อาหารไทยประเภทผัดและทอด รวมเล่ม
August 18, 2017 | Author: หมีน้อย น่ารัก | Category: N/A
Short Description
ตำราอาหาร...
Description
เอกสารประกอบการสอน
อาหารไทยประเภทผัดและทอด ผูเรียบเรียง
: อาจารยพรดารา เขตตทองคํา
พิมพครั้งที่ 1 พิมพครั้งที่ 2 พิมพครั้งที่ 3 พิมพครั้งที่ 4
: : : :
ออกแบบปก
: สหรัฐ ลวดลาย
พิมพที่
: โครงการสวนดุสิต กราฟฟคไซท โทร : 0-2244-5081-3
จํานวน จํานวน จํานวน จํานวน
500 150 100 100
เลม เลม เลม เลม
กรกฎาคม 2551 กรกฎาคม 2553 มิถุนายน 2554 ธันวาคม 2554
[1]
คํานํา เอกสารประกอบการสอนวิชาอาหารไทยประเภทผัดและทอด (4513209) นี้ นักศึกษาระดับปริญญาตรี
สาขาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ
จัดทําขึน้ เพื่อ
มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต
เอกสารประกอบการสอนฉบับนี้มีจุดมุง หมายเพื่อใหนักศึกษาเรียนรูและเขาใจหลักการและเหตุผล การใช เทคนิคการเตรียมและการประกอบอาหารไทยประเภทผัดทอดไดอยางถูกตอง
และสามารถนําความรูที่
ไดรับไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาเทคนิคในวิชาชีพไดดียิ่งขึ้น อยางไรก็ตาม นักศึกษาจะตองรูจักสังเกตและทดลองปฏิบตั ิเพื่อพัฒนาเทคนิคตาง ๆ และหมั่น คนควาหาความรูจากแหลงอื่นเพิม่ เติม จะชวยใหไดรับความรูกวางขวางยิ่งขึน้ สุดทายหากเอกสารชุดนี้มี ขอผิดพลาดประการใดขออภัยไว ณ ทีน่ ดี้ วย พรดารา เขตตทองคํา
[2]
[3]
สารบัญ หนา คํานํา สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญภาพ สารบัญบทปฏิบัติการ บทที่ 1 ความหมาย สวนประกอบของน้ํามัน การผลิตน้ํามันและไขมัน ชนิดของน้าํ มัน คุณสมบัติของน้ํามัน บรรณานุกรม บทที่ 2 ผลิตภัณฑจากน้ํามัน การใชนา้ํ มันในการประกอบอาหาร การเปลี่ยนแปลงของน้าํ มันขณะที่ใชและหลังการประกอบอาหาร บรรณานุกรม บทที่ 3 การเลือกเครื่องมือเครื่องใช คุณสมบัติและหนาที่ของวัตถุดิบตาง ๆ ในการประกอบอาหารประเภทผัดและทอด บรรณานุกรม บทที่ 4 การเลือกซื้อวัตถุดิบ เทคนิคการเตรียมสวนประกอบอาหารไทยประเภทผัดและทอด การปรุงและการประกอบอาหารประเภทผัก ขั้นตอนการลางผักกอนที่จะปรุงและประกอบอาหาร การเตรียมเนื้อสัตวกอนปรุงและประกอบอาหาร การเตรียมปลากอนการประกอบอาหาร
(1) (3) (5) (6) (7) 1 1 2 8 12 15 27 23 23 33 37 40 41 41 43 68 69 69 71 72 72 73 73
[4]
สารบัญ(ตอ) การเตรียมสัตวนา้ํ อื่นกอนการหุงตม การเตรียมเนื้อสัตวประเภทเนื้อหมู เนื้อไก เทคนิคการประกอบอาหารไทยประเภทผัดทอด สุขอนามัยของผูประกอบการ มารยาทในการใหบริการอาหารไทยประเภทผัดทอด การคิดตนทุนและการกําหนดราคาขาย ราคา วิธีการกําหนดราคาขาย ปจจัยทีม่ ีอิทธิพลตอการตั้งราคา การจัดบรรจุหบี หอและการจัดจําหนาย วัตถุประสงคในการใชภาชนะบรรจุ วัสดุที่ใชทาํ ภาชนะบรรจุอาหาร ภาชนะบรรจุอาหารเพื่อการจัดจําหนาย ประโยชนของการบรรจุหีบหอ การจัดจําหนาย ชองทางการจัดจําหนาย ชองทางการจัดจําหนายสินคาบริโภค บรรณานุกรม ภาคผนวก ทําไมตองเปนผัดไทย ประวัติความเปนมาของหมีก่ รอบ ร.5 “หมี่จีนหลี”
หนา 73 74 75 79 86 87 88 95 96 96 96 99 99 99 99 100 101 103 104 106
[5]
สารบัญตาราง หนา บทที่ 1 ตารางที่ ตารางที่ ตารางที่ ตารางที่ บทที่ 4 ตารางที่
1 2 3 4
กรดไขมันอิ่มตัวที่พบมากในธรรมชาติ กรดไขมันไมอิ่มตัวที่พบมากในธรรมชาติ จุดหลอมเหลวของกรดไขมันชนิดตาง ๆ ผลึกของไขมันชนิดตาง ๆ
