ศาลก็เรียงกระทงลงโทษจำาเลยไดู (ฎ. 2692/46) เพราะ มาตรา 91 มิใช่มาตราในกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำาเช่น นั ้นเป็ นความผิด และ
ป.วิ.อาญา มาตรา 158 ก็มิไดูบังคับใหูโจทก์จะตูองอูาง
มาตรา 91 ดังกล่าวมาในทูายคำาฟู องดูวย แต่ถูาบรรยายฟู องว่าเป็ นความผิดกรรม เดียว แต่ทางพิจารณาไดูความว่าเป็ นหลายกรรม ศาลลงโทษไดูเพียงกรรมเดียว (ฎ. 2764/22) - การบรรยายฟู องไม่จำาตูองระบุวรรคก็ชอบดูวย มาตรา 158(6) และเมื่อ ศาลฟั งขูอเท็จจริงไดูตามฟู อง ก็มอ ี ำานาจพิพากษาว่าเป็ นความผิดในวรรคใดไดูไม่ เกินคำาขอ(ฎ.1875/45)
- ฟู องว่าเป็ นตัวการ ไดูความว่าเป็ นผู้ใชู ดังนี้จะลงโทษฐานผู้ใชูไม่ไดูเพราะ ขูอเท็จจริงแตกต่างกันในขูอสาระสำาคัญตามมาตรา 192 วรรคสอง แต่ลงโทษ
ฐานผู้สนั บสนุนไดูเพราะมีโทษเบากว่า ไม่เกินคำาขอ (ฎ.6677/40) แต่ถาู ฟู องว่า เป็ นผู้ใชูไหูผู้อ่ ืนกระทำาความผิด ไดูความว่าเป็ นผู้กระทำาผิดเสียเอง มิใช่ขูอแตก ต่างในสาระสำาคัญตามมาตรา 192 วรรคสอง ศาลลงโทษฐานเป็ นตัวการไดู(ฎ. 9367/46) และฟู องว่าเป็ นตัวการไดูความว่าเป็ นผู้สนั บสนุน ลงโทษฐานเป็ นผู้ สนั บสนุนไดู เพราะมีโทษเบากว่าตัวการ(ฎ.47/14) - *** ฟู องว่าจำาเลยทัง้ สองร่วมกันจำาหน่ ายยาเสพติดใหูโทษแก่ผู้อ่ ืน ไดู ความว่าเป็ นการจำาหน่ ายระหว่างจำาเลยทัง้ สอง(จำาหน่ ายกันเอง) แตกต่างในขูอ สาระสำาคัญศาลตูองยกฟู อง(ฎ. 493/48) - ฟู องว่าจำาเลยพรากผู้เยาว์ไปโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจ( ป.อ.มาตรา 318) ขูอ
เท็จจริงไดูความว่าผู้เยาว์เต็มใจไปดูวย ( มาตรา 319) ศาลลงโทษตามมาตรา 319 ไดู เพราะมีอัตราโทษเบากว่า(ฎ. 2245/37 , 740/36)
- ฟู องขอใหูลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 336 ทาง
86
พิจารณาไดูความว่าเป็ นลักทรัพย์ โดยมิไดูฉกฉวยเอาซึ่งหนู า ศาลลงโทษตาม ม. 334 ไดู แต่จะลง ม. 335 ไม่ไดู เพราะความผิดตาม 335 มีโทษหนั กว่า 336 (ฎ. 2130/14)
- ฟู องขอใหูลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 138 มิไดูอูางมาตรา 140 จะลงโทษ
ตามมาตรา 140 ไม่ไดู เพราะมาตรา 140 มีโทษหนั กกว่า (ฎ. 124/32) ขูอเท็จจริงที่มิไดูกล่าวในฟู อง( ขูอเท็จจริงนอกฟู อง)
ศาลจะพิพากษาตามขูอเท็จจริงที่มิไดูกล่าวในฟู องไม่ไดู (มาตรา 192 วรรค แรกตอนทูาย) หรือกล่าวอีกนั ยหนึ่ งว่าศาลจะรับฟั งขูอเท็จจริงนอกฟู องไม่ไดู เช่นฟู องว่าจำาเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยใชูมีดแทงที่ศีรษะ ไหล่ และหลัง การที่ ศาลวินิจฉั ยว่าจำาเลยไม่ไดูกระทำาการดังกล่าว แต่ฟังว่าหลังจากที่ผู้เสียหายถ้ก ทำารูายแลูวการที่จำาเลยถือมีดวิ่งไล่ตามผู้เสียหายไปเป็ นพยายามทำารูายเป็ น เหตุการณ์คนละตอนกับที่โจทก์ฟูอง เป็ นขูอเท็จจริงที่มิไดูกล่าวใน ฟู อง(ฎ.738/40) - การที่ศาลหยิบยกขูอเท็จจริงจากรายงานการสืบเสาะมากล่าวในคำา พิพากษา ประกอบดุลพินิจในการลงโทษ หรือรอการลงโทษ มิใช่พิพากษาเกิน คำาขอหรือที่มิไดูกล่าวในคำาฟู อง - โจทก์ฟูองว่าจำาเลยมีเฮโรอีนจำานวนหนึ่ งไวูในความครอบครอง แต่ทาง พิจารณากลับไดูความว่าเฮโรอีนที่เจูาพนั กงานตำารวจยึดไดูเป็ นคนละจำานวนกับที่ โจทก์ฟูอง ถือว่าเป็ นเรื่องที่โจทก์ไม่ไดูกล่าวในฟู อง ลงโทษไม่ไดู(ฎ. 850/42) แต่ ถูาเป็ นยาเสพติดจำานวนเดียวกันแต่ต่างกันเฉพาะปริมาณหรือนำ ้ าหนั ก ถือว่าแตก ต่างกันเพียงรายละเอียด ศาลลงโทษไดู - ฟู องขอใหูลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 288,80 ไดูความว่าจำาเลยมีความผิด
ตามมาตรา 297 แต่โจทก์มิไดูบรรยายฟู องมาว่าสาหันอย่างไร ศาลลงโทษไดูเพียง มาตรา 295 (ฎ.1450/29) แต่ถาู โจทก์บรรยายฟู องว่าผู้เสียหายไดูรับอันตราย สาหัสมาดูวย ศาลลงโทษฐานทำารูายร่างกายเป็ นเหตุใหูผู้ถก ้ ทำารูายไดูรับอันตราย สาหัส ตาม 297 ไดู (ฎ.217/37)
สาม
ขูอเท็จจริงในการพิจารณาแตกต่างจากฟู อง มาตรา 192 วรรคสอง วรรค
- ขูอหาที่ปรากฏในการพิจารณานั ้น พนั กงานสอบสวนจะ
87
ไดูมีการแจูงขูอหาหรือมีการสอบสวนหรือไม่ ศาลก็ลงโทษไดู(ฎ.2129/37)เพราะ การไม่แจูงขูอหา มีผลเพียงหูามอัยการฟู องเท่านั ้น แต่เมื่อขูอเท็จจริงปรากฏจาก ในตัวคำาฟู อง(แต่ในคำาฟู องไม่ไดูแจูงขูอหาไวูเท่านั ้น)และในทางพิจารณา ก็เป็ น อำานาจของศาลที่จะลงโทษไดู - กรณี ท่ีฟูองโจทก์ไม่สมบ้รณ์ (บรรยายมาไม่ถ้กตูองครบถูวนตาม 158 ) ศาลไม่มีอำานาจลงโทษจำาเลยตามขูอเท็จจริงที่พิจารณาไดูความตามมาตรา 192 วรรคสอง (ฎ. 4807/36) ศาลตูองยกฟู องโดยไม่ตูองสืบพยานค่้ความ
- ขูอแตกต่างเกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำาผิด ไม่ถอ ื ว่าต่างกันในขูอ สาระสำาคัญเวูนแต่จำาเลยจะหลงขูอตู้สู้ ดังนั ้นการที่จำาเลยนำ าสืบขูอเท็จจริงตามที่ โจทก์นำาสืบ(ไม่ไดูนำาสืบตามที่โจทก์ฟูอง) แสดงว่าจำาเลยไม่มิไดูหลงต่อสู้(ฎ. 3333/45) หรือฟู องว่ากระทำาผิดวันใดวันหนึ่ ง ซึ่งแตกต่างจากทางพิจารณา แต่ จำาเลยมิไดูนำาสืบต่อสู้เกี่ยวกับวันเวลา แสดงว่าการที่ฟูองผิดไปนั ้นมิไดูเป็ นเหตุใหู จำาเลยหลงต่อสู้ - ขูอแตกต่างในการกระทำาโดยเจตนากับการกระทำาโดยประมาท ไม่เป็ นขูอ แตกต่างในสาระสำาคัญ(ฎ. 2589/46) เช่น ฟู องว่าฆ่าผู้อ่ ืนโดยเจตนา ขูอเท็จจริง ไดูความว่าเป็ นการกระทำาโดยประมาท ศาลลงโทษจำาเลยฐานทำาใหูตายโดย ประมาทไดู หรือ กลับกันก็ไดู(ฎ.1962/41) แต่ถูาปรากฎว่าในทางพิจารณากับ ฟู องนอกจากจะแตกต่างกันในองค์ประกอบเรื่องเจตนากับประมาทแลูว องค์ ประกอบความผิดอื่นๆ ยังแตกต่างกันเป็ นคนละเรื่อง ดังนี้ไม่ใช่ขูอแตกต่าง ระหว่างการกระทำาโดยเจตนากับประมาทตาม มาตรา 192 วรรคสาม ศาลลงโทษ ตามขูอเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาไม่ไดู เช่น ฟู อง ป.อ. มาตรา 149 และ 157 แต่ทางพิจารณาว่าเป็ น 205
ถือว่าแตกต่างกันในขูอสาระสำาคัญ ศาล
ลงโทษตาม 205 ไม่ไดู เกินคำาขอ
- ขูอแตกต่างในฐานความผิด ตามวรรคสาม เช่น ฟู องลักทรัพย์ ไดู ความว่าเป็ นความผิดทำาใหูเสียทรัพย์ ศาลลงโทษฐาน ทำาใหูเสียทรัพย์ไดู หรือฟู อง ว่าลักทรัพย์ ไดูความว่าเป็ นฉู อโกง เมื่อจำาเลยไม่หลงขูอต่อสู้ ( เพราะจำาเลยสืบว่า ทรัพย์เป็ นของจำาเลย) ศาลลงโทษฉู อโกงไดู (ฎ. 3462/28)
ของโจร ไดูความว่าฉู อโกงศาลลงโทษฉู อโกงไดู(ฎ. 2652/43)
ฟู องว่ารับ ฟู องว่าชิง
ทรัพย์ ไดูความว่าเป็ นวิ่งราวทรัพย์ ลงวิ่งราวไม่ไดู แต่ลงลักทรัพย์ไดู( ฎ.831/32) เพราะทัง้ ความผิดฐานชิงทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์ต่างมิใช่ความผิดตามที่ระบุไวูใน
88
192 วรรคสาม ฟู องลักทรัพย์ ไดูความว่ารับของโจร ศาลลงรับ ของโจรไดู *** ขูอสังเกต ขูอเท็จจริงที่ปรากฎในทางพิจารณา น่ าจะตูองเป็ นขูอ เท็จจริงที่ไดูจากการสืบพยานหลักฐานของโจทก์และจำาเลยในการพิจารณาของศาล หากคดีนั้นจำาเลยใหูการรับสารภาพ(คดีไม่ตูองสืบประกอบ) จึงไม่มีการสืบพยาน โจทก์ กรณี เช่นนี้ทำาใหูไม่มีขูอเท็จจริงที่ไดูจากการพิจารณา จึงไม่ตูองดูวย มาตรา 192 วรรคสาม เช่น ฟู องรับของโจร จำาเลยรับว่าลักทรัพย์ ซึ่งมิใช่การกระทำาที่ กล่าวในฟู อง เมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจะลงลักทรัพย์ไม่ไดู เพราะขูอ เท็จจริงที่จำาเลยใหูการรับสารภาพฐานลักทรัพย์นั้น ไม่ใช่ขูอเท็จจริงที่ปรากฎใน ทางพิจารณา (ฏ.5666/45)
- ในกรณี ท่โี จทก์ฟูองว่าจำาเลยกระทำาผิดฐานลักทรัพย์ หรือ รับของโจร ฐานใดฐานหนึ่ งเมื่อศาลชัน ้ ตูนพิจารณาไดูความว่าจำาเลยประทำาผิดฐานใดฐานหนึ่ ง ในสองฐานดังกล่าว ศาลชัน ้ ตูนก็ลงโทษไดูตามฟู อง กรณี นี้ไม่ใช่เรื่องขูอแตก ต่างในฐานความผิด แต่ศาลชัน ้ ตูนลงโทษจำาเลยฐานใดฐานหนึ่ ง หากศาลส้งเห็น ว่า เป็ นความผิดอีกฐานหนึ่ งก็ลงโทษตามขูอเท็จจริงที่ไดูความไดูโดยอาศัยอำานาจ ตาม มาตรา 192 วรรคสาม(ฎ.1610/39 ป.)*** - ฟู องว่าลักทรัพย์หรือรับของโจรอย่างหนึ่ ง ทางพิจารณาไดูความว่าเป็ น ทรัพย์อีกอย่างหนึ่ ง ดังนี้ถือว่าแตกต่างกันในขูอสาระสำาคัญ ทัง้ เป็ นเรื่องที่โจทก์ไม่ ประสงค์จะใหูลงโทษ ตามมาตรา 192 วรรคสอง และวรรคสี่ (ฎ.8802/43 ลัก สายย้ ออกผู้ช่วย ปี 50) แต่ถาู ฟู องว่ารับของโจรซึ่งไดูมาจากการกระทำาผิดฐาน หนึ่ ง แต่ไดูความว่าไดูมา จากการกระทำาผิดอีกฐานหนึ่ ง ไม่ใช่ขูอสาระสำาคัญ (ฎ.228/10 ป.)
- ถูาโจทก์ระบุตัวทรัพย์ผิดพลาด แต่โจทก์ไดูระบุราคาทรัพย์ของกลางที่
ถ้ ก ตู อ ง ม า ดู ว ย ไ ม่ ถื อ ว่ า เ ป็ น ขู อ ส า ร ะ สำา คั ญ (ฎ .1995/18 ป .)
- ถูาทรัพย์ของกลางตามที่โจทก์ฟูอง และที่ปรากฏในการพิจารณาเป็ น ทรัพย์อันเดียวกันแต่แตกต่างกันที่เจูาของ ถือว่าแตกต่างกันในรายละเอียด ไม่ใช่ ขูอสาระสำาคัญ ถูาจำาเลยไม่หลงต่อสู้ ศาลจะพิพากษายกฟู องไม่ไดู (ฎ.913/13) สรุปไดูว่า ถูาแตกต่างในตัวทรัพย์เป็ นสาระสำาคัญ ถูาแตกต่างในตัว เจูาของทรัพย์ ไม่ใช่สาระสำาคัญ - ฟู องว่าใชูอาวุธอย่างหนึ่ งทำารูายผูเ้ สียหาย ไดูความว่าเป็ นอาวุธอีกอย่าง หนึ่ ง มิใช่ขูอแตกต่างในสาระสำาคัญ(ฎ.1351/39) หรือฟู องว่าใชูอาวุธปื นยิงที่ ศีรษะผู้เสียหาย ไดูความว่าจำาเลยใชูอาวุธตีท่ีศีรษะ จำาเลยไม่หลงต่อสู้ ศาลลงโทษ ฐานทำารูายร่างกายไดู ตาม 192 วรรคทูาย (ฎ. 2768/36, 1052/45 ป. )
- ในคดีด้หมิ่นเจูาพนั กงานฟู องว่าด้หมิ่นคนหนึ่ งแต่ไดูความว่าเป็ นอีก
89
คนหนึ่ ง เป็ นขูอแตกต่างในสาระสำาคัญ(ฎ.207/28) แต่ในคดีหมิ่นประมาท บรรยายฟู องว่ากล่าวขูอความหมิ่นประมาทต่อบุคคลที่สามคนหนึ่ ง ไดูความทาง พิจารณาว่าเป็ นอีกคนหนึ่ ง ไม่ใช่ขูอสาระสำาคัญ (ฎ.3086/16)
- ในคดีท่ีฟูองว่าฆ่าคนตายหรือทำารูายร่างกายจนไดูรับอันตรายสาหัส แต่
ทางพิจารณาไดูความว่าเป็ นการชุลมุนต่อสู้กันตาม ป.อ. ม. 294 หรือ 299
เป็ นขูอแตกต่างในสาระสำาคัญ (ฎ. 48/28) ในกรณี ท่รี ู้ว่าใครเป็ นคนทำารูายใคร แมูทางพิจารณาไดูความว่าเป็ นการชุลมุนต่อสู้ก็ไม่เป็ นขูอแตกต่างจากฟู อง(ฎ. 3141/27) - ขูอแตกต่างที่ไม่เป็ นสาระสำาคัญและจำาเลยไม่หลงต่อสู้ เช่น ความผิด ตาม พ.ร.บ.เช็คโจทก์ฟูองว่าผู้เสียหายเป็ นผู้นำาเช็คไปเขูาบัญชีของผู้เสียหาย แต่ ทางพิจารณาไดูความว่าผู้อ่ ืนเป็ นผูน ้ ำ าเช็คไปเขูาบัญชีของผู้เสียหาย (ฎ.1298/39) หรือ บรรยายฟู องว่าผู้เสียหายนำ าเช็คเขูาบัญชีของผู้เสียหาย แต่ทางพิจารณาไดู ความว่าผู้เสียหายนำ าเช็คไปเขูาบัญชีของผู้อ่ ืนเพื่อเรียกเก็บเงิน มิใช่ขูอแตกต่างใน สาระสำาคัญ (ฎ. 1084/42) - ในคดีละเมิดรถชนกัน แมูทางพิจารณาไดูความว่ารถที่ชนมีหมายเลข ทะเบียนแตกต่างจากเลขทะเบียนที่กล่าวในฟู อง ขูอแตกต่างนั ้นไม่ใช่ขอ ู สาระ สำาคัญ (ฎ. 779/15) เรื่องนี้ตัวรถถ้กตูอง แต่จำาหมายเลขทะเบียนเพีย ้ นไป - ฟู องว่าจำาเลยร่วมกันทำารูาย ทางพิจารณาไดูความว่าจำาเลยต่างมีเจตนา ทำารูาย โดยมิไดูเป็ นตัวการร่วม มิใช่ขูอแตกต่างกันในสาระสำาคัญ ศาลลงโทษตาม ขูอเท็จจริงในทางพิจารณาไดู(ฎ.7165/42) หรือฟู องว่าจำาเลยแต่ผู้เดียวทำารูายผู้ ตาย ทางพิจารณาไดูความว่าจำาเลยร่วมกับพวกทำารูายตาย เป็ นเพียงขูอแตกต่างใน รายละเอียด(ฎ.2444/43) ขูอเท็จจริงที่โจทก์ไม่ประสงค์ใหูลงโทษ ( มาตรา 192 วรรคสี่) - หมายถึง กรณี ท่โี จทก์ไม่ไดูบรรยายฟู อง ใหูครอบคลุมถึงขูอเท็จจริงอัน เป็ นองค์ประกอบความผิด ฐานใดฐานหนึ่ งดูวย แมูจะไดูความจากทางพิจารณาว่า จำาเลยกระทำาผิดฐานนั ้นดูวยก็ตาม (ไม่ไดูบรรยายในฟู องในความผิดฐานซึ่งใน ทางพิจารณานำ าสืบพบในความผิดฐานดังกล่าวนั ้น ประกอบกับไม่ไดูขอใหู ลงโทษฐานความผิดตามที่พิจารณาไดูความ) ดังนี้ เป็ นกรณี ไม่ประสงค์ใหู ลงโทษ ( ดังนั ้นศาลลงโทษฐานนั ้นไม่ไดู) เช่น บรรยายฟู องว่าชิงทรัพย์หรือ ปลูนทรัพย์ (ไม่ไดูบรรยายว่าฉกฉวยเอาซึ่งหนู า) ทางพิจารณาไดูความว่าเป็ น ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ไดู ถือว่าโจทก์ไม่ ประสงค์ใหูลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ แต่ศาลลงโทษในความผิดฐานลักทรัพย์ไดู
90
ตาม มาตรา 192 วรรคทูาย เพราะความผิดฐานลักทรัพย์เป็ นการกระทำาที่รวม อย่้ในความผิดฐาน วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปลูนทรัพย์ (ฎ. 7884/44,1985/39) - และหมายถึง กรณี ท่ีโจทก์บรรยายฟู องว่าจำาเลยกระทำาความผิดหลาย ฐาน และโจทก์ไดูบรรยายขูอเท็จจริงเป็ นองค์ประกอบความผิดมาแลูว แต่คำาขอ ทูายฟู องไดูขอใหูลงโทษเพียงบางฐานเท่านั ้น ถือว่าฐานที่ไม่ไดูขอเป็ นเรื่องที่ โจทก์ไม่ประสงค์ใหูลงโทษ เช่น บรรยายฟู องและบรรยายองค์ประกอบความผิด ว่าพยายามฆ่าเจูาพนั กงานในการปฎิบัติตามหนู าที่ โดยขับรถพุ่งเขูาชนไม่ใหูจับกุม ขณะตัง้ จุดตรวจโดยมีเจตนาฆ่าและขัดขางการจับกุม ซึ่งเป็ นการต่อสู้ขัดขวางเจูา พนั กงาน ตามมาตรา 138 แต่โจทก์ไม่ไดูขอใหูลงโทษ ตามมาตรา 138 มาทูาย ฟู องดูวย จึงถือว่าไม่ประสงค์ใหูลงโทษฐานต่อสู้ขัดขวางฯ (ฎ. 3452/43) ซึ่งอาจ จะเป็ นกรณี เกินคำาขอ( 192 วรรคแรก) อย่ใ้ นตัว หูา)
ขูอเท็จจริงตามฟู องโจทก์สืบสมแต่อูางฐานความผิดผิด ( มาตรา 192 วรรค
- หมายถึงกรณี ท่โี จทก์บรรยายฟู องมาแลูว และโจทก์สืบสม แต่กลับขอใหู ลงโทษในความผิดอีกฐานหนึ่ ง (อูางฐานหรือบทมาตราผิด) ศาลจึงมีอำานาจ ลงโทษตามฐานความผิดที่ถก ้ ตูองไดู ( แต่ไม่ใช่อูางกฎหมายผิดเป็ นคนละฉบับ ฎ. 1173/39) (ฎ. 2048/47, 1750/48) - การอูางกฎหมายที่ถ้กยกเลิกไปแลูว เท่ากับไม่ไดูอูางกฎหมายใดๆมาเลย (ฎ. 6444/46) ความผิดที่รวมการกระทำาหลายอย่าง ( มาตรา 192 วรรคทูาย) - กรณี ความผิดตามขูอเท็จจริงที่พิจารณาไดูความนั ้นเป็ นความผิดอันยอม ความไดู จึงตูองมีคำารูองทุกข์ไวูตามกฎหมาย หากไม่มีคำารูองทุกข์ พนั กงาน สอบสวน ไม่มีอำานาจสอบสวน และพนั กงานอัยการไม่มีอำานาจฟู อง ศาลก็ ลงโทษความผิดที่พิจารณาไดูความไม่ไดู เช่น ฟู องขอใหูลงโทษตามมาตรา 276 วรรคสอง ซึ่งเป็ นความผิดอันยอมความไม่ไดู ขูอเท็จจริงไดูความว่า เป็ นความผิด ตาม มาตรา 276 วรรคแรก ซึ่งเป็ นความผิดอันยอมความไดู แต่ปรากฏว่าผู้เสีย หายไปแจูงความรูองทุกข์ไวูเป็ นหลักฐานเท่านั ้น ไม่เป็ นคำารูองทุกข์ตามกฎหมาย เช่นนี้ โจทก์ไม่มีอำานาจฟู องจำาเลยในความผิดตามมาตรา 276 วรรคแรก ที่ พิจารณาไดูความ ศาลตูองยกฟู อง (ฎ. 4906/43) - ฟู องฐานฆ่าผู้อ่ น ื ทางพิจารณาไดูความว่า เป็ นการทำารูายร่างกายผู้อ่ ืน ถือว่า ความผิดฐานทำารูายร่างกายรวมอย่้ในความผิดฐานฆ่าผู้อ่ น ื ดูวย ศาลจึง ลงโทษฐานทำารูายร่างกายผู้อ่ ืนไดู (ฎ. 584/45) หรือฟู องพยายามฆ่าโดยไตร่ตรอง ไวูก่อน เมื่อฟั งว่ามีเพียงเจตนาทำารูาย ก็ลงโทษฐานทำารูายร่างกายโดยไตร่ตรองไวู ก่อน ตามมาตรา 296 ไดู(ฎ.2444/43) หรือฟู องว่าพยายามฆ่าเจูาพนั กงานซึ่ง กระทำาการตามหนู าที่ ไดูความว่าเป็ นความผิดฐาน ทำารูายร่างกายเจูาพนั กงานซึ่ง กระทำาการตามหนู าที่ ก็ลงโทษฐานนี้ไดูตามขูอเท็จจริงที่ไดูความ ตาม ป.วิอาญา มาตรา 192 วรรคทูาย (ฎ.7793/47) - ฟู องขอใหูลงโทษฐานฆ่าผู้อ่ ืนโดยเจตนา ตามมาตรา 288 ความผิดดัง กล่าวย่อมรวมความผิดฐานทำารูายผู้อ่ ืนจนเป็ นเหตุใหูถึงแก่ความตายตามมาตรา 290 วรรคแรกอย่้ดูวย (ฎ. 1522/47) - ฟู องว่าพยายามฆ่าโดยใชูอาวุธปื นยิง ไดูความว่าทำารูายร่างกายโดยใชูผืนตี ทำารูาย ลงโทษฐานทำารูายผู้อ่ ืนไดู (ฎ. 1052/45 ป.)
91
ขูอสังเกต กรณี ฟูองขูอหาพยายามฆ่า ทางพิจารณาไดูความว่า จำาเลย ทำารูายเท่านั ้น ศาลพิพากษาลงโทษฐานทำารูายร่ากายตาม ป.อ. มาตรา 295 ไดู แต่ถูาขูอเท็จจริงที่ไดูความเป็ นการทำารูายร่างกายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297 ขูอ เท็จจริงที่ถือว่าเป็ นอันตรายสาหัสตามมาตรา 297(1)-(8) ไม่ไดูรวมอย่้ในความผิด ฐานพยายามฆ่าดูวย ดังนั ้นเมื่อไม่ไดูบรรยายฟู องขูอเท็จจริงเกี่ยวกับอันตราย สาหัสที่ผู้ตูองหาไดูรับ ศาลลงโทษตามมาตรา 297 ไม่ไดู คงลงโทษไดูตามาตรา 295 เท่านั ้น แต่ถูาฟู องว่าพยายามฆ่า โดยบรรยายฟู องดูวยว่าผู้เสียหายไดู รับอันตรายสาหัสอย่างไร ศาลลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 297 ตามขูอเท็จจริงที่ไดู ความไดูความไดู โดยรายงานการชันส้ตรบาดแผลทูายฟู องที่ระบุว่าผู้เสียหายไดู รับอันตรายสาหัส ซึ่งถือเป็ นส่วนหนึ่ งของฟู อง เท่ากับโจทก์ไดูบรรยายฟู องขูอ เท็จจริงว่าผู้เสียหายไดูรับอันตรายสาหัสอย่างไร เมื่อขูอเท็จจริงไดูความว่าเป็ นการ ทำารูายร่างกายสาหัสตาม ป.อ.มาตรา 297 ศาลก็ลงโทษ ฐานนี้ไดู ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 192 วรรคทูาย (ฎ. 7135/47 ป.)*** - ความผิดฐานชิงทรัพย์ หรือปลูนทรัพย์ รวมการกระทำาความผิดฐานลัก ทรัพย์ และการใชูกำาลังประทุษรูาย ดังนี้ แมูฟังไม่ไดูว่ามีการลักทรัพย์ จึงไม่เป็ น ความผิดฐานชิงทรัพย์ คงฟั งไดูว่ามีการทำารูาย ศาลก็ลงโทษฐานทำารูายร่างกาย ตาม ป.อ.มาตรา 295 หรือ 297 ไดู แลูวแต่กรณี (ฎ. 8701/47) - แมูฟูองขอใหูลงโทษฐานปลูนทรัพย์เพียงกระทงเดียว แต่เมื่อขูอเท็จจริง ไดูความว่าการกระทำาของจำาเลยเป็ นความผิดฐานทำารูายร่างกายและฐานลักทรัพย์ รวม 2 กระทง ศาลก็ลงโทษ ทัง้ สองกระทงนั ้นไดู แต่ความผิดฐานทำารูายร่างกาย แมูจะไดูความว่าเป็ นการทำารูายร่างกายโดยไตร่ตรองไวูก่อน แต่โจทก์ไม่ไดู บรรยายฟู องว่าจำาเลยกระทำาโดยไตร่ตรองไวูก่อน ศาลลงโทษไดูเพียงตามมาตรา 295 (ฎ. 108/46) - ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ มิไดูเป็ นส่วนหนึ่ งของความผิดฐานชิงทรัพย์ ศาลลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ตามขูอเท็จจริงที่ไดูความไม่ไดู( มิไดูบรรยายว่า ฉกฉวยเอาทรัพย์ไป) คงลงโทษในความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งเป็ นส่วนหนึ่ งของ การชิงทรัพย์ไดูเท่านั ้น ทัง้ นี้ตาม มาตรา 192 วรรคทูาย ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์สืบสม แต่อูางฐานหรือบทความผิดผิด ตามมาตรา 192 วรรค 5 (ฎ. 12584/47) - ความผิดฐานทำาใหูผู้อ่ ืนตกใจกลัว ตาม ป.อ.มาตรา 392 มิไดูรวมอย่้ใน ความผิด ฐานชิงทรัพย์ (ฎ.3084/30) - หากความผิดที่ไดูความในทางพิจารณาเป็ นความผิดอันยอมความไดู ตูอง ด้ว่ามีการรูองทุกข์ตามกำาหนดเวลาตาม ป.อ. มาตรา 96 หรือไม่ หากไม่ไดูรูอง ทุกข์ตามกำาหนดคดีก็ขาดอายุความ (ฎ. 4752/45) อุทธรณ์ ( มาตรา 193) - การอุทธรณ์คัดคูานคำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูน ไม่ว่าจะเป็ นการอุทธรณ์ ในขูอเท็จจริงหรือในขูอกฎหมาย ก็ตูองอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ตามลำาดับชัน ้ ศาล ซึ่งตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 วรรคหนึ่ ง ไดูบัญญัติไวูโดยเฉพาะแลูว ค่ค ้ วามจึง ไม่มีสิทธิอุทธรณ์เฉพาะปั ญหาขูอกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาดังเช่นคดีแพ่ง จะ นำ า ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ มาใชูบังคับมิไดู (ฎ. 3946/42) - การที่คค ่้ วามแถลงไม่ติดใจอุทธรณ์ คำาแถลงเช่นนี้ไม่ถอ ื ว่าเป็ นการตัด สิทธิอท ุ ธรณ์ ค่ค ้ วามจึงยื่นอุทธรณ์ภายในระยะอุทธรณ์ไดู (ฎ. 302/95)
92
-โจทก์ร่วมไม่มีสิทธิอท ุ ธรณ์ในความผิดขูอหาที่รัฐเท่านั ้นเป็ นผู้เสียหาย เช่น ความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 78,160 ซึ่งรัฐเท่านั ้นเป็ นผู้เสีย หาย ส่วนโจทก์ร่วมเป็ นผู้เสียหายเฉพาะในความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 291 (ฎ.9299/39) หรือกรณี ความผิดฐานทำาลายพยานหลักฐานตาม ป.อ. มาตรา 199 (ฎ. 2110/48) **** - ในกรณี การรวมพิจารณาคดีเขูาดูวยกัน ผูเ้ สียหายมีสิทธิย่ ืนอุทธรณ์ เฉพาะสำานวนที่ตนยื่นคำารูองขอเขูาเป็ นโจทก์ร่วมเท่านั ้น หากยื่นอุทธรณ์ใน สำานวนที่ตนไม่ไดูเข่าเป็ นโจทก์ร่วมถือว่าเป็ นการยื่นอุทธรณ์โดยไม่ชอบ (ฎ. 7364/38) - อุทธรณ์ทุกฉบับตูองระบุขอ ู เท็จจริงโดยย่อ หรือขูอกฎหมายที่ยกขึ้น อูางอิงเป็ นลำาดับ ตามมาตรา 193 วรรคสอง ซึ่งนำ าไปใชูในชัน ้ ฎีกาดูวย - จำาเลยฎีกาถือเอาคำาพิพากษาศาลชัน ้ ตูน หรือคำาฟู องอุทธรณ์ เป็ นขูอฎีกา ของจำาเลย หรือฎีกา โดยถือเอาคำาแถลงการณ์ปิดคดีในศาลชัน ้ ตูน เป็ นส่วนหนึ่ ง ของฎีกาจำาเลยไม่ไดู (ฎ. 1199/35) ถือเป็ นฎีกาไม่ชัดเจน ไม่ชอบดูวยมาตรา 193 วรรคสองประกอบมาตรา 225 - อุทธรณ์หรือฎีกาที่ระบุว่า คำาพิพากษาของศาลล่างวินิจฉั ยคลาดเคลื่อน ต่อเหตุผลและความเป็ นจริง โดยมิไดูระบุว่าวินิจฉั ยไม่ชอบหรือขัดต่อกฎหมาย อย่างไร ไม่เป็ นการคัดคูานคำาพิพากษาของศาลล่าง ไม่ชอบดูวยมาตรา 193 วรรคสอง (ฎ. 3918/25) -**คำาแถลงการณ์ในชัน ้ อุทธรณ์ หรือฎีกา มิใช่ส่วนหนึ่ งของอุทธรณ์หรือ ฎีกา หากอุทธรณ์หรือฎีกาไม่ชอบดูวยกฎหมายแลูว คำาแถลงการณ์จึงไม่ทำาใหู อุทธรณ์หรือฎีกาชอบดูวยกฎหมายขึ้นมาไดู เช่นยื่นอุทธรณ์โดยไม่ไดูระบุขูอเท็จ จริงโดยย่อ แมูว่าจะยื่นคำาแถลงการณ์ภายในกำาหนดอายุอท ุ ธรณ์ ก็ไม่ทำาใหู อุทธรณ์นั้น เป็ นอุทธรณ์ท่ีชอบดูวยกฎหมาย (ฎ. 1514/32) - ค่ค ้ วามจะฎีกาโดยอูางว่าเห็นชอบดูวยคำาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ แต่ เพื่อใหูศาลฎีกาวินิจฉั ยเพื่อเป็ นแบบอย่างต่อไป เป็ นฎีกาที่ไม่ชอบ (ฎ. 890/90) - **การที่ทนายความยื่นอุทธรณ์แทนจำาเลย โดยจำาเลยไม่ไดูแต่งตัง้ ใหูเป็ น ทนายความของตน เป็ นอุทธรณ์ท่ีไม่ชอบ ศาลตูองสัง่ ใหูแกูไขขูอบกพร่องดัง กล่าวนั ้นใหูถ้กตูอง(ฎ. 2281/45) หากศาลชัน ้ ตูนมิไดูปฏิบัติใหูถก ้ ตูองตามกระ บวนพิจารณาเป็ นเหตุใหูจำาเลยตูองเสียสิทธิท่ีจะรับการพิจารณาในเนื้ อหาแห่ง อุทธรณ์ ศาลฏีกาสัง่ ใหูแกูไขตามมาตรา 208(2) ประกอบมาตรา 225 แต่หาก ต่อมาปรากฏว่าไดูมีการแต่งตัง้ ทนายความคนดังกล่าวใหูมอ ี ำานาจอุทธรณ์หรือ ฎีกาแทน ก็ไม่จำาตูองสัง่ ใหูแกูไข และตูองถือว่าไดูย่ ืนอุทธรณ์โดยชอบมาแต่ตูน แลูว
คดีท่ีตูองหูามอุทธรณ์ในปั ญหาขูอเท็จจริง ( มาตรา 193 ทวิ) - กรณี ตูองหูามอุทธรณ์ ในปั ญหาขูอเท็จจริงตาม 193 ทวิ ตูองเป็ นการโตู แยูงเนื้ อหาแห่งคำาฟู องหรือตามประเด็นแห่งคดี ดังนั ้นการโตูแยูงดุลพินิจของศาล ที่ไม่เกี่ยวกับเนื้ อหาหรือประเด็นแห่งคดี ไม่ตูองหูามอุทธรณ์ เช่นการอุทธรณ์โตู แยูงคำาสัง่ ศาลที่ไม่รับฟู อง (ฎ. 14/37) , อุทธรณ์คำาสัง่ ศาลที่ใหูงดสืบพยาน(ฎ. 1927/37) , กรณี รูองขอคืนของกลางตามมาตรา 36 แห่ง ป.อาญา ( ไม่อย่้ภายใตู บังคับขูอหูามอุทธรณ์หรือฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริง) ฎ. 211/04 ป. และฎ. 1025/22
93
- การพิจารณาอัตราโทษว่าเป็ นคดีท่ีตูองหูามอุทธรณ์ในปั ญหาขูอเท็จจริง หรือไม่ ตูองพิจารณาจากอัตราโทษ จากฐานความผิดที่โจทก์ขอใหูลงโทษเป็ น สำาคัญ ไม่ใช่จากอัตราโทษในฐานความผิดที่ศาลพิจารณาไดูความ (ฎ. 2590/40,4911/37) - กรณี ความผิดขูอหาใดที่ระบุไวูในคำาขอทูายฟู อง แต่ไม่ไดูบรรยายขูอเท็จ จริงอันเป็ นองค์ประกอบความผิดไวูดูวย ถือว่าไม่ไดูฟูองขอใหูลงโทษขูอหานั ้น ดูวย จึงจะนำ าอัตราโทษในขูอหานั ้นมาพิจารณาว่าเป็ นคดีตูองหูามอุทธรณ์หรือไม่ ไม่ไดู - สิทธิอุทธรณ์ในคดีท่ีมีหลายขูอหา การพิจารณาว่าคดีตูองหูามตาม 193 ทวิหรือไม่ ตูองพิจารณาว่าความผิดเหล่นั้น เป็ นกรรมเดียวหรือหลายกรรม ถูา เป็ นหลายกรรม ตูองพิจารณาอัตราโทษแต่ละขูอหา ( พิจารณาทุกขูอหา ) (ฎ. 586/44, 204/22) แต่ถาู เป็ นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ใหูพิจารณาเฉพาะ บทหนั ก ถูาบทหนั กไม่หูามถือว่าอุทธรณ์ไดูทุกขูอหา (ฎ. 3154/43, 95/21) - มาตรา 193 ทวิ นำ าไปใชูในชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู องดูวย (ฎ. 3062/32) - คำาพิพากษาของศาลที่สัง่ ใหูส่งจำาเลยไปฝึ กอบรมตาม ป.อ. มาตรา 74 ไม่ ถือว่าเป็ นคำาพิพากษาที่ใหูลงโทษจำาคุก จึงตูองหูามอุทธรณ์ในปั ญหาขูอเท็จจริง (ฎ. 432/40) - ศาลชัน ้ ตูนมีหนู าที่ตรวจว่าเป็ นอุทธรณ์ตูองหูามหรือไม่ ถูาตูองหูาม ศาล ชัน ้ ตูนก็สัง่ ไม่รับอุทธรณ์ไดู ตามมาตรา 195 แต่ถูาศาลชัน ้ ตูนรับอุทธรณ์ท่ีตอ ู ง หูามมาแลูว ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษายกอุทธรณ์ไดู ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 242 ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 โดยไม่จำาตูองวินิจฉั ยเนื้ อหาที่อท ุ ธรณ์(ฎ. 2482/27) - คดีท่ีมีหลายกระทง บางกระทงตูองหูามตาม 193 ทวิ บางกระทงไม่ตูอง หูามฯ เมื่อจำาเลยอุทธรณ์รวมกันมา หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำาเลยไม่มค ี วามผิด ในกระทงที่ตอ ู งหูามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำานาจยกฟู องไดู ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 (ฎ. 3184/45, 1724/26)
การรับรองอุทธรณ์ ( มาตรา 193 ตรี) ในคดีท่ีตูองหูามอุทธรณ์ตามมาตรา 193 ทวิ ผู้พิพากษาซี่งพิจารณา หรือ ลงชื่อในคำาพิพากษาหรือทำาความเห็นแยูงในศาลชัน ้ ตูน อาจอนุญาตใหูอท ุ ธรณ์ใน ปั ญหาขูอเท็จจริงไดู หรืออัยการส้งสุดหรือพนั กงานอัยการที่อัยการส้งสุดไดูมอบ หมายใหูลงลายมือชื่อรับรองในอุทธรณ์ว่ามีเหตุอันสมควรที่ศาลอุทธรณ์จะไดู วินิจฉั ย - การที่จะใหูอธิบดี กรมอัยการรับรองนั ้น กฎหมายมิไดูบัญญัติใหูศาลชัน ้ ตูนมีหนู าที่ตูองส่งอุทธรณ์ไปใหูอธิบดีกรมอัยการ การรับรองอุทธรณ์เป็ น ประโยชน์แก่ผู้อท ุ ธรณ์เอง ผู้อท ุ ธรณ์จึงตูองขวนขวายขอรูองไปยังอธิบดีกรม อัยการเอง หาใช่อาศัยศาลเป็ นเครื่องมือส่งไปยังอธิบดีอัยการไม่(ฎ.656/06) - การอนุญาตใหูอท ุ ธรณ์ ตูองมีถูอยคำาที่ใชูใหูมค ี วามหมายใหูเห็นว่า เป็ นการรับรองขูอที่ตอ ู งหูาม ก็ชอบแลูว(ฎ. 2255/34) แต่ควรมีขูอความใหูครบ ถูวนตามหลักเกณฑ์ว่า “ ขูอความที่ตัดสินเป็ นปั ญหาสำาคัญอันควรส่้ศาลอุทธรณ์ และอนุญาตใหูอุทธรณ์” (ฎ. 2216/21) - ถูาผู้พิพากษาซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำาพิพากษา หรือทำาความเห็นแยูง ไม่อนุญาตใหูอุทธรณ์ ค่ค ้ วามมีสท ิ ธิขอใหูอัยการส้งสุด หรือพนั กงานอัยการผู้ไดู รับมอบหมายรับรองอุทธรณ์ไดู หรือกรณี กลับกันหากครัง้ แรกยื่นขอใหูอัยการ
94
ส้งสุดหรือผู้ไดูรับมอบหมายใหูรับรอง แต่ หากอัยการส้งสุด หรือผู้ไดูรับมอบ หมาย ไม่รบ ั รองอุทธรณ์ ค่ค ้ วามมีสิทธิขอใหูผู้พิพากษาดังกล่าวอนุญาตใหู อุทธรณ์ไดูอีก (ฎ. 659/41) - เมื่อศาลอนุญาตใหูอุทธรณ์ในปั ญหาขูอเท็จจริงแลูว ศาลนั ้นจะเพิกถอน คำาสัง่ นั ้นไม่ไดู(ฎ.659/41)
การวินิจฉั ยคดีท่ีอท ุ ธรณ์แต่ขูอกฎหมาย( มาตรา 194) - ถูามีการอุทธรณ์แต่เฉพาะปั ญหาขูอกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ตูองฟั งขูอเท็จ จริงตามที่ศาลชัน ้ ตูนวินิจฉั ยมาแลูวจากพยานหลักฐานในสำานวน แต่ถูาศาลชัน ้ ตูนวินิจฉั ยขูอเท็จจริงผิดกฎหมาย (เช่นถือเอาขูอเท็จจริงในคดีแพ่งมาผ้กพันใน คดีอาญา) ศาลอุทธรณ์มีอำานาจฟั งขูอเท็จจริงใหม่ไดู ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243(3) ก ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 (ฎ. 3202/27) แต่ถูามีอท ุ ธรณ์ทัง้ ขูอเท็จจริง และขูอกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ฟังขูอเท็จจริงใหม่ไดู - ขูอเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ตูองฟั งตามศาลชัน ้ ตูน หมายถึงขูอเท็จจริงที่จะ นำ ามาใชูวินิจฉั ยขูอกฎหมายที่อท ุ ธรณ์เท่านั ้น (ฎ. 1245/10) - ในกรณี ท่ีขูอเท็จจริงที่ศาลชัน ้ ตูนฟั งมาไม่ชัดเจนเพียงพอแก่การวินิจฉั ย ขูอกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ย่อมรับฟั งขูอเท็จจริงใหม่ไดู (ฎ.3305/30) - คดีท่ีไม่ตูองหูามอุทธรณ์ในขูอเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ย่อมวินิจฉั ยปั ญหา ขูอเท็จจริงต่างจากศาลชัน ้ ตูนไดู การวินิจฉั ยปั ญหาขูอกฎหมายตามขูอเท็จจริงที่ ฟั งไดูดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อมาตรา 194(ฎ. 14/42) ขูอกฎหมายที่อุทธรณ์ไดู ( มาตรา 195) - ขูอกฎหมายนั ้นจะตูอง แสดงไวูชัดเจน และตูองเป็ นขูอที่ไดูว่ากล่าวกันมา แลูวโดยชอบในศาลชัน ้ ตูน - อุทธรณ์ตูองโตูแยูงคำาพิพากษาหรือคำาสัง่ ของศาลชัน ้ ตูน การที่อท ุ ธรณ์ แต่เพียงว่าการกระทำาของจำาเลยไม่เป็ นความผิดตามฟู อง จึงเป็ นเป็ นการอุทธรณ์ท่ี ไม่ไดูโตูแยูงคำาพิพากษาของศาลตูน ( เทียบ ฎ. 5280/40) - ขูอกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบรูอย หรือที่เกี่ยวกับการไม่ปฎิบัติ ตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อาญา แมูไม่ไดูยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชัน ้ ตูน ผู้ อุทธรณ์ หรือศาลยกขึ้นเองไดู ( ถูาผู้อุทธรณ์ไม่ยก ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉั ยใหู ไดู) (ฎ.4313/45) -** ปั ญหาขูอกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบรูอย เช่น ปั ญหาเรื่อง อำานาจฟู อง , ฟู องเคลือบคลุม , คดีขาดอายุความ ,กรรมเดียวหรือหลายกรรม, การปรับบทลงโทษจำาเลยในความผิดฐานใดนั ้น , ปั ญหาว่าเพิ่มโทษจำาเลยชอบ หรือไม่ , ปั ญหาว่าฟู องที่ไม่ลงลายมือชื่อโจทก์เป็ นฟู องชอบดูวยกฎหมายหรือไม่ , ความผิดสำาเร็จหรือพยายาม , ระวางโทษไม่ถ้กตูอง , ศาลล่างพิพากษาเกิน คำาขอ - *** กรณี ท่ีจำาเลยใหูการรับสารภาพในคดีท่ีมีอัตราโทษอย่างตำ่าใหูจำาคุก ไม่ถึง 5 ปี ศาลชัน ้ ตูนมีคำาพิพากษาไปแลูว ตาม 176 วรรคแรก จำาเลยจะอุทธรณ์ ว่าการกระทำาของจำาเลยไม่เป็ นความผิดไม่ไดู เพราะขูออุทธรณ์ท่ีว่า จำาเลยไม่ไดู กระทำาผิดนั ้นไม่ไดูว่ากล่าวกันมาแลูวโดยชอบในศาลชัน ้ ตูน (ฎ. 6558/47,3061/47) แต่ถาู เป็ นคดีท่ีมีอัตราโทษอย่างตำ่าใหูจำาคุกตัง้ แต่ 5 ปี ขึ้นไป หรือโทษสถานที่หนั กกว่านั ้น เป็ นคดีท่ีโจทก์ตูองสืบพยานประกอบคำารับ
95
สารภาพ และศาลจะลงโทษจำาเลยต่อเมื่อพอใจว่าจำาเลยกระทำาผิด ดังนี้ถือไดูว่า มีประเด็นในศาลชัน ้ ตูนแลูวว่าจำาเลยกระทำาผิดตามฟู องโจทก์หรือไม่ เป็ นขูอที่ว่า กล่าวกันมาแลูวในศาลชัน ้ ตูน จำาเลยจึงอุทธรณ์ไดูว่าพยานหลักฐานของโจทก์รับ ฟั งไม่ไดูว่าจำาเลยกระทำาความผิด (ฎ. 2879/40 ) - คดีท่ีตูองหูามอุทธรณ์ในปั ญหาขูอเท็จจริง แมูศาลอุทธรณ์วินิจฉั ยใหูก็ ถือว่าเป็ นขูอเท็จจริงที่ไม่ไดูยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแลูวในศาลอุทธรณ์(ฎ. 1675/29) หรืออุทธรณ์เท่ากับไม่อุทธรณ์ ถูาศาลอุทธรณ์วินิจฉั ยก็เท่ากับไม่ไดูวินิจฉั ย
คำาสั่งระหว่างพิจารณา (มาตรา 196) คำาสัง่ ระหว่างพิจารณา คือคำาสัง่ ใดๆของศาลที่เกิดขึ้นก่อนศาลมีคำา พิพากษาหรือคำาสัง่ ในประเด็นสำาคัญ ซึ่งไม่ทำาใหูคดีเสร็จสำานวน อาจเป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณาของศาลชัน ้ ตูน ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ก็ไดู - ในกรณี ท่ีศาลสัง่ ปรับนายประกัน นายประกันย่อมมีสิทธิอท ุ ธรณ์ไดูตาม มาตรา 119 มิใช่คำาสัง่ ระหว่างพิจารณา(ฎ. 93/21) แต่คำาสัง่ ศาลที่ใหูเพิกถอนการ ปล่อยชัว่ คราว เป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณา(ฎ.107/37) - ในกรณี ท่ีราษฎรเป็ นโจทก์ย่ น ื ฟู อง( ยังไม่ไดูรับฟู อง ยังไม่ไดูไต่สวนม้ล ฟู อง) ศาลชัน ้ ตูนสัง่ ในคำาฟู องว่าใหูรอฟั งคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่ งก่อน ไม่เป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณา(ฎ.1262/04) แต่ถาู ศาลไดูนัดไต่สวนม้ลฟู องไวูแลูว แต่ในภาย หลังกลับสัง่ ใหูรอหรืองดการไต่สวนม้ลฟู องไวูก่อนชัว่ คราว (มีผลเป็ นการเลื่อน คดี) ดังนี้เป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณา (7080/41) หรือในกรณี ท่ีศาลทำาการไต่สวน ม้ลฟู อง แลูวมีคำาสัง่ ใหูรอฟั งคำาสัง่ หรือคำาพิพากษาในชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู องไวูก่อน เพื่อรอฟั งผลคดีอ่ ืน ก็เป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณาเช่นกัน(ฎ.391/32) สองเรื่องหลัง นี้อย่ใ้ นระหว่างการไต่สวนม้ลฟู องแลูว ** - คำาสัง่ ที่ไม่อนุญาตใหูโอนคดี หรือการไม่อนุญาตใหูเลื่อนคดี เป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณา(ฎ. 67/89) - คำาสัง่ ศาลที่ไม่อนุญาตใหูโจทก์แกูฟูองเป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณา ไม่ถือ เป็ นคำาสัง่ ไม่รบ ั คำาค่้ความ แต่ในคดีแพ่งเป็ นคำาสัง่ ไม่รับคำาค่ค ้ วาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226,227 (ฎ.2229/33) , คดีท่ีมีจำาเลยหลายคน คำาสัง่ ไม่รับฟู องจำาเลยบางคน ไม่ เป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณา (ฎ. 1020/18) เพราะถือว่าคำาฟู องที่เกี่ยวกับจำาเลยคน นั ้นเสร็จสำานวนไปจากศาลแลูว - คำาสัง่ ของศาลชัน ้ ตูนที่สัง่ อนุญาตหรือยกคำารูองขอขยายระยะเวลายื่น อุทธรณ์ เป็ นคำาสัง่ ที่เกิดขีน ้ ภายหลังศาลชัน ้ ตูนมีคำาพิพากษาแลูว และก่อนที่จะสัง่ รับอุทธรณ์ ไม่เป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณา (ฎ. 3082-3/37) ขูอสังเกต เมื่อศาลชัน ้ ตูนมีคำาพิพากษาแลูวคำาสัง่ ของศาลชัน ้ ตูน ย่อมไม่ เป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณา ส่วนคำาสัง่ ระหว่างพิจารณาในชัน ้ อุทธรณ์จะเกิดขึ้น เมื่อศาลชัน ้ ตูนสัง่ รับอุทธรณ์แลูว เรื่องนี้เมื่อศาลชัน ้ ตูนมีคำาพิพากษาแลูวจำาเลย ที่ 1 และที่ 2 ไดูย่ ืนคำารูองขอขยายเวลาอุทธรณ์ ศาลชัน ้ ตูนมีคำาสัง่ อนุญาตใหู ขยายเวลาออกไป 3 วัน และมีคำาสัง่ รับอุทธรณ์ของจำาเลยที่ 1 และที่ 2 ดังนี้จะ เห็นไดูว่าคำาสัง่ ที่อนุญาตใหูขยายระยะเวลาอุทธรณ์เป็ นคำาสัง่ ที่เกิดขึ้นก่อนศาลชัน ้ ตูนมีคำาสัง่ รับอุทธรณ์ จึงไม่เป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณา โจทก์ร่วมจึงอุทธรณ์คำาสัง่ อนุญาตใหูขยายเวลาอุทธรณ์ไดูทันที โดยไม่ตูองใหูศาลอุทธรณ์มค ี ำาสัง่ หรือ พิพากษาก่อน ซึ่งเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ก็ไดูวินิจฉั ยว่าอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมฟั งขึ้น และไม่รับวินิจฉั ยอุทธรณ์ของจำาเลยที่ 1 และที่ 2 เพราะยื่นหลังจากครบกำาหนด แลูว
96
- คำาสัง่ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก็มีไดู (ฎ. 905/68) เรื่องนี้ เป็ นคำาสัง่ ของศาลอุทธรณ์ท่ีสัง่ ใหูศาลชัน ้ ตูนสืบพยาน แลูวส่งสำานวนไปใหูศาล อุทธรณ์พิพากษานั ้น เป็ นคำาสัง่ ระหว่างพิจารณา ฎีกาทันทีไม่ไดู - การอุทธรณ์คำาสัง่ ระหว่างพิจารณาในคดีอาญาตูองกระทำาเมื่อมีคำา พิพากษาหรือคำาสัง่ ในประเด็นสำาคัญแลูว โดยไม่จำาตูองมีการโตูแยูงไวูดังเช่นในคดี แพ่ง (ฎ. 532/48)** - กฎหมายหูามอุทธรณ์คำาสัง่ ระหว่างพิจารณาจนกว่าจะมีคำาพิพากษา มิไดู หูามอุทธรณ์เด็ดขาด ดังนั ้นเมื่อศาลพิพากษาคดีแลูว ค่ค ้ วามมีสิทธิอท ุ ธรณ์ คำา สัง่ ระหว่างพิจารณาไดู แต่ทัง้ นี้มีเงื่อนไขว่าจะตูองมีการอุทธรณ์คำาพิพากษาหรือคำา สัง่ ในประเด็นสำาคัญแห่งคดีดูวย ขูอสังเกต ถูาเป็ นคดีแพ่งค่้ความอาจอุทธรณ์คำาสัง่ ระหว่างพิจารณาอย่าง เดียวไดู แต่ในคดีอาญาจะอุทธรณ์คำาสัง่ ระหว่างพิจารณาไดู ก็ตูองมีอุทธรณ์คำา พิพากษาหรือคำาสัง่ ในประเด็นสำาคัญแห่งคดีดูวย และตามมาตรา 196 ใชูคำาว่า “ .... และมีอุทธรณ์คำาพิพากษาหรือคำาสัง่ นั ้นดูวย” ความตรงนี้ไม่ไดูบอกว่าค่้ความ ที่อท ุ ธรณ์คำาสัง่ ระหว่างพิจารณาตูองเป็ นผู้อุทธรณ์คำาพิพากษาหรือคำาสัง่ ดูวยแต่ อย่างใด ฉะนั ้นหากค่้ความฝ่ ายใดอุทธรณ์คำาพิพากษาหรือคำาสัง่ ค่ค ้ วามอีกฝ่ าย หนึ่ งก็ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์เฉพาะคำาสัง่ ระหว่างพิจารณาไดู กำาหนดเวลายื่นอุทธรณ์ ( มาตรา 198) ผู้อุทธรณ์ตูองยื่นอุทธรณ์ต่อศาลชัน ้ ตูน ภายในกำาหนด 1 เดือน นั บแต่ อ่านหรือถือว่าไดูอ่านคำาพิพากษาใหูคค ่้ วามฝ่ ายที่อท ุ ธรณ์ฟัง(ฎ. 1572/25) - การแกูไขเพิ่มเติมอุทธรณ์หรือฎีกานั ้น ตูองด้ว่าเป็ นการเพิ่มประเด็นจาก อุทธรณ์หรือฎีกาหรือไม่ ถูาเป็ นการเพิ่มประเด็นจากอุทธรณ์หรือฎีกาเดิมตูอง กระทำาภายในกำาหนดเวลาอุทธรณ์ หรือฎีกา (ฎ. 7127/40) ซึ่งต่างกับการยื่น คำาฟู องในศาลชัน ้ ตูนที่ไม่ไดูกำาหนดเวลายื่นฟู องไวู - การแกูไขอุทธรณ์อันมีผลเป็ นการเพิ่มตัวผู้อุทธรณ์เมื่อพูนกำาหนดเวลา อุทธรณ์แลูวไม่ไดู เพราะเท่ากับตัวผู้อุทธรณ์ท่ีเพิ่มขึ้นภายหลังนั ้นยื่นอุทธรณ์เมื่อ พูนกำาหนดเวลายื่นอุทธรณ์ตามมาตรา 198 นั่ นเอง เช่น เดิมจำาเลยที่ 1 และที่ 3 เป็ นผู้อุทธรณ์เท่านั ้น จำาเลยจะขอเพิ่มเติมว่าจำาเลยทัง้ หูา เป็ นผู้อุทธรณ์ จึง เป็ นการเพิ่มเติมประเด็นสำาหรับจำาเลยที่ 2,5 และ 5 เป็ นผู้อุทธรณ์ดูวย ศาลจึง ชอบที่จะยกคำารูองดังกล่าวเสีย - แต่ถาู จำาเลยหลายคนยื่นอุทธรณ์มาในฉบับเดียวกัน แต่พิมพ์ผิดพลาด เป็ นว่าจำาเลยที่ 1 เป็ นผู้อท ุ ธรณ์เพียงผู้เดียว โดยขูอที่อุทธรณ์ดังกล่าวเป็ นของ จำาเลยทัง้ หมด ดังนี้การที่จำาเลยที่ 1 ยื่นคำารูองขอระบุช่ ือจำาเลยอื่นเป็ นผู้อุทธรณ์ ดูวย จึงเป็ นเพียงการแกูไขขูอบกพร่องหรือเพิ่มเติมรายละเอียดในประเด็นเดิม ไม่ใช่เพิ่มเติมประเด็นจากอุทธรณ์เดิม ขอแกูเมื่อพูนระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกา ไดู (ฎ. 2575/16) - ในกรณี ท่ีจำาเลยหลบหนี ไม่มาฟั งคำาพิพากษา ศาลไดูออกหมายจับจำาเลย แต่ไม่ไดูตัวมาภายใน 1 เดือน จึงไดูอ่านคำาพิพากษาลับหลังจำาเลยตามมาตรา 182 ดังนี้กำาหนดระยะเวลาอุทธรณ์จึงตูองนั บแต่วันอ่านคำาพิพากษาลับหลังจำาเลย แมูภายหลังจับตัวจำาเลยไดูศาลจะอ่านคำาพิพากษาใหูจำาเลยฟั งอีกก็ไม่เป็ นการยืด อายุอท ุ ธรณ์(ฎ. 276/04) -ระยะเวลาอุทธรณ์ ตามมาตรา 198 นั ้น ค่ค ้ วามอาจจะขยายไดูตามมาตรา 23 แต่อย่างไรก็ตาม ผูท ้ ่ีย่ ืนคำารูองไดูตูองเป็ นค่้ความในคดี ส่วนผู้ประกันหรือ
97
ผู้รับมอบอำานาจจากผู้ประกันไม่ใช่ค่้ความ จึงไม่มีอำานาจยื่นคำารูองขอขยายระยะ เวลาไดู ถูาศาลชัน ้ ตูนอนุญาตใหูขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ถือว่าไม่ชอบ ไม่ทำาใหู จำาเลยยื่นอุทธรณ์ไดูเกินกำาหนดเวลาตามมาตรา 198 (ฎ. 7223/39) - แมูจะพูนกำาหนดระยะเวลาอุทธรณ์ หากปรากฏว่ามีการแจูงวันนั ดฟั งคำา พิพากษาไม่ชอบดูวยกฎหมาย ค่ค ้ วามฝ่ ายที่เสียหาย ก็อาจยื่นคำารูองขอใหูศาลเพิก ถอนการอ่านคำาพิพากษาไดู ศาลชัน ้ ตูนตูองทำาการไต่สวนคำารูองดังกล่าว (ฎ. 5689/45) อุทธรณ์คำาสัง่ ไม่รับอุทธรณ์ ( มาตรา 198 ทวิ) - คำาสัง่ ของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับคำารูองอุทธรณ์คำาสัง่ ไม่รับอุทธรณ์ ไม่ว่า ศาลอุทธรณ์จะมีคำาสัง่ ยืนตามคำาปฎิเสธของศาลชัน ้ ตูนหรือคำาสัง่ ใหูรับอุทธรณ์ คำาสัง่ ดังกล่าวเป็ นที่สุดตามวรรคสาม (ฎ. 377/28) - คำาสัง่ ของศาลอุทธรณ์ท่ียืนตามคำาปฎิเสธของศาลชัน ้ ตูน แมูจะอูาง เหตุผลในการปฎิเสธต่างกับศาลชัน ้ ตูนก็ตาม คำาสัง่ ศาลอุทธรณ์ก็เป็ นที่สุด เช่น ศาลชัน ้ ตูนไม่รับอุทธรณ์ เพราะเป็ นการอุทธรณ์ในปั ญหาขูอเท็จจริง แต่ศาล อุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ เป็ นปั ญหาขูอกฎหมายที่ไม่เป็ นสาระฯ จึงไม่รับอุทธรณ์ (ฎ. 735/30) - คำาสัง่ ของศาลอุทธรณ์ท่ียืนตามคำาปฎิเสธของศาลชัน ้ ตูนที่ไม่รบ ั อุทธรณ์ ย่อมเป็ นย่อมที่สุดตาม 198 ทวิ วรรคสาม แมูจะเป็ นการอุทธรณ์ในเรื่องที่มิใช่ ประเด็นแห่งคดีก็ตาม เช่น ศาลชัน ้ ตูนไม่รบ ั อุทธรณ์ในเรื่องการคัดคูานคำา พิพากษา ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำาปฎิเสธของศาลชัน ้ ตูน คำาสัง่ ศาลอุทธรณ์เป็ น ที่สุด (ฎ. 896/40) หรือกรณี ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำาสัง่ ของศาลที่ไม่รับอุทธรณ์ เพราะยื่นเกินกำาหนดก็เป็ นที่สุดเช่นกัน (ฎ.4673/45) - คำาสัง่ ของศาลอุทธรณ์จะเป็ นที่สุดหรือไม่ ตูองสืบเนื่ องมาจากศาลชัน ้ ตูน มีคำาสัง่ ไม่รบ ั อุทธรณ์ แลูวมีการอุทธรณ์โตูแยูงคำาสัง่ ไม่รับอุทธรณ์นั้นขึ้นมา ถูา เป็ นกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนมีคำาสัง่ เพิกถอนคำาสัง่ ที่รับอุทธรณ์ไวู ค่ค ้ วามโตูแยูงว่าศาล ชัน ้ ตูนไม่มีสิทธิเพิกถอนคำาสัง่ ที่รับอุทธรณ์ไวูแลูว จึงไม่ใช่การอุทธรณ์คำาสัง่ ไม่ รับอุทธรณ์ ตามมาตรา 198 ทวิวรรคทูาย จึงไม่เป็ นที่สุด(ฎ.659/41)** - คำาสัง่ ของศาลอุทธรณ์ท่ีไม่ใช่คำาสัง่ ยืนตามคำาปฎิเสธของศาลชัน ้ ตูน ใน เรื่องไม่รับอุทธรณ์ ไม่เป็ นที่สุด (ฎ.1010/40) เช่น แทนที่ศาลอุทธรณ์จะพิจารณา ว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็ นอุทธรณ์ตูองหูามตามคำาสัง่ ของศาลชัน ้ ตูนหรือไม่ แลูวมี คำาสัง่ ยืนตามหรือใหูรบ ั อุทธรณ์ แต่กลับไปสัง่ คำารูองอุทธรณ์คำาสัง่ ของโจทก์ว่า ไม่ ชัดแจูง ใหูยกคำารูอง เท่ากับศาลอุทธรณ์ยังไม่ไดูมีคำาสัง่ ในเรื่องการรับอุทธรณ์เลย กรณี จึงไม่ตูองหูามตาม 198 ทวิ วรรคทูาย - กรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนสัง่ รับอุทธรณ์ส่งไปยังศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็น ว่าเป็ นอุทธรณ์ตูองหูาม จึงสัง่ ยกอุทธรณ์(โดยไม่ไดูวินิจฉั ยเนื้ อหาอุทธรณ์) ดังนี้ ไม่เป็ นที่สุด (ฎ. 462/21) - เมื่อศาลชัน ้ ตูนไม่รับอุทธรณ์ ผู้อท ุ ธรณ์ตูองอุทธรณ์คำาสัง่ ไม่รับอุทธรณ์ ตาม 198 ทวิ แต่ผู้อท ุ ธรณ์ไม่ไดูอุทธรณ์คำาสัง่ ไม่รับอุทธรณ์ จึงจะโตูแยูงคำาสัง่ ไม่ รับอุทธรณ์ของศาลชัน ้ ตูนอีกไม่ไดู ผู้อุทธรณ์จึงรูองขอ(ต่อศาลชัน ้ ตูน)ใหูเพิก ถอนคำาสัง่ ของศาลชัน ้ ตูนที่ไม่รับอุทธรณ์ ไม่ไดู เพราะการเพิกถอนเป็ นการโตูแยูง คำาสัง่ ไม่รบ ั อุทธรณ์ (คร.821/47)
98
การส่งสำาเนาอุทธรณ์ ( มาตรา 200-201) - ในคดีอาญานั ้น มาตรา 200 แห่ง ป.วิ.อ. ไดูกำาหนดใหูเป็ นหนู าที่ของ ศาลเป็ นผู้ส่งสำาเนาอุทธรณ์ใหูอีกฝ่ ายหนึ่ งแกู จึงใหูโจทก์นำาส่งดังเช่นในคดีแพ่ง หาไดูไม่ (ฎ. 3478/24) - ค่ค ้ วามอีกฝ่ ายตูองแกูฎีกาใน 15 วัน ซึ่งบังคับในชัน ้ ฎีกาดูวย ( มาตรา 216 วรรคสอง) โจทก์ขอมาในคำาแกูฎีกาใหูนับโทษต่อจากคดีอ่ ืนไดูโดยไม่ตูองทำา เป็ นอุทธรณ์ขึ้นมา(ฎ.1408/16) - ในคดีท่ีมโี จทก์ร่วม ก็ตูองส่งสำาเนาอุทธรณ์ใหูโจทก์ร่วมดูวย จึงจะชอบ (ฎ.2538/41) - การส่งสำาเนาอุทธรณ์ใหูแก่อีกฝ่ ายหนึ่ งก็เพื่อใหูแกูอท ุ ธรณ์ไม่ใช่ใหูทราบ เท่านั ้น (ฎ. 1972/37)
การถอนอุทธรณ์( หรือฎีกา) มาตรา 202 - ก่อนที่ศาลชัน ้ ตูนส่งสำานวนไปศาลอุทธรณ์(หรือศาลฎีกา ในกรณี ฎก ี า) ศาลชัน ้ ตูนมีอำานาจสัง่ คำารูองขอถอนอุทธรณ์หรือฎีกา ไดู ซึ่งต่างจากคดีแพ่งศาล ชัน ้ ตูนไม่มีอำานาจสัง่ คำารูองขอถอนอุทธรณ์เลย แต่ในกรณี เช่นนี้ ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ก็ยังมีอำานาจสัง่ ไดู(ฎ.173/83) - การถอนอุทธรณ์โดยอีกฝ่ ายหนึ่ งมิไดูอุทธรณ์ดูวย มีผลทำาใหูคำาพิพากษา ศาลชัน ้ ตูนย่อมเด็ดขาดถึงที่สุดสำาหรับผูถ ้ อนอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์จะยื่นอุทธรณ์ใหม่ ไม่ไดู แมูจะยังอย่้ในกำาหนดอายุอุทธรณ์ก็ตาม (ฎ. 260/12 ป.)*** - จำาเลยที่ 5 ถอนอุทธรณ์ ก่อนส่งสำานวนไปศาลอุทธรณ์ ศาลชัน ้ ตูน อนุญาตและออกหมายแจูงโทษเด็ดขาดแลูว จำาเลยอื่นยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟู องจำาเลยที่ 5 ไม่ชอบ ใหูลงโทษตามคำาพิพากษาศาลชัน ้ ตูน ฎ. 1673/22 (ตามฎีกานี้โจทก์มิไดูอุทธรณ์คำาพิพากษาศาลชัน ้ ตูนดูวย จึงถือว่าค่้ ความอีกฝ่ ายหนึ่ งมิไดูอุทธรณ์ แมูจำาเลยอื่นจะอุทธรณ์ก็ไม่ถือว่าเป็ นค่ค ้ วามอีก ฝ่ ายหนึ่ ง คำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูนจึงเด็ดขาด สำาหรับจำาเลยที่ 5) - แมูการถอนอุทธรณ์จะมีผลเด็ดขาดเฉพาะผู้ถอนก็ตาม ถูาภายหลังศาล อุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ของจำาเลยอื่น แลูวพิพากษายกฟู องโดยอาศัยลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์มีอำานาจยกฟู องโจทก์ตลอดไปถึงจำาเลยอื่นที่ถอนอุทธรณ์ไปแลูวไดู ตามมาตรา 213 (ฎ. 505/37,4093/30) ( คำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูนย่อมเด็ด ขาดเฉพาะผู้ถอน ตามมาตรา 202 นั ้น หมายความเพียงว่า จำาเลยที่ถอนอุทธรณ์ ไปแลูวจะยื่นอุทธรณ์อีกไม่ไดู หาไดูหูามศาลอุทธรณ์ใชูอำานาจตามมาตรา 213 ไม่ )*** แต่ถูาไม่เป็ นเหตุในลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำานาจหยิบยกเอา อุทธรณ์ของจำาเลยที่ขอถอนไปแลูวมาวินิจฉั ยไดู (ฎ. 6007/31,263/31) - การขอถอนอุทธรณ์หรือฎีกาโดยมีเงื่อนไขว่าถูาอีกฝ่ ายอุทธรณ์ฎีกา ก็ไม่ ขอถอน ดังนี้ศาลจะสัง่ อนุญาตไม่ไดู (ฎ. 14/20) หรือขอถอนอูางว่าเพื่อจะไดูรับ การอภัยโทษ แต่ถูาหากศาลออกหมายจำาคุกใหูไม่ทันอภัยโทษ ก็ไม่ขอถอนฎีกา ดังนี้ถอนไม่ไดู (ฎ.774/03) ( สรุปว่า การขอถอนจะตูองมามีเงื่อนไข) - แต่ถาู ถอนชัว่ คราวเพื่อจัดทำาอุทธรณ์(หรือฎีกา) มายื่นใหม่ ไม่ใช่การขอ ถอนอุทธรณ์โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ย่อมยื่นอุทธรณ์ใหม่ไดูภายในกำาหนดระยะเวลา อุทธรณ์ ฎีกา (ฎ. 248/03) -ศาลจะอนุญาตใหูถอนหรือไม่ เป็ นดุลพินิจของศาล (ฎ. 5457/30)
99
- ฎ. 7531/46 จำาเลยยื่นฎีกาในประเด็นว่ามิไดูกระทำาผิดและขอใหูลด โทษ ต่อมาจำาเลยยื่นคำารูองขอใหูการรับสารภาพในชัน ้ ฎีกา ซึ่งแมูจะถือว่า เป็ นการขอแกูไขคำาใหูการปฎิเสธเป็ นคำาใหูการรับสารภาพ แต่จำาเลยไม่อาจกระทำา ไดูเพราะการขอแกูไขคำาใหูการตูองกระทำาก่อนศาลชัน ้ ตูนพิพากษา ( มาตรา 163 วรรคสอง) และไม่อาจถือว่าการยื่นคำารูองนี้เป็ นการขอถอนฎีกา ( 202 ประกอบ 225) เพราะจำาเลยยังติดใจฎีกาในประเด็นการลดโทษอย่้ (มีเงื่อนไขว่าขอใหูลด โทษ ขึงไม่ใช่การถอนฎีกา) ทัง้ ไม่อาจถือไดูว่าเป็ นการยื่นคำารูองขอแกูไขเพิ่มเติม ฎีกาดูวยการสละประเด็นบางขูอ เพราะพูนระยะเวลาฎีกาตามมาตรา 216 แลูว (การขอแกูไขฎีกา ตูองกระทำาภายในอายุฎีกา) แต่การที่จำาเลยยื่นคำารูองขอ ใหูการรับสารภาพในชัน ้ ฎีกา ถือว่าไดูยอมรับขูอเท็จจริงโดยไม่ไดูโตูแยูงขูอที่ศาล ล่างพิพากษาว่าจำาเลยกระทำาผิดตามฟู อง (เท่ากับรับ่าตนเองกระทำาผิด) กรณี จึง ไม่มีประเด็นตูองวินิจฉั ยต่อไปว่าจำาเลยกระทำาความผิดตามฟู องหรือไม่ คดีคง เหลือแต่ประเด็นว่าสมควรลดโทษใหูแก่จำาเลยอีกหรือไม่ เท่านั ้น *** การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ( มาตรา 203-207) - คำาแถลงการณ์มิใหูถือว่าเป็ นส่วนหนึ่ งของอุทธรณ์ แต่เป็ นเพียงคำา อธิบายขูออุทธรณ์หรือแกูอุทธรณ์เท่านั ้น (มาตรา 205 วรรคสาม) - คำารูองขอแถลงการณ์ดูวยปากใหูติดมากับฟู องอุทธรณ์(หรือฎีกา) หรือคำา แกูอุทธรณ์(หรือฎีกา) ตามมาตรา 205 วรรคแรก ดังนี้ จะหลีกเลี่ยงโดยทำาเป็ น คำารูองขอเพิ่มเติมอุทธรณ์ ฎีกา ไม่ไดู (ฎ.65/08)
กระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ (มาตรา 208) -แมูศาลชัน ้ ตูนจะมิไดูปฎิบัตใิ หูถ้กตูองตามกระบวนพิจารณา ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา จะพิพากษาใหูศาลชัน ้ ตูนดำาเนิ นกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ จะ ตูองเป็ นกรณี ท่ีศาลอุทธรณ์หรือศาลฏีกา “เห็นเป็ นการจำาเป็ น” ใหูศาลชัน ้ ตูน พิจารณาใหม่ตามมาตรา 208(2) ตอนแรก เช่น กรณี ท่ีตูองสอบจำาเลยในเรื่อง ทนายความตามมาตรา 173 ถูาศาลไม่ดำาเนิ นการดังกล่าว เป็ นการดำาเนิ น กระบวนพิจารณาไม่ถ้กตูอง แต่ถูาปรากฎว่าก่อนสืบพยานโจทก์จำาเลยไดูแต่ง ทนายความเขูามาและไดูดำาเนิ นกระบวนพิจารณาแทนมาโดยตลอด ศาลฏีกาเห็น ว่าไม่สมควรใหูดำาเนิ นกระบวนพิจารณาใหม่(ฎ. 2064/32) เพราะไม่ทำาใหูจำาเลย เสียเปรียบในการต่อสูค ้ ดี ** - การสอบจำาเลยเรื่องทนายความตามมาตรา 173 จะตูองดำาเนิ นการก่อน เริ่มพิจารณา กล่าวคือ ก่อนอ่าน อธิบายฟู องและสอบถามคำาใหูการจำาเลย ถูาศาล สอบถามคำาใหูการจำาเลยก่อนแลูว จึงสอบเรื่องทนายความ ถือเป็ นกระบวน พิจารณาที่ไม่ถ้กตูอง แต่เมื่อจำาเลยไดูแต่งตัง้ ทนายความเขูามาว่าต่างใหูตัง้ แต่วัน สืบพยานโจทก์นัดแรกแลูวก็ “ไม่จำาเป็ น” ตูองดำาเนิ นกระบวนพิจารณาใหม่ (ฎ. 871/09 ป., 4460/46) ขูอสังเกต จะเห็นไดูว่า ถึงอย่างไรก็มีการสอบเรื่องทนายความแลูว แมู ภายหลังถามคำาใหูการจำาเลย ซึ่งไม่ถ้กตูองตามขัน ้ ตอนก็ตาม แม่เมื่อจำาเลยมี ทนายความมาช่วยเหลือโดยตลอด ศาลฎีกาจึงเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรหรือเหตุ จำาเป็ นที่จะใหูดำาเนิ นกระบวนพิจารณาใหม่ แต่ถาู ปรากฏว่าศาลไม่ไดูสอบเรื่อง ทนายความไวูเลย จนศาลดำาเนิ นกระบวนพิจารณาต่อมาโดยจำาเลยไม่มีทนายความ ว่าความใหู กรณี ถือว่าเป็ นการจำาเป็ นที่จะตูองใหูศาลชัน ้ ตูนดำาเนิ นการใหม่ตาม มาตรา 208(2) ด้ ฎ. 2984/43,2835/39,261/10
100
***** ฎีกาที่น่าสนใจคือ ฎ. 3279/50 วินิจฉั ยดังนี้ “ ในการดำาเนิ น กระบวนพิจารณาของศาลชัน ้ ตูน ในส่วนที่เกี่ยวกับจำาเลยที่ 1 โจทก์ฟูองขอใหู ลงโทษ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดใหูโทษ มาตรา 66 วรรคสาม อันเป็ นคดีท่ีมีอัตราด ทษประหารชีวิต ซึ่ง ป.วิ.อ.มาตรา 173 วรรคหนึ่ ง ที่ใชูบังคับในระหว่างพิจารณา ของศาลชัน ้ ตูน บัญญัติว่า ก่อนเริ่มพิจารณาใหูศาลถามจำาเลยว่ามีทนายความหรือ ไม่ ถูาไม่มีกูใหูศาลตัง้ ทนายคามใหู ศาลชัน ้ ตูนสอบถามจำาเลยทัง้ สองเรื่อง ทนายความแลูว จำาเลยที่ 1 แถลงไม่ตูองการทนายความ แต่ศาลชัน ้ ตูนใหูมี หนั งสือขอแรงทนายความให่จำาเลยที่ 2 เพียงคนเดียว แลูวดำาเนิ นคดีไปจนเสร็จ การพิจารณาโดยไม่มีการตัง้ ทนายควาใหูจำาเลยที่ 1 ดูวย แมูศาลชัน ้ ตูนจะมิไดู ปฎิบัติใหูถ้กตูองตามกระบวนพิจารณาก็ตาม แต่เห็นไดูว่าจำาเลยที่ 1 พอใจในผล ของคำาพิพากษาแลูว โดยเห็นไดูจากจำาเลยที่ 1 มิไดูอุทธรณ์ หรือฎีกาแต่อย่างใด และเนื่ องจากศาลฎีกาวินิจฉั ยแลูวว่าจำาเลยที่ 2 ร่วมกระทำาความผิดกับจำาเลยที่ 1 ดูวย แสดงว่าขูอเท็จจริงในส่วนของจำาเลยที่ 2 ซึ่งมีทนายคามในการต่อส่้คดีกร็ ับ ฟั งไดูมัน ่ คงเช่นกันว่ากระทำาผิดร่วมกับจำาเลยที่ 1 เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ท่ี ใชูพิส้จน์ความผิดของจำาเลที่ 2 ก็เป็ นพยานหลักฐานเดียวกันกับที่ใชูพิส้จน์ความ ผิดของจำาเลยที่ 1 จึงเห็นไดูว่าการทำาหนู าที่ของทนายความจำาเลยที่ 2 ในการ ดำาเนิ นกระบวนพิจารณาแทนจำาเลยที่ 2 มีผลเป็ นการด๔แลคดีในส่วนของจำาเลย ที่ 1 ดูวยในตัว ดังนี้ จำาเลยที่ 1 จะมีทนายความในการดำาเนิ นกระบวนการ พิจารณาหรือไม่ ย่อมไม่อาจทำาใหูผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ทัง้ ปรากฎดูวยว่าศาล ชัน ้ ตูนออกหมายจำาคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแก่จำาเลยไปแลูวกว่า 2 ปี ดูวย ซึ่งทำาใหูจำาเลย ที่ 1 ไดูรบ ั สิทธิ ในฐานะนั กโทษเด็ดขาดไปบูางแลูว แมูปัญหาดังกล่าวจะเป็ นขูอกฏ หมายเกี่ยวกับความสงบเรียบรูอยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ก็ตาม แต่ ศาลฎีกา “ไม่เห็นเป็ นการจำาเป็ น” ที่จะพิพากษาสัง่ ใหูศาลชัน ้ ตูนทำาการพิจารณา และพิพากษา หรือสัง่ ใหม่ตามร้ปคดี ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 208(2) ประกอบมาตรา 225 ***** - คดีท่ีราษฎรเป็ นโจทก์ฟูอง ศาลตูองไต่สวนม้ลฟู องก่อนประทับฟู อง การ ที่ศาลชัน ้ ตูนสัง่ ประทับฟู องโดยไม่ไต่สวนม้ลฟู องก่อนจึงเป็ นการไม่ชอบ ตูอง ยูอนสำานวนไปใหูศาลชัน ้ ตูนดำาเนิ นการใหม่ (ฎ. 477/08) ศาลอุทธรณ์ไม่ยกฟู อง โจทก์ เพราะไม่ใช่การกระทำาของโจทก์ ดังนั ้นกรณี นี้จึงตูองยกยูอนตามมาตรา 208(2) เท่านั ้น -คดีท่ีโจทก์ฟูองจำาเลยขูอหาลักทรัพย์ หรือรับของโจร ถูาจำาเลยใหูการรับ สารภาพ ไม่ชัดเจนว่ารับขูอหาใด เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานศาลก็ลงโทษจำาเลยไม่ไดู ตูองยกฟู อง และกรณี เช่นนี้ ไม่ใช่กรณี ท่ีศาลปฎิบัติไม่ถ้กตูองตามกระบวน พิจารณา จึงไม่มีเหตุท่ีจะตูองยูอนสำานวนไปใหูศาลชัน ้ ตูนดำาเนิ นกระบวน พิจารณาใหม่ ตามมาตรา 208(2) (ฎ. 819/13 ป.)*** - ทนายความลงลายมือชื่อในคำาฟู องอุทธรณ์ หรือคำาฟู องฎีกา โดยไม่มีใบ แต่งทนายความในสำานวน เป็ นคำาฟู องที่ไม่ชอบ ตามมาตรา 158(7) ศาลชัน ้ ตูนสัง่ ใหูรับอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็ นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ (ฎ. 4125/41) - เมื่อโจทก์ย่ ืนคำารูองขอแกูหรือเพิ่มเติมฟู องหรือคำาใหูการ แลูวศาลชัน ้ ตูนมีหนู าที่ท่ีจะตูองสัง่ อนุญาตหรือไม่อนุญาตตามมาตรา 163,164 การที่ศาลชัน ้ ตูนยังไม่ไดูสัง่ คำารูองดังกล่าวถือว่าไม่ถ้กตูองตามกระบวนพิจารณาตามมาตรา 208(2) (ฎ.2008/38) กรณี ท่ีตูองยูอนสำานวน
101
- กรณี ท่ีล่ามยังไม่ไดูสาบานตน ไม่ชอบตามมาตรา 13 ศาลฎีกาตูอง ยูอนสำานวนใหูศาลชัน ้ ตูนพิจารณาและพิพากษาใหม่ใหูถ้กตูอง ตามมาตรา 208,225 - กรณี ท่ีศาลแขวงลงโทษจำาคุกจำาเลย มีกำาหนด 2 ปี แต่มีผู้พิพากษาเพียง คนเดียวลงชื่อ เป็ นกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนมิ่ไดูปฎิบัติใหูถ้กตูองตามพระธรรมน้ญศาล ฯ ศาลส้งตูองยูอนสำานวนไปใหูศาลชัน ้ ตูนดำาเนิ นการใหม่ใหูถ้กตูอง (ฎ. 1875/36)
กรณี ท่ีศาลฎีกาเห็นว่าไม่ตูองยูอนสำานวนใหูศาลชัน ้ ตูนดำาเนิ นการใหม่ - ฎ. 1034/33 ศาลชัน ้ ตูนพิพากษายกฟู องโจทก์โดยไม่ไดูวินิจฉั ยว่า ถูอยคำาที่จำาเลยกล่าวเป็ นการหมิ่นประมาทหรือไม่ เมื่อศาลส้งเห็นว่าเป็ นจริงเช่น นั ้น ศาลส้งมีอำานาจวินิจฉั ยถูอยคำาของจำาเลยเป็ นการหมิ่นประมาทหรือไม่ ก็ไดู ไม่ตูองยกยูอนตาม 208(2) - ฎ. 2281/45 จำาเลยยื่นอุทธรณ์โดย ก.ทนายความลงลายมือชื่อเป็ นผู้ อุทธรณ์แทนจำาเลย แต่ไม่ปรากฏว่าจำาเลยไดูแต่งตัง้ ก.เป็ นทนายความไวู การ อุทธรณ์จึงไม่ชอบ ซึ่งกรณี เช่นนี้ศาลชัน ้ ตูนชอบที่จะตรวจอุทธรณ์โดยละเอียด และมีคำาสัง่ ใหูแกูไขขูอบกพร่องก่อนที่จะรับอุทธรณ์ ดังนั ้นการที่ศาลชัน ้ ตูนรับ อุทธรณ์ ถือว่าศาลชัน ้ ตูนมิไดูปฎิบัติใหูถ้กตูองตามกระบวนพิจารณา เป็ นเหตุใหู จำาเลยตูองเสียสิทธิท่ีจะไดูรับการพิจารณาในเนื้ อหาแห่งอุทธรณ์ ศาลฎีกาสัง่ ใหู แกูไขใหูถ้กตูองไดู ตามมาตรา 208(2) ประกอบ 225 แต่เมื่อปรากฎว่าจำาเลยไดู แต่งตัง้ ก. เป็ นทนายจำาเลยโดยใหูมีอำานาจอุทธรณ์ และฎีกา แทนจำาเลยไดู พรูอมกับยื่นฎีกาเขูามาแลูว จึงไม่จำาตูองสัง่ ใหูแกูไข และตูองถือว่าจำาเลยไดูย่ ืน อุทธรณ์คำาพิพากษาศาลชัน ้ ตูนโดยชอบแลูว การพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำาเลย (มาตรา 212) หลักเกณฑ์ คดีท่ีจำาเลยอุทธรณ์คำาพิพากษาที่ใหูลงโทษ หูามมิใหูศาล อุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำาเลย เวูนแต่โจทก์จะไดูอุทธรณ์ในทำานองใหูเพิ่ม โทษ ดูวย - ในกรณี ท่ีโจทก์ขอใหูรบ ิ ของกลาง แต่ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาโดยไม่มค ี ำา วินิจฉั ยในเรื่องของกลาง ไม่ชอบดูวยมาตรา 186(9) ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหูรบ ิ ไดู แมูโจทก์ไม่อท ุ ธรณ์เพราะเป็ นปั ญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบรูอย แมูโจทก์จะ มิไดูอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำานาจวินิจฉั ยแกูไขใหูถ้กตูองและพิพากษาใหูริบ ของกลางไดู ตามมาตรา 195 วรรคสอง ไม่ถือว่าเป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย (ฎ. 6247/45)** - แมูการริบของกลางจะเป็ นโทษอาญาก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มค ี ำาขอใหูริบ วัตถุระเบิด และเครื่องกระสุนปื นของกลาง และ มาตรา 186(9) ก็บัญญัติใหูศาล จะตูองมีคำาวินิจฉั ยในเรื่องของกลางในคำาพิพากษาหรือคำาสัง่ ดูวย ฉะนั ้น การที่ ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาโดยไม่มีคำาสัง่ เรื่องของกลางดูวย ศาลอุทธรณ์ จึงมีอำานาจทำา คำาวินิจฉั ยในเรื่องของกลางนี้ไดู เพราะมิใช่เป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย และ ไม่ เป็ นการพิพากษาเกินคำาขอ (ฎ. 1020/41) และฎ. 3299/47 *** การบวกโทษจำาคุกที่รอไวูในคดีก่อน ไม่เป็ นการเพิ่มเติมโทษ
102
-กรณี ศาลชัน ้ ตูนไม่นำาโทษจำาคุกที่รอไวูในคดีก่อนมาบวกเขูากับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา นำ าโทษจำาคุกที่รอไวูนั้นมาบวกกับโทษในคดีนี้ไดูตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก มิใช่เป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 212 เพระกฎหมายบังคับใหูดำาเนิ นการ (ฎ. 3400/41,8682/43, 2115/47) - ศาลชัน ้ ตูนพิพากษารอการลงโทษ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเป็ นไม่รอ การลงโทษ โดยโจทก์มิไดูอุทธรณ์ เป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย (ฎ. 1472/45) -ในกรณี ศาลชัน ้ ตูนลงโทษจำาคุกจำาเลย ศาลอุทธรณ์แกูเป็ นลงโทษปรับ จำาเลยดูวย แลูวใหูรอการลงโทษจำาคุกไวู ไม่เป็ นการเพิ่มเติมโทษ ( ฎ. 1366/33) เพราะแมูศาลอุทธรณ์จะลงโทษปรับก็เป็ นการลงโทษสถานเบากว่าที่ศาลชัน ้ ตูน กำาหนด จึงไม่เป็ นการเพิ่มโทษ (ฎ. 1723/42) - ถูาศาลชัน ้ ตูนลงโทษจำาเลยเพียงปรับอย่างเดียว ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำา คุกจำาเลยดูวย แมูจะรอการลงโทษจำาคุกก็ตาม เป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย (ฎ. 4899/36) เรื่องนี้ศาลชัน ้ ตูนเพียงลงโทษปรับสถานเดียว แต่ศาลอุทธรณ์แกูไขคำา พิพากษาศาลชัน ้ ตูนโดยเพิ่มโทษจำาคุกอีกสถานหนึ่ ง และใหูรอการลงโทษก็ตาม ก็ เป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย ( ผู้ช่วย ปี 49) - ในกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนลงโทษตำ่ากว่าอัตราโทษขัน ้ ตำ่าตามที่กฎหมายกำาหนด เป็ นการไม่ชอบ หากโจทก์มิไดูอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จะแกูโทษใหูเป็ นโทษขัน ้ ตำ่า ตามกฎหมายไม่ไดู เป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย (ฎ. 7568/47, 1715/45) แต่ถาู ศาลชัน ้ ตูนวางโทษเกินกว่าอัตราโทษส้งสุด ศาลอุทธรณ์ มีอำานาจแกูไขไดู เพราะ เป็ นผลดีแก่จำาเลย ไม่เป็ นการเพิ่มโทษ - แต่การปรับบทกฎหมายใหูถ้กตูอง ไม่ถือว่าเป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีอำานาจกระทำาไดู ทัง้ ถือว่าการปรับบทลงโทษ เป็ น ปั ญหาขูอกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบรูอย ศาลส้งมีอำานาจหยิบยกขึ้น วินิจฉั ยไดู(ฎ. 1983/44,3366/48) แต่จะแกูโทษใหูส้งขึ้นโดยโจทก์ไม่ไดูอุทธรณ์ ใหูเพิ่มโทษ ไม่ไดู ตูองหูามตามมาตรา 212 แมูโทษที่ศาลล่างวางไวูจะตำ่ากว่า อัตราโทษขัน ้ ตำา่ ตามที่กฎหมายกำาหนด - การที่ศาลชัน ้ ตูนคำานวณโทษผิดพลาด โจทก์มิไดูอุทธรณ์ขอใหูลงโทษใหู ถ้กตูอง ศาลส้งไม่อาจแกูไขใหูถ้กตูองไดู เป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย(ฎ. 6397/40,571/42) - การกระทำาความผิดที่เป็ นหลายกรรม แต่ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาว่าการ กระทำาของจำาเลยเป็ นความผิดกรรมเดียว โจทก์มิไดูอุทธรณ์ฎก ี า ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกามีอำานาจปรับบทลงโทษใหูถ้กตูองไดู แต่จะลงโทษอีกกรรมหนึ่ งไม่ ไดู เป็ นการเพิ่มเติมโทษ (ฎ. 147/38,822/40) - การที่จำาเลยเป็ นผู้อุทธรณ์ ฎีกา ขอใหูลงโทษหนั กขึ้น โดยโจทก์ไม่ไดู อุทธรณ์หรือฎีกาใหูลงโทษหนั กขึน ้ ดูวย ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา จะลงโทษหนั ก ขึ้นไม่ไดู เป็ นการเพิ่มเติมโทษ (ฎ.3741/40,1472/45) คำาพิพากษาฎีกาที่ถือว่าโจทก์อุทธรณ์ทำานองขอใหูเพิ่มโทษ - ศาลอุทธรณ์ลงโทษ ตาม ป.อ.มาตรา 295 เมื่อโจทก์ฎก ี าขอใหูลงตาม มาตรา 297 ถือว่าโจทก์ฎีกาขอใหูลงโทษจำาเลยใหูหนั กขึน ้ (ฎ. 677/10 ป.) หรือ ศาลอุทธรณ์ตาม ป.อ. มาตรา 288 เมื่อโจทก์ฎีกาขอใหูลง 289 ศาลฎีกาลงตาม มาตรา 289 ไดู (ฎ. 1231/08 ป.)
103
- ฎ. 525/26 ป. โจทก์ขอใหูลงโทษจำาเลยตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบ 80 ศาลชัน ้ ตูนฟั งว่าไม่มีเจตนาฆ่า จึงพิพากษาลงโทษ ตามมาตรา 297 ศาลอุทธรณ์ ฟั งว่าไม่มีเจตนาฆ่า และไม่สาหัสตาม 297 จึงลง 295 ดังนี้ถือว่า 1. ศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนว่า ไม่ผิด 288 ประกอบ 80 2. ตามขูอ 1 คดีจึงตูองหูามฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริง ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 220 โจทก์จึงจะฎีกาว่าทำาผิดตาม 288 ประกอบ 80 ไม่ไดู 3. คดีจึงไม่อาจเขูาส่้ชัน ้ ฎีกาไดู และจะถือว่าโจทก์ฎีกาทำานองขอใหูเพิ่ม โทษจำาเลยในขูอหา มาตรา 297 ไม่ไดู - กรณี เหตุบรรเทาโทษ ตาม ป.อาญา นั ้น แมูศาลอุทธรณ์จะลดโทษใหู เพราะเห็นว่ามีเหตุบรรเทาโทษ และจำาเลยฝ่ ายเดียวฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มี เหตุบรรเทาโทษ ศาลฎีกามีอำานาจไม่ลดโทษใหูไดู (ฎ. 691/02 ป.) เหตุในลักษณะคดี (มาตรา 213) - เหตุในลักษณะคดี หมายถึง เหตุท่ีเกี่ยวขูองกับสภาพความผิด หรือ พฤติการณ์แห่งคดี และมีผลไปถึงจำาเลยอื่นในลักษณะเดียวกันซึ่ง อาจเป็ นขูอ กฎหมาย เช่น คำาฟู องที่ไม่ชอบดูวย มาตรา 158 (ฎ. 2370/44), ขูอที่ว่าการ กระทำาของจำาเลยเป็ นความผิดกรรมเดียว(ฎ.7921/44) ขูอที่ว่าการสอบสวนไม่ ชอบดูวยกฎหมาย (ฎ. 371/31) หรืออาจจะเป็ นขูอเท็จจริง เช่น พยานหลักฐาน ของโจทก์ฟังไม่ไดูว่ามีการกระทำาผิดตามฟู อง (ฎ. 217/31) หรือพยานหลักฐานรับ ฟั งไม่ไดูว่าจำาเลยกระทำาผิดตามฟู อง(ฎ. 432/36) คดีตูองหูามฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริง (มาตรา 218) ขูอสังเกต 1. วรรคแรก 1.1 เป็ นกรณี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนหรือแกูไขเล็กนู อย และศาล อุทธรณ์ลงโทษจำาคุกไม่เกิน 5 ปี 1.2 หูามค่้ความฎีกา 2. วรรคสอง 2.1 เป็ นกรณี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนหรือแกูไขเล็กนู อย และศาล อุทธรณ์ลงโทษจำาคุกเกิน 5 ปี 2.2 หูามเฉพาะโจทก์
- มาตรา 218 มีความหมายถึงโทษที่ลงแก่จำาเลย มิใช่โทษตามที่กฎหมาย กำาหนด (คร. 980/29) - โทษจำาคุกที่ลงแก่จำาเลยไม่เกิน 5 ปี นั ้น ไม่รวมโทษจำาคุกที่รอไวูในคดี ก่อน และศาลนำ ามาบวกดูวย ดังนี้ ถูาศาลชัน ้ ตูนพิพากษาลงโทษจำาคุกไม่เกิน 5 ปี เมื่อนำ าโทษจำาคุกที่รอไวูในคดีอ่ ืนมาบวกแลูวโทษจำาคุกจะเกิน 5 ปี ก็เป็ นกรณี ที่ศาลชัน ้ ตูนลงโทษจำาคุกไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน จึงตูองหูาม ฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริงตามมารตรา 218 วรรคแรก (ฎ. 3055/43) ***** - โทษจำาคุกไม่เกิน 5 ปี รวมถึงการเพิ่มโทษตามที่กฎหมายกำาหนด ดูวย โปรดด้ฎ.ประชุมใหญ่ปี 50 - สิทธิในการฎีกา ตูองพิจารณาเป็ นรายกระทงไป เช่นเดียวกับสิทธิในการ อุทธรณ์ และตูองถือตามกำาหนดโทษสุดทูายที่จำาเลยไดูรับหลังจากลดโทษและ
104
หรือเพิ่มโทษ แต่ไม่นับรวมโทษที่ศาลรอการลงโทษไวูในคดีกอ ่ นแลูวนำ ามาบ วกในคดีหลังดูวย(ฎ. 7838/47,6242/44) - อย่างไรก็ตามถูาความผิดกระทงที่ไม่ตูองหูามฎีกาและที่ตูองหูามฎีกาใน ขูอเท็จจริงเป็ นขูอเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟู อง เพราะพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ไดูว่าจำาเลยเป็ นคนรูาย ศาลฎีกาก็มอ ี ำานาจ พิพากษายกฟู องในกระทงความผิดที่ตูองหูามฎีกาในขูอเท็จจริงไดูดูวย(ฎ. 3292/47) - ในกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนส่งสำานวนคดีท่ีศาลชัน ้ ตูนพิพากษาใหูประหารชีวิต หรือจำาคุกตลอดชีวิต ไปใหูศาลอุทธรณ์พิจารณา ตามมาตรา 245 หากศาล อุทธรณ์พิพากษายืน ย่อมถึงที่สุดตามมาตรา 245 วรรคสอง (ฎ.5343/40) - การพิจารณาว่าเป็ นกรณี ตูองหูามฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริง ตามมาตรา 218 วรรคแรกหรือไม่ นอกจากจะด้ว่าศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืน หรือแกูไขเล็ก นู อยหรือไม่แลูว ตูองยูอนด้โทษจำาคุกที่ศาลอุทธรณ์กำาหนดว่าตูองไม่เกิน 5 ปี ดูวย ส่วนศาลชัน ้ ตูนแมูจะลงโทษจำาคุกเกิน 5 ปี ก็ไม่นำามาพิจาณาดูวย (ฎ. 5681/44)***
การไขเล็กนู อยหรือแกูไขมาก การแกูไขมาก ไดูแก่กรณี ท่ีศาลอุทธรณ์ไขทัง้ บทความผิดและแกูไขโทษดูวย ตรงกัน ขูามหากศาลอุทธรณ์แกูไขบทความผิดย่างเดียว ไม่ไดูแกูไขโทษดูวย หรือแกูไข โทษอย่างเดียวแต่ไม่ไดูแกูไขบทความผิดดูวย เป็ นการแกูไขเล็กนู อย (ฎ.6560/40,5691/39) - การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทกฎหมายที่ลงโทษใหูถ้กตูองไม่ถือเป็ นการแกู บท ดังนี้แมูศาลอุทธรณ์จะแกูโทษดูวยก็ตาม ก็ถอ ื ว่าเป็ นการแกูไขเล็กนู อย เช่น ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาว่าผิดตาม ป.อ. มาตรา 264,265 ศาลอุทธรณ์ ปรับบทเป็ น ว่าความผิดตา 265 (ฎ. 3292/3) - ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำาเลยโดยใชูกฎหมายที่แกูไขใหม่ แมูศาล อุทธรณ์จะแกูไขโทษดูวย ก็เป็ นการแกูไขเล็กนู อย (ฎ. 3751/47,8086/46) การแกูไขวรรค ในบทมาตราความผิดที่มีหลายวรรค แต่คำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูนมิไดู ระบุใหูชัดเจนว่าการกระทำาของจำาเลยเป็ นความผิดวรรคใด การที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแกูโดยระบุวรรคใหูชัดเจนขึ้น ไม่ถือว่าเป็ นการแกูบทความผิด แมูศาล อุทธรณ์จะแกูไขโทษดูวย ก็ถือว่าเป็ นการไขเล็กนู อย (ฎ. 663/36, 3894/33) ต่อ มาวินิจฉั ยเปลี่ยนแนวไปเป็ นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแกูวรรคของความผิด ในบทมาตราเดียวกันไม่เป็ นการแกูบท ดังนี้แมูจะโทษดูวยก็เป็ นการไขเล็กนู อย (ฎ. 4451/42, 8524/44 และ 3448/47 ) ในปั จจุบันไดูมีคำาพิพากษา ฎ.ที่ 7511/47 อธิบายวางหลักเพิ่มเติมว่า กรณี การแกูไขวรรคจะถือว่าเป็ นการแกูไขมาก หมายถึงการเปลี่ยนบทลงโทษจาก บทหนึ่ งไปเป็ นอีกบทหนึ่ ง หรือเป็ นการแกูวรรคในบทเดิมซึ่งความผิดแต่ละวรรค มีโทษขัน ้ ส้งแตกต่างกันมาก และลักษณะความผิดในแต่ละวรรคแตกต่างกัน เช่นความผิดในวรรคหนึ่ งเป็ นความผิดอันยอมความไดู และอีกวรรคหนึ่ งเป็ น ความผิดอาญาแผ่นดิน เป็ นตูน
105
- การที่ศาลชัน ้ ตูนไม่ไดูลดมาตราส่วนโทษใหู ศาลอุทธรณ์จึงลดา มาตราส่วนโทษใหูก่อน แลูวกำาหนดโทษใหม่ ถือว่าเป็ นการแกูเฉพาะกำาหนด โทษ ไม่ไดูแกูบทลงโทษ เป็ นแกูไขเล็กนู อย (ฎ. 4540/39) ขูอสังเกตจากคำาพิพากษาขูางตูน กรณี ตูองหูามฎีกา ตามมาตรา 218 วรรคแรก นั ้น ถูาศาลอุทธรณ์แกูคำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูนและใหูจำาคุกไม่เกิน 5 ปี นั้น คงพิจารณาแต่เพียงว่าศาลอุทธรณ์ใหูลงโทษจำาคุกจำาเลยไม่เกิน 5 ปี โดยไม่ตูองคำานึ งว่าศาลชัน ้ ตูนจะลงโทษจำาคุกเกิน 5 ปี หรือไม่ ต่างจากมาตรา 219 ที่บัญญัติว่าทัง้ ศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำาคุกไม่เกิน 2 ปี - ศาลชัน ้ ตูนเพิ่มโทษจำาเลย แต่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษจำาเลย เป็ นการแกู เฉพาะโทษไม่เป็ นการแกูบท (ฎ. 3427/27) คำาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ท่ีใหูแกู เรื่องคืนหรือใชูราคาทรัพย์ ไม่เป็ นการแกูบท(ฎ.396/12) เหล่านี้เป็ นการแกูไขนู อย - ศาลอุทธรณ์แกูโทษจำาคุกตามคำาพิพากษาศาลชัน ้ ตูนเป็ นโทษปรับหรือ กักขัง เป็ นการแกูไขเล็กนู อย (ฎ. 2220/44,1315/31) - การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูน จากกรรมเดียว เป็ นหลายกรรม หรือจากหลายกรรมเป็ นกรรมเดียว และแกูโทษดูวย ก็เป็ นการ แกูไขเล็กนู อย (ฎ.775/44,6441/40) -กรณี ท่ีมีผู้เสียหายหลายคนในความผิดกรรมเดียวกัน ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแกูโดยใหูยกฟู องในขูอหาเกี่ยวกับผู้เสียหายบางคน แต่ยังลงโทษเท่าเดิม เป็ นการแกูไขเล็กนู อย(ฎ.3380/37) - หากศาลอุทธรณ์แกูเฉพาะโทษริบทรัพย์สิน ดังนี้ถือว่าเป็ นการแกูไขเล็ก นู อย (ฎ. 2249/43,2273/33) ปั ญหาว่าศาลจะริบทรัพย์ของกลางไดูหรือไม่ เป็ น ดุลพินิจของศาล จึงถือว่าเป็ นปั ญหาขูอเท็จจริง -การแกูไขจำานวนเงินที่ใหูจำาเลยใชูแก่ผู้เสียหาย เป็ นการแกูไขเล็กนู อย(ฎ. 1164/31) - การแกูทัง้ บทกำาหนดโทษ และแกูโทษดูวย เป็ นแกูไขมาก (ฎ. 4788/38) - ในกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนพิพากษาว่าจำาเลยฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ศาล อุทธรณ์พิพากษาว่าจำาเลยกระทำาโดยบันดาลโทสะ และแกูโทษ เป็ นแกูมาก (ฎ. 3874/29 ล 1741/09) - ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาว่าจำาเลยเป็ นตัวการ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเป็ นผู้ สนั บสนุนถือว่าเป็ นการแกูบทลงโทษ หากแกูโทษดูวยถือว่าเป็ นการแกูมาก (ฎ.1247/31) แต่ต่อมามี ฎ . 752/41 วินิจฉั ยว่ากรณี ดังกล่าวแมูจะเป็ นการแกู โทษดูวย ก็เป็ นการแกูไขเล็กนู อย*** -ในกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนพิพากษาว่าเป็ นพยายามกระทำาความผิด ตามมาตรา 80 แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเป็ นพยายามตามมาตรา 81 และแกูกำาหนดโทษ เป็ นการแกูมาก (ฎ. 908/20,1737/16) - การแกูเรื่องรอการลงโทษ ไม่ว่าจะเป็ นการแกูจากรอเป็ นไม่รอ หรือ จาก ไม่รอเป็ นรอ ก็ถือว่าเป็ นการแกูไขมาก (ฎ. 1103/10,6505/44) และถูาเป็ นการ แกูจากรอเป็ นไม่รอถือว่าเป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลยดูวย*** - ศาลชัน ้ ตูนลงโทษจำาคุก แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเปลี่ยนโทษจำาคุกเป็ น ส่งตัวจำาเลยไปฝึ กอบรม เป็ นการแกูไขนู อย (ฎ. 826/44,2772/39) แต่ถาู ศาลชัน ้ ตูนลงโทษจำาคุกและใหูเปลี่ยนเป็ นส่งตัวจำาเลยไปฝึ กอบรม แต่ศาลอุทธรณ์แกูเป็ น ว่าไม่สมควรส่งตัวไปฝึ กและอบรม แต่ใหูจำาคุก เป็ นการแกูไขมาก(ฎ. 4816/43) และเพิ่มเติมโทษจำาเลยดูวย
106
- มาตรา 218 ตูองเป็ นกรณี ท่ีศาลอุทธรณ์พิพากษายืนหรือแกูไขเล็ก นู อย แต่ถาู เป็ นกรณี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูน ไม่ ตูองหูาม เช่น ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาว่าไม่มีอำานาจฟู อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่ามี อำานาจฟู อง มีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูน ไม่ ตูองหูามฎีกาขูอเท็จจริง (ฎ. 1167-8/30)*** -บางกรณี แมูจะเป็ นการแกูไขมาก แต่อาจตูองหูามฎีกาตามมาตรา 219 ไดู เช่นกรณี ท่ีทัง้ ศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์ ก็ลงโทษจำาคุกจำาเลยไม่เกิน 2 ปี (ฎ. 1662/35,5083/33)
กรณี ท่ีโจทก์ตูองหูามฎีกาตามมาตรา 218 วรรคสอง ไดูแก่ คดีท่ีศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แกูไขเล็ก นู อย และใหูลงโทษจำาคุกจำาเลยเกิน 5 ปี ไม่ว่าจะมีโทษอย่างอื่นดูวยหรือไม่ หูาม มิใหูโจทก์ฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริง ( หูามเฉพาะโจทก์ และในปั ญหาขูอเท็จจริง เท่านั ้น) - หากจำาเลยเป็ นผู้ฎีกา ไม่ตูองหูามตาม 218 วรรคสอง - ในคดีรูองขอคืนของกลางที่ศาลสัง่ ริบตามมาตรา 36 ไม่มีกฎหมายหูามมิ ใหูฎก ี าในปั ญหาขูอเท็จจริง (ฎ. 802/27,211/04 ป.) เพราะการรูองขอคืนของ กลางเป็ นกรณี ท่ีบค ุ คลภายนอกอูางว่าเป็ นเจูาของทรัพย์สินที่ถ้กริบ มิไดูรู้เห็น เป็ นใจในการกระทำาความผิดโดยผู้รูองไม่ไดูถ้กฟู องใหูลงโทษเป็ นจำาเลยดูวย จึง จะนำ าบทบัญญัติมาตรา 218,219,220 มาบังคับแก่ผรู้ ูองไม่ไดู -แต่ถาู เป็ นกรณี ท่โี จทก์หรือจำาเลยเป็ นผู้ฎีกาคำาพิพากษาในส่วนที่เกี่ยวกับ การริบทรัพย์สินก็ยังคงตูองพิจารณาตามมาตรา 218,219,220 เช่นกัน (ฎ. 705/29,5976/45) - ปั ญหาขูอเท็จจริงที่พบเสมอ คือเรื่องการใชูดุลพินิจของศาลในการรับฟั ง ขูอเท็จจริงและการกำาหนดโทษ ปั ญหาว่าจำาเลยมีเจตนากระทำาผิดหรือไม่หรือ ปั ญหาว่าควรรอการลงโทษหรือไม่ เหล่านี้ เป็ นปั ญหาขูอเท็จจริง (443/46,82/39,2568/46)*** - จำาเลยอายุกว่า 17 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี ถูาศาลเห็นสมควรอาจลด มาตราส่วนโทษลงหนึ่ งในสามหรือกึ่งหนึ่ งก็ไดู ทัง้ นี้ตาม ป.อ.มาตรา 76 การลด มาตราส่วนโทษจำาเลยหรือไม่ จึงเป็ นดุลพินิจของศาล เป็ นปั ญหาขูอเท็จจริง (ฎ.472/39) แต่ถาู เป็ นการลดมาตราส่วนโทษใหูจำาเลย ตาม ป.อ.มาตรา 75 (จำาเลยอายุกว่า 17 ปี แต่ไม่เกิน 17 ปี ) เป็ นกรณี ท่ีกฎหมายบังคับใหูตอ ู งลด มาตราส่วนโทษใหูก่ึงหนึ่ ง ไม่ใช่ดุลพินิจของศาล ดังนี้ถูาศาลล่างไม่ลดมาตราส่วน โทษใหู เป็ นการไม่ถก ้ ตูอง เป็ นปั ญหาขูอกฎหมาย (ฎ. 6558/47) -ในคดีท่ต ี ูองหูามฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริงนี้ หากศาลฎีกาเห็นว่าพยาน หลักฐานของโจทก์ไม่พอจะฟั งลงโทษจำาเลยไดู ก็มอ ี ำานาจพิพากษายกฟู องโดย อาศัยอำานาจตามมาตรา 185 (ฎ. 159/28,4505/31,1214-19/32) ขูอสังเกต ในคดีตูองหูามฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริง ศาลฎีกาก็ยังคงมี อำานาจพิพากษายกฟู องไดู โดยมีอำานาจยกฟู องตลอดไปถึงจำาเลยที่มิไดูอุทธรณ์ ไดู เพราะเป็ นเหตุลก ั ษณะคดี***** คดีตูองหูามฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริงตาม มาตรา 219 ในคดีท่ีศาลชัน ้ ตูนพิพากษาใหูลงโทษจำาคุกจำาเลยไม่เกินสองปี หรือปรับไม่ เกินสี่หมื่นบาท หรือทัง้ จำาทัง้ ปรับ ถูาศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำาเลยไม่เกิน
107
กำาหนดที่ว่ามานี้ หูามมิใหูค่้ความฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริง แต่ขูอหูามนี้มิใหู ใชูแก่จำาเลยในกรณี ท่ีศาลอุทธรณ์พิพากษาแกูไขมากและเพิ่มเติมโทษจำาเลย - แมูการแกูไขวรรค(ที่โทษส้งต่างกันมาก) และแกูไขโทษดูวยจะเป็ นการ แกูไขมาก แต่ถูาโทษที่ศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์ลงแก่จำาเลยไม่เกิน 2 ปี ก็ตูอง หูามตามมาตรา 219 (ฎ. 1751/43) เพราะเรื่องนี้ไม่มีการเพิ่มเติมโทษจำาเลย จำา เลยจึงฏีกาไม่ไดู - ในกรณี ศาลอุทธรณ์แกูคำาพิพากษาศาลชัน ้ ตูน จากรอการลงโทษเป็ นไม่ รอการลงโทษ ถือว่าเป็ นการแกูไขมาก และการที่ศาลอุทธรณ์แกูเป็ นไม่รอการ ลงโทษจำาเลยนั ้น ถือว่าเป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลยแลูว จำาเลยมีสิทธิฎีกาใน ปั ญหาขูอเท็จจริงไดู ( 729/33 ป., คร. 2138/46) *** -ถูาศาลชัน ้ ตูนลงโทษจำาคุกจำาเลยสถานเดียวโดยไม่รอลงอาญา ศาล อุทธรณ์ลงโทษปรับจำาเลยอีกสถานหนึ่ ง โดยโทษจำาคุกใหูรอการลงโทษไวู เป็ นการแกูไขมาก แต่ไม่เป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย ตูองหูามฎีกาในปั ญหาขูอ เท็จจริง (ฎ. 6744/44,5898-9/40) - ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาใหูลงโทษจำาคุก และใหูเปลี่ยนโทษจำาคุกเป็ นส่งตัวไป ฝึ กและอบรม แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแกูเป็ นว่าไม่สมควรเปลี่ยนโทษจำาเลยโดย ส่งตัวไปฝึ กและอบรม ดังนี้ เป็ นการแกูไขมาก และเป็ นการเพิ่มเติมโทษจำาเลย (ฎ. 4816/43) คดีตูองหูามฎีกาตามมาตรา 220 ศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟู อง ไม่ว่าจะโดยอาศัยขูอเท็จจริง หรือขูอกฎหมาย หรือเป็ นการยกฟู องในชัน ้ ไต่สวนม้ลฟู อง ก็ตูองหูามฎีกาทัง้ สิน ้ และเป็ นการตูองหูามทัง้ ในปั ญหาขูอเท็จจริงและขูอกฎมายดูวย (ฎ.4328/47,238/47) ซึ่งแตกต่างจากมาตรา 218,219 ซึ่งตูองหูามเฉพาะใน ปั ญหาขูอเท็จจริงเท่านั ้น*** -ศาลชัน ้ ตูนมีคำาสัง่ ใหูจำาหน่ ายคดีเพราะสิทธินำาคดีอาญามาฟู องระงับไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน มีผลเท่ากับทัง้ สองศาลพิพากษายกฟู อง เมื่อศาล อุทธรณ์พิพากษายืน ก็ตูองหูามฎีกาตามมาตรา 220 นี้(ฎ. 5863-64/41, 4712/40) - ในกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนตรวจคำาฟู องแลูวมีคำาสัง่ ไม่รับหรือไม่ประทับฟู องมี ผลเท่ากับศาลชัน ้ ตูนพิพากษายกฟู องโจทก์นั่นเอง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงตูองหูามฎีกาตามมาตรา 220 (ฎ. 1184/46,4824/33)*** - ศาลชัน ้ ตูนพิพากษายกฟู องในชัน ้ ตรวจคำาฟู อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหู รับฟู องบางขูอหา ขูอหาอื่นใหูคงเป็ นไปตามคำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูน ดังนั ้น เฉพาะขูอหาอื่นถือว่าศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟู องโจทก์ โจทก์จะ ฎีกาในปั ญหาขูอกฎหมายในขูอหาดังกล่าวว่าฟู องโจทก์ไม่เคลือบคลุมไม่ไดู ตูอง หูามฎีกา ตามมาตรา 220 (ฎ. 4261/41) -โจทก์ฟูองขอใหูลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 289,288 ศาลชัน ้ ตูนพิพากษา ยกฟู อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำาเลยมีความผิดตามมาตรา 290 หรือ 297 มีผลเท่ากับศาลชัน ้ ตูนและศาล อุทธรณ์พิพากษายกฟู องโจทก์ในขูอหาตามมาตรา 288 หรือ 289 แลูวแต่กรณี โจทก์จะขอใหูลงโทษตามมาตรา 288 หรือ 289 แลูวแต่กรณี ไม่ไดู (ฎ.1648/31,9024/43)
108
- กรณี ท่ีโจทก์ฟูองขอใหูลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 297 ศาลชัน ้ ตูน พิพากษาว่า จำาเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 295 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟู อง ถือว่าขูอหาตามมาตรา 297 นั ้น ศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟู อง ตูอง หูามตามมาตรา 220 (ฎ. 9279/39) หรือฟู องขอใหูลงโทษฐานปลูนทรัพย์ ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาลงโทษฐานทำารูายร่างกาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหูลงโทษ ฐานทำารูายร่างกายและลักทรัพย์ เท่ากับศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์พิพากษา ยกฟู องขูอหาปลูนทรัพย์ จึงฎีกาขูอหาปลูนทรัพย์ไม่ไดู(ฎ. 3293/43) - ฟู องขอใหูลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง ศาลชัน ้ ตูนพิพากษา ลงโทษจำาเลยตามมาตรา 276 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟู องโจทก์ตาม มาตรา 276 วรรคแรกเสียดูวย ( ทัง้ มาตรา 276 วรรคแรก และมาตรา 276 วรรค สอง ) ดังนี้ถือว่าศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟู องโจทก์ในขูอหาตาม มาตรา 276 วรรคสอง ( แต่ไม่หูามฎีกาในขูอหา 276 วรรคแรก ) (ฎ. 4906/43) - ศาลชัน ้ ตูนพิพากษาว่าจำาเลยมีความผิด แต่ไม่ตูองรับโทษ มีผลเท่ากับ ยกฟู อง (ฎ. 2168/28) เรื่องนี้ศาลชัน ้ ตูนวินิจฉั ยว่าจำาเลยทำาผิดดูวยความจำาเป็ น ตาม ป.อ.มาตรา 67 ซึ่งชอบที่ศาลจะยกฟู องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 แมูจะใหูมี การคุมประพฤติจำาเลย ก็มีผลเท่ากับพิพากษายกฟู องในขูอเท็จจริง เมื่อศาล อุทธรณ์ฟังว่าไม่ไดูกระทำาผิด พิพากษายกฟู อง จึงตูองดูวย ป.วิ.อ.มาตรา 220 -ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ เพราะเป็ นอุทธรณ์ตูองหูาม ไม่ใช่ พิพากษายกฟู อง ไม่ตูองหูามฎีกา (คร. 319/27,2669/46,548/46) - ในกรณี ท่ีโจทก์ขอใหูยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามมาตรา 166 วรรคสอง ศาลชัน ้ ตูนยกคำารูอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ ไม่เป็ นการยกฟู องตาม มาตรา 220 โจทก์ฎีกาไดู (ไม่ใช่เนื้ อหาแห่งคดี) ย่อมมีสิทธิฎีกาในขูอเท็จจริงไดู (ฎ. 1729/29) - มีขูอสังเกตว่า การตูองหูามฎีกา ตามมาตรา 220 ศาลชัน ้ ตูนและศาล อุทธรณ์ตูองพิพากษายกฟู องทัง้ สองศาล ถูาศาลชัน ้ ตูนพิพากษาลงโทษจำาเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟู อง หรือศาลชัน ้ ตูนพิพากษายกฟู องแต่ศาลอุทธรณ์ พิพากษาใหูลงโทษจำาเลย ทัง้ สองกรณี นี้ไม่ตูองหูามฎีกาตามมาตรา 220 โดยไม่ ตูองคำานึ งว่าจำาเลยจะถ้กลงโทษเพียงใด (ฎ. 1321/35) - ในกรณี ท่ีผู้เป็ นเจูาของรูองขอคืนของกลางตาม ป.อ.มาตรา 36 แมูศาล ชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์จะยกคำารูอง ผูร้ ูองก็ฎีกาไดู (คร. 342/19 ป.,ฎ.1025/22) - ศาลชัน ้ ตูนมีคำาสัง่ ยกฟู องเพราะเหตุโจทก์ไม่มาศาลตามมาตรา 166 ศาล อุทธรณ์พิพากษายืน เป็ นกรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟู อง โจทก์ จึงตูองหูามมิใหูฎก ี าตามมาตรา 220 (ฎ.1751/48)*** ขูอสังเกต เรื่องนี้ศาล “ยกฟู อง” เพราะโจทก์ไม่มาตามกำาหนดนั ด ตาม มาตรา 166 โจทก์ย่ น ื คำารูองขอใหูยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลชัน ้ ตูนยกคำารูอง เพราะโจทก์ย่ ืนคำารูองเกิน 15 วัน โจทก์อุทธรณ์คำาสัง่ “ยกฟู อง” ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน จึงเป็ นกรณี ท่ีศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนในคำาสัง่ ยกฟู อง (แต่ถาู เป็ น กรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนยกคำารูองขอใหูยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ โจทก์อุทธรณ์คำาสัง่ ใหูยก คำารูอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ไม่ใช่กรณี ศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์ยกฟู อง ตามมาตรา 220 เพราะไม่ใช่เนื้ อหาในคดี จึงไม่ตูองหูามฎีกาในขูอเท็จจริง คร. 1729/28 ) การรับรองใหูฎีกา (มาตรา 221)
109
-กรณี ท่ีจะขอใหูอนุญาต หรือรับรองใหูฎีกา ตามมาตรา 221 ไดูนั้น ตูองเป็ นคดีท่ีตูองหูามฎีกาตามมาตรา 218,219 และ 220 เท่านั ้น ดังนี้ถูาเป็ น กรณี ตูองหูามฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริงตามมาตรา 219 ตรี เรื่องการหูามฎีกาเกี่ยว กับโทษกักขัง ไม่อาจใหูรบ ั รองใหูฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริงไดู (ฎ. 725/47, 8354/43, 5524/41) หากรับรองไปเป็ นการไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคดีขึ้นส่้ การพิจารณาของศาลฎีกาแลูว ศาลฎีกามีอำานาจพิพากษาใหูรอการลงโทษไดูหาก เห็นว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์กำาหนดไม่เหมาะสม แก่รป ้ คดี (ฎ. 2393/42) - ผู้พิพากษา แมูขณะรับรองจะยูายไปอย่้ศาลอื่นแลูว ก็มีอำานาจอนุญาต ใหูฎก ี าไดู (ฎ.149/92 ป.) เรื่องนี้ ผู้พิพากษาที่เคยนั่ งพิจารณาในศาลชัน ้ ตูนแมู ยูายไปอย่ท ้ ่ีศาลอื่นแลูว ถูาหากยังเป็ นผู้พิพากษาอย่้ ก็มอ ี ำานาจอนุญาตใหูคค ่้ วาม ฎีกาในขูอเท็จจริงไดู -มีขูอน่ าสังเกตว่า การอนุญาตหรือรับรองใหูฎีกาในคดีท่ีตูองหูามฎีกาตาม มาตรา 220 อาจมีไดูทัง้ ในปั ญหาขูอเท็จจริงและขูอกฎหมาย เพราะตามมาตรา 221 มิไดูจำากัดเฉพาะการอนุญาตหรือรับรองใหูฎก ี าแต่เฉพาะปั ญหาขูอเท็จจริง เท่านั ้น แต่การอนุญาตหรือรับรองตูองระบุใหูชัดเจนว่าอนุญาตหรือรับรองใน ปั ญหาขูอใด ดังนี้ ถูาฎีกาของโจทก์เป็ นฎีกาในขูอกฎหมาย แต่อัยการส้งสุด รับรองใหูฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริง ถือว่าไม่มีคำารับรองของอัยการส้งสุดใหูฎีกาใน ปั ญหาขูอกฎหมาย เป็ นฎีกาตูองหูาม (ฎ. 4197/41)*** - ผู้ฎก ี าจะตูองยื่นคำารูองขออนุญาตฎีกา หรือขอใหูรับรองฎีกาในปั ญหาขูอ เท็จจริงในกำาหนดอายุความ 1 เดือน ถูาผู้ฎีกายื่นคำารูองดังกล่าวเมื่อพูนกำาหนด เวลายื่นฎีกา แมูผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำาพิพากษาของศาลล่างจะอนุญาตใหูฎก ี า ไดู และรับฎีกา ก็เป็ นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉั ย (ฎ. 651/44, คร.5769/47) แต่เมื่อคำารูองขออนุญาตใหูฎีกาไดูย่ ืนภายในกำาหนดเวลาฎีกาแลูว แมูผู้พิพากษาจะอนุญาตใหูฎีกาเมื่อพูนกำาหนดระยะเวลาฎีกาแลูว ก็เป็ นคำาสัง่ ที่ ชอบดูวยกฎหมาย (ฎ.3094/39)** -กรณี ท่ีศาลชัน ้ ตูนมีคำาสัง่ ไม่รับฎีกาแลูว แต่เมื่อยังอย่้ในกำาหนดเวลายื่น ฎีกา ผู้ฎีกาก็มีสท ิ ธิย่ ืนคำารูองขอใหูผู้พิพากษาอนุญาตใหูฎก ี า ตามฎีกาที่ย่ น ื ไวูแลูว ไดู (คร.1178/44, คร.4182/46) - ในกรณี ท่ีผู้พิพากษาทำาความเห็นแยูงไวูเพียงอย่างเดียวโดยไม่ไดูอนุญาต ใหูฎก ี าในขูอเท็จจริง ก็ฎีกาไม่ไดู (ฎ. 595/08) ตูองรับรองใหูฎีกาอีกชัน ้ หนึ่ งจึงจะ ฎีกาไดู - ผู้พิพากษาที่ทำาความเห็นแยูงจะรับรองฎีกาล่วงหนู าก็ไดู (คร. 478/13 ป.) -คดีท่ีอัยการส้งสุดมีอำานาจรับรองตามมาตรา 221 หมายความรวมทัง้ คดี ที่พนั กงานอัยการเป็ นโจทก์และคดีท่รี าษฎรเป็ นโจทก์ดูวย(ฎ. 1039/04) และ อัยการส้งสุดอาจทำาหนั งสือรับรองต่างหากก็ไดู (ฎ. 1661/31) โดยปกติอัยการ ส้งสุดจะอนุญาตในตูนฉบับฎีกา - การยื่นคำารูองใหูอนุญาตหรือรับรองใหูฎีกาตามมาตรา 221 ทนายความ มีอำานาจดำาเนิ นการแทนไดู แต่อย่างไรก็ตามตูองเป็ นทนายความที่ไดูรบ ั แรแต่งตัง้ ใหูดำาเนิ นคดีในชัน ้ ฎีกาไดูดูวย (ฎ. 2795/44) - การอนุญาตใหูค่้ความฎีกาหรือไม่ เป็ นดุลพินิจเด็ดขาดของผู้พิพากษาที่ สัง่ อนุญาตใหูฎก ี า (ฎ. 187/42) - เนื่ องจากผู้พิพากษาที่จะอนุญาตมีหลายคน ผู้ฎีกาอาจจะระบุเจาะจงว่าใหู ผู้พิพากษาคนใดอนุญาตหรืออาจไม่เจาะจงก็ไดู ในกรณี ท่ีขอใหูผู้พิพากษาหลาย
110
คนรับรองโดยมิไดูเจาะจงว่าเป็ นผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่ งเท่านั ้น หากผู้ พิพากษาคนแรกๆไม่อนุญาต ก็ตูองใหูผู้พิพากษาคนอื่นๆ พิจารณาว่าจะรับรอง หรือไม่ต่อไป (คร.610/40) หมายเหตุ เกี่ยวกับเรื่องนี้ถูาเป็ นคดีแพ่ง มีมาตรา 224 วรรคทูายและ มาตรา 248 วรรคทูาย กำาหนดใหูเป็ นหนู าที่ของศาลชัน ้ ตูนส่งคำารูองใหูรับรอง อุทธรณ์ไปยังผู้พิพากษาพิจารณารับรอง สำาหรับในคดีอาญาก็น่าจะนำ ามาบังคับ ใชูไดูโดยอนุโลม (แต่การขอใหูอัยการส้งสุดรับรองฎีกา ผู้ฎีกาตูองดำาเนิ นการเอง) -ขูอที่มิไดูยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแลูวในศาลชัน ้ ตูนและศาลอุทธรณ์ จะยกขึ้น เป็ นขูอฎีกาไม่ไดู แมูจะมีการอนุญาตใหูฎก ี าไดูก็ตาม(ฎ. 611/45,7894/47) - คดีท่ีตูองหูามอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์รับพิจารณาพิพากษาคดี เป็ นการไม่ชอบ ถือว่าเป็ นขูอเท็จจริงที่มิไดูว่ากล่าวกันมาแลูวโดยชอบในศาล อุทธรณ์ เมื่อมีการฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริงอีก แมูจะมีการรับรองใหูฎีกา ก็ถือว่า เป็ นการไม่ชอบ (ฎ. 4817/45) และ ในกรณี ท่ีอัยการส้งสุดรับรองใหูฎีกาปั ญหา ขูอเท็จจริงซึ่งยุติในศาลชัน ้ ตูนแลูว ( คดีท่ีอท ุ ธรณ์ไม่ไดูแต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉั ย) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉั ยเช่นกัน (ฎ. 3563/36) และเป็ นปั ญหาเกี่ยวดูวยความสงบ ศาลฎีกายกขึ้นเองไดู - แบบของการอนุญาตใหูฎีกาของผู้พิพากษาที่ถ้กตูอง ตูองประกอบไป ดูวย 2 ประการ คือ 1) พิเคราะห์เห็นว่าขูอความที่ตัดสินนั ้นเป็ นปั ญหาสำาคัญ อันควรส่้ศาลส้งสุด และ 2) อนุญาตใหูฎก ี า ศาลฎีกาตีความเคร่งครัดว่าจะตูองมีขูอความครบถูวนทัง้ สองประการ มิ ฉะนั ้นไม่ถอ ื ว่าเป็ นการรับรองที่ถก ้ ตูอง (ฎ. 6259/34,1881/33) แต่ไม่จำาตูองใชู ถูอยคำาตามมาตรา 221 แต่ตูองใหูมค ี วามหมายครบถูวนทัง้ สองประการ ก็เพียง พอแลูว เช่น เป็ นคดีมีพฤติการณ์ซับซูอนหลาประการอันเป็ นปั ญหาสำาคัญควร ขึ้นส่้ศาลฎีกาวินิจฉั ยชีข้ าดอีกชัน ้ หนึ่ ง จึงอนุญาตใหูฎีกา (ฎ. 1159-60/04 ป.) -เมื่อมีการยื่นคำารูองขออนุญาตใหูฎก ี า ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดี หรือ ลงชื่อในคำาพิพากษาของศาลล่างมีหนู าที่พิจารณาเพียงว่า ขูอความที่ตัดสินนั ้น เป็ นปั ญหาสำาคัญอันควรส่้ศาลส้งสุดและอนุญาตใหูฎีกาเท่านั ้น จะไม่สัง่ คำารูอง โดยวินิจฉั ยว่า เป็ นคดีไม่ตูองหูามฎีกาในปั ญหาขูอเท็จจริง ไม่ไดู ถือเป็ นการสัง่ โดยผิดหลง และเป็ นการดำาเนิ นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกายูอนสำานวน ไปใหูผู้พิพากษานั ้นพิจารณาคำารูองขอนั ้นใหม่ (ฎ. 2019/48, 670/47)
การอุทธรณ์คำาสั่งไม่รับฎีกา (มาตรา 224) - เมื่อศาลชัน ้ ตูนไม่ยอมรับฎีกา ผูฎ ้ ีกายื่นคำารูองอุทธรณ์คำาสัง่ ดังกล่าวไป ยังศาลฎีกาไดู (ฎ. 161/30) - ผู้ฎก ี าจะยื่นคำารูองอุทธรณ์คำาสัง่ ไม่รบ ั ฎีกาของศาลชัน ้ ตูนไดู ต่อเมื่อศาล ชัน ้ ตูนสัง่ ไม่รับฎีกาเสียก่อน ดังนั ้นหากศาลชัน ้ ตูนเพียงแต่สัง่ ยกคำารูองที่ขอใหู รับรองฎีกาปั ญหาขูอเท็จจริง โดยยังไม่ไดูสัง่ เกี่ยวกับตัวฎีกาเลย จะอุทธรณ์คำาสัง่ ของศาลชัน ้ ตูนตามมาตรา 224 ยังไม่ไดู(ฎ.141/26)
111
-มาตรา 224 ใหูสิทธิอท ุ ธรณ์เฉพาะคำาสัง่ ไม่รับฎีกาของศาลชัน ้ ตูน เท่านั ้น ถูาศาลชัน ้ ตูนสัง่ รับฎีกาแลูว อีกฝ่ ายหนึ่ งจะยื่นคำารูองต่อศาลฎีกาใหูสัง่ ไม่ รับฎีกาไม่ไดู(ฎ. 576/29) - เมื่อค่ค ้ วามยื่นคำารูองอุทธรณ์คำาสัง่ ไม่รับฎีกา ศาลชัน ้ ตูนมีหนู าที่ส่ง คำารูองนั ้นไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาเท่านั ้น ไม่มีอำานาจสัง่ คำารูอง( คร.2146/41) - แมูผู้ฎีกายื่นคำารูองอุทธรณ์คำาสัง่ ไม่รับฎีกา จะขอใหูส่งคำารูองไปยังศาล อุทธรณ์ ศาลชัน ้ ตูนก็ตูองส่งคำารูองไปยังศาลฎีกา ตามมาตรา 224 (ฎ. 1962/43)
สุด
การบังคับคดีตามคำาพิพากษา (มาตรา 245-51) การบังคับคดีตามคำาพิพากษาในคดีส่วนอาญา จะกระทำาไดูต่อเมื่อคดีถึงที่
- คำาพิพากษาในส่วนที่ใหูจำาเลยคืนหรือใชูราคาทรัพย์ท่ียังไม่ไดูคืนแก่ผู้เสีย หาย จะขอใหูบังคับในคำาพิพากษาส่วนนี้ไดูต่อเมื่อคดีถึงที่สุดเช่นกัน (ฎ. 2786/32) - ****ฎ. 1958/49 คำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูนที่ใหูจำาเลยทัง้ สาม คนงาน ผู้รับจูาง ผู้แทน และบริวารออกจากเขตป่ าสงวนแห่งชาติท่ีเกิดเหตุนั้น เป็ นส่วน หนึ่ งแห่งคำาพิพากษาคดีอาญา เมื่อคดีถึงที่สุดแลูวศาลชัน ้ ตูนก็ชอบที่จะบังคับคดี ใหูจำาเลยทัง้ สามปฎิบัติตามคำาพิพากษาโดยไม่ชักชูาตาม มาตรา 245 วรรคแรก แต่เมื่อศาลชัน ้ ตูนยังไม่ไดูออกคำาบังคับใหูจำาเลยทัง้ สามปฎิบัติตามคำาพิพากษา อัยการโจทก์ซ่ึงเป็ นค่ค ้ วามในคดี ชอบที่จะรูองขอใหูดำาเนิ นการบังคับจำาเลยทัง้ สาม ปฎิบัติตามคำาพิพากษาดังกล่าวไดู กรณี ป.วิ.อ.มิไดูบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับคดีไวูโดยเฉพาะ พนั กงาน อัยการก็อาจดำาเนิ นการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15 ไดูดูวย มิ ตูองคำานึ งว่าพนั กงานอัยการ จะเป็ นค่้ความหรือฝ่ ายชนะคดี(เจูาหนี้ตามคำา พิพากษา) ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 หรือไม่ เพราะมิฉะนั ้นแลูวคำาพิพากษาของ ศาลชัน ้ ตูนก็อาจไรูผลบังคับ คดีท่ีศาลชัน ้ ตูนส่งสำานวนไปศาลอุทธรณ์(มาตรา 245 วรรคสอง) คดีท่ีพิพากษาใหูลงโทษประหารชีวิต หรือจำาคุกตลอดชีวิต เมื่อไม่มีการ อุทธรณ์คำาพิพากษา ศาลชัน ้ ตูนมีหนู าที่ตูองส่งสำานวนไปยังศาลอุทธรณ์พิจารณา ถูาศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็ นอันถึงที่สุด - คดีท่ีลงโทษประหารชีวิต หรือจำาคุกตลอดชีวิต เป็ นหนู าที่ของศาลชัน ้ ตูน ตูองส่งสำานวนไปศาลอุทธรณ์ (เพื่อใหูศาลอุทธรณ์ทบทวนการดำาเนิ นคดีของศาล ชัน ้ ตูนทัง้ หมด ไม่ว่าจะเป็ นการพิจารณา การรับฟั งพยานหลักฐาน การพิพากษา การกำาหนดโทษ โดยเฉพาะการที่จะตูองวินิจฉั ยว่าการกระทำาของจะเลยเป็ นความ ผิดตามฟู องหรือไม่) แต่ก็จำากัดเฉพาะกรณี ท่ีไม่มีการอุทธรณ์คำาพิพากษา ดังนี้ หากจำาเลยอุทธรณ์คำาพิพากษาของศาลชัน ้ ตูน ศาลอุทธรณ์ตูองพิจารณาอุทธรณ์ ของจำาเลย จะวินิจฉั ยคดีตามมาตรา 245 ไม่ไดู(ฎ.1591/29) เรื่องนี้ศาลชัน ้ ตูนส่ง สำานวนไปศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 245 ก่อนแลูว ต่อมาจำาเลยจึงอุทธรณ์ใน กำาหนดเวลาอุทธรณ์ ศาลชัน ้ ตูนสัง่ รับอุทธรณ์และส่งไปยังศาลอุทธรณ์ แต่ศาล อุทธรณ์ ไม่ไดูวินิจฉั ยอุทธรณ์ของจำาเลย กลับไปวินิจฉั ยตามมาตรา 245 เป็ นการไม่ชอบ - จำาเลยอุทธรณ์แต่เพียงขอใหูลงโทษสถานเบาหรือขอใหูลดโทษ ศาล อุทธรณ์ก็ตูองวินิจฉั ยในปั ญหาว่าจำาเลยกระทำาผิดตามฟู องหรือไม่ อีกครัง้ หนึ่ ง
112
ตามมาตรา 245 (ฎ. 138/38,2692/37) อย่างไรก็ตาม การวินิจฉั ยกรณี นี้ แมู ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืน คดีก็ไม่ถึงที่สุดตามมาตรา 245 เพราะกรณี เช่นนี้มี การอุทธรณ์ของจำาเลยขึ้นมาดูวย มิใช่เป็ นการวินิจฉั ยโดยใชูอำานาจตามมาตรา 245 วรรคสอง เท่านั ้น (ฎ. 481/29) - ในกรณี ท่ีจำาเลยยื่นอุทธรณ์ ต่อมาขอถอนอุทธรณ์เสีย ศาลชัน ้ ตูนก็ยัง มีหนู าที่ตูองส่งสำานวนไปยังศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 245 ถูาถอนอุทธรณ์ภาย หลังส่งสำานวนไปศาลอุทธรณ์แลูว เมื่อศาลอุทธรณ์อนุญาตใหูถอนอุทธรณ์แลูว ศาลอุทธรณ์ก็ยังตูองพิจารณาคดีต่อไปตามมาตรา 245 วรรคสอง(ฎ. 2248/18 ป.) กรณี นี้มิใช่การพิจารณาตามอุทธรณ์ของจำาเลย แต่พิจารณาตามมาตรา 245 วรรคสอง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน มีผลทำาใหูคำาพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงที่ สุด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด - หากศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คำาพิพากษาของศาลอุทธรณ์เป็ นที่สุด ตามมาตรา 245 วรรคสอง คงพิจารณาเฉพาะขูอหาความผิดที่ศาลพิพากษาใหู ลงโทษประหารชีวิตหรือจำาคุกตลอดชีวิตเท่านั ้น ในกรณี ท่ีมีหลายขูอหาและศาล อุทธรณ์พิพากษายกฟู องขูอหาอื่น ส่วนขูอหาที่ลงโทษประหารชีวิตหรือจำาคุก ตลอดชีวิตไม่มีการแกูไข จึงมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์มค ี ำาพิพากษายืน ความผิดดัง กล่าวจึงถึงที่สุดตามมาตรา 245 วรรคสอง (ฎ. 6088/45) - คดีท่ีถึงที่สุดตามมาตรา 245 วรรคสอง ตูองเป็ นกรณี ที่ไม่มีการอุทธรณ์ คำาพิพากษาศาลชัน ้ ตูน ดังนั ้นหากจำาเลยไดูย่ ืนอุทธรณ์คัดคูนคำาพิพากษาของศาล ชัน ้ ตูน แมูศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืน คดีก็ไม่ถึงที่สุด (ฎ. 3062/44) -การที่จำาเลยยื่นคำารูองขอถอนทนายความแลูว ทนายความคนนั ้นไม่มี สิทธิย่ ืนอุทธรณ์แทนจำาเลย การที่ทนายความดังกล่าวยื่นอุทธรณ์แทนจำาเลย เป็ นการกระทำาโดยไม่มีอำานาจ และถือไม่ไดูว่าจำาเลยไดูย่ ืนอุทธรณ์แลูว ศาลชัน ้ ตูนตูองส่งสำานวนไปยังศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 245 หากศาลอุทธรณ์พิพากษา ยืน ย่อมถึงที่สุด(ฎ. 1558/46) - เมื่อคดีถึงที่สุด ตามมาตรา 245 วรรคสองแลูว จำาเลยจะฏีกาขอใหูลงโทษ สถานเบาก็ไม่ไดู(ฎ. 10311/46) จบบริบ้รณ์
View more...
Comments