1 ตัวอยางการกําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหารและกําไรสวนเกิน ทีเ่ กิดขึ้น ตารางที่ 2 ตัวอยางเปรียบเทียบการกําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหาร กับตนทุนอาหารและแรงงาน ตารางที่ 3 การกําหนดราคาของอาหารตามประเภทของอาหาร
4 5 16 17
92 92 94
[6]
[6]
สารบัญภาพ หนา แผนภูมิการเกิดสารประกอบชนิดใหมระหวางการใชไขมันและน้าํ มันทอดอาหาร ภาพผนวก ที่ 1 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว ที่ 2 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว ที่ 3 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว ที่ 4 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของไก ที่ 5 การเตรียมปลาสําหรับประกอบอาหาร ที่ 6 การบั้งปลา ที่ 7 การแลปลาตัวแบน ที่ 8 การแลปลาตัวแบนแบบ บน butterfly ลาง fillet ที่ 9 การแลปลาตัวกลมแบบ กลาง steak
39 107 107 108 108 109 109 109 110 110
[7]
สารบัญบทปฏิบัติการ หนา บทปฏิบตั ิการครั้งที่ 1 หอยลายผัดฉา ผัดกะเพราไก ปลากะพงผัดผงกะหรี่ บทปฏิบตั ิการครั้งที่ 2 ทอดมันปลากราย ปลานิลทอด ลาบทอด บทปฏิบตั ิการครั้งที่ 3 กวยเตี๋ยวผัดไทย ผัดซีอิ้ว กวยเตี๋ยวคั่วไก บทปฏิบตั ิการครั้งที่ 4 หมี่กรอบ ไกผัดเมล็ดมะมวงหิมพานต ผัดเปรี้ยวหวาน บทปฏิบตั ิการครั้งที่ 5 ขาวผัด หมี่กะทิ ปกไกสอดไสน้ําแดง บทปฏิบตั ิการครั้งที่ 6 กุงชุบแปงทอด (เทมปุระ) หมูชุบแปงทอด (ทงคัสสึ) ผัดเนื้อน้ํามันหอย บทปฏิบตั ิการครั้งที่ 7 ผัดพริกขิง ปลาราดพริกสามรส
113 114 115 116 117 118 119 120 121 122 123 124 125 126 127 128 129 130 131 132 133 134 135 136 137 138 139
[8]
สารบัญบทปฏิบัติการ (ตอ) หนา ผัดขิง บทปฏิบตั ิการครั้งที่ 8 ไกหอใบเตย ฉูฉี่ปลาทูทอด ปลาดุกผัดเผ็ด
140 141 142 143 144
บทที่ 1 ในการหุงตมอาหาร ความรอนจะถูกสงผานจากแหลงใหความรอน เชน เตาถาน เตาแกส เตาไฟฟา ฯลฯ ไปยังอาหาร ซึ่งการสงผานความรอนในการหุงตมมี 3 วิธี คือ 1. การนําความรอน (Conduction) หมายถึงการที่ความรอนไหลจากสิง่ หนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่ง เชน การตั้งกระทะบนเตาและในกระทะนัน้ มีอาหาร กระทะจะรอนจากไฟ ความรอนจากกระทะไหลไปยังอาหาร 2. การพาความรอน (Convection) เปนการสงผานความรอนของแกสหรือของเหลวโดยที่ตัวมันเอง บางสวนจะเคลื่อนไปดวย และความรอนจะถูกพาจากทีม่ ีความหนาแนนมากไปสูท มี่ ีความหนาแนนนอย เชน อาหารที่รอนในน้าํ เดือด 3. การแผรังสี (Radiation) เปนการสงผานความรอนโดยคลื่นรังสี เชน เตาอบซึง่ จะเกิดความรอน แบบนี้เฉพาะบริเวณผิวหนาอาหารเทานัน้ ขางในอาหารยังมีการพาความรอนเกิดขึ้น อยางไรก็ตามวิธีหงุ ตมอาหารมีดวยกันหลายวิธี เชน การใชความรอนแหง (Dry-heat method) การ ใชความรอนชืน้ (Moist-heat method) และการใชนา้ํ มันรวมกับความรอนแหง (Dry-heat method using fat) การทําใหอาหารสุกโดยใชน้ํามันรวมกับความรอนแหงคือการทอด (frying) การหุงตมแบบนีแ้ บงเปน 3 ประเภทดังจะกลาวในโอกาสตอไป 1. ความหมาย 1.1 ทอด (fly) หมายถึง การทําใหอาหารชนิดใดชนิดหนึง่ ซึ่งตองการใหสุกดวยน้ํามัน โดยตักน้าํ มัน ใสกระทะใหรอน แลวใสอาหารนัน้ ลงไปพอเหลืองหรือสุก 1.2 ผัด (fry) หมายถึง การทําอาหารชนิดเดียวหรือหลายชนิดซึ่งตองการใหสุกสําเร็จเปนอาหารสิ่ง เดียว และมีรสอยางใดอยางหนึ่ง โดยใชน้ํามันหรือกะทิ 1.3 เจียว (fry) หมายถึง การทําอาหารที่ละเอียดหรือที่เปนฝอย ซึ่งตองการใหสกุ หรือกรอบดวย น้ํามัน โดยตักน้ํามันใสกระทะแลวใสอาหารนั้นลง คนเรื่อยไปจนกวาจะสุกตามตองการ 1.4 จี่ (pan-broil) หมายถึง การทําวัตถุชนิดใดชนิดหนึ่งซึง่ ตองการใหสุกดวยน้ํามัน โดยการตั้ง กระทะบนไฟแลวทาน้าํ มันแตนอยพอทั่วกระทะ แลวใสอาหารนั้นนาบกลับไปมาจนสุกตามตองการ 2. น้ํามัน ในการประกอบอาหารประเภทผัดและทอดนั้นสิง่ สําคัญที่ใชคือ น้าํ มัน น้ํามันที่ใชอยูแบงออกเปน 2 กลุม โดยถือเอาแหลงของวัตถุดิบเปนเกณฑ คือน้าํ มันที่ไดจากพืชและน้ํามันที่ไดจากสัตว น้าํ มันที่ไดจากพืชมี
2 หลายชนิด และนิยมใชกันมาก จึงถือวามีความสําคัญมากในการคา สวนน้ํามันทีไ่ ดจากสัตวมีใชกันนอย แต ก็มีความสําคัญ น้ํามันหรือไขมันเปนสารประกอบที่อยูในกลุม lipids สารประกอบในกลุมนี้มีลักษณะตางกัน แตมี คุณสมบัติในการละลายเหมือนกัน สวนใหญเปนสารประกอบของกรดไขมัน นอกจากนี้ยงั มีพวก waxes, phospholipids, steroids, cholesterol สารใหสี และวิตามิน น้ํามันและไขมันนั้นมีความแตกตางกันเพียง สถานะที่อุณหภูมิหองเทานัน้ คือน้ํามันมีสถานะเปนของเหลวที่อุณหภูมิหอง แตไขมันเปนของแข็ง เนื่องจาก อุณหภูมิหองเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และขึ้นอยูกบั แหลงที่ผลิต ดังนัน้ น้ํามันชนิดหนึง่ อาจเรียกเปนไขมัน ถาเปลี่ยนจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง การใชน้ํามันของมนุษยนั้นมีวัตถุประสงคใหอาหารมีกลิ่นและรส ดีขึ้น เปนตัวนําความรอนจากภาชนะไปสูอาหาร ทําใหอาหารสุกไดงาย นอกจากนีน้ ้ํามันยังเปนแหลง พลังงานที่ดี และเปนตัวนําวิตามินที่จาํ เปนเขาสูรางกาย สวนประกอบของน้ํามัน 1. สารประกอบ glycerol น้ํามันเปนสารประกอบ ester ที่เรียกกันวา glyderide แอลกอฮอลที่ เกี่ยวของคือกลีเซอรอล และกรดเปนพวก aliphatic straight chain มีจํานวนคารบอนเปนเลขคูและมี จํานวน 8-24 เปนสวนใหญ 1.1 กลีเซอรอล กลีเซอรอลเปนแอลกอฮอลที่ไดจากการแตกตัวของน้าํ มันมีลักษณะเหนียว ไม สี มีรสหวาน หนักกวาน้ําและละลายน้ําไดดี กลีเซอรอล (1,2,3-propanetriol) มี hydroxyl 3 หมู อยูท ี่ คารบอนติดกัน ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นกับหมูใดหมูห นึง่ ของ hydroxyl group จึงมีผลตอ hydroxyl group อื่น ๆ มาก กลีเซอรอลสามารถทําปฏิกิริยากับกรดอินทรีย (R-COOH) ใหสารประกอบ ester กรดไขมันที่ทาํ ปฏิกิริยากับกลีเซอรอลอาจมีจํานวนเพียงหนึง่ สอง หรือสามก็ได ซึ่งเรียกวา monoglyceride, diglycerides และ triglycerides ตามลําดับ สําหรับ monoglyceride และ diglycerides นัน้ ไมคอยพบในธรรมชาติมากนัก นอกจากน้ํามันมีการแตกตัว โดยปกติแลว glyceride ทั้ง สองชนิดนี้จะตองเตรียมจากกรดไขมันกับกลีเซอรอลในหองทดลอง เปนสารที่ใหประโยชนมาก โดยเฉพาะ monoglyceride มีคุณสมบัติเปนสาร emulsifier จึงนําไปใชเปนตัวกระจายไขมันในอาหารหลายชนิด ทัง้ นี้ เนื่องจากเปนสารที่มที ั้ง polar group และ nonpolar group ภายในโมเลกุลเดียวกัน มีการใสสารนี้ใน shortening สําหรับทําเคก นอกจากนี้ยงั มีการใสลงในน้าํ มัน โดยเฉพาะน้ํามันทีม่ ีกรดไขมันชนิดไมอิ่มตัวอยู ในปริมาณสูง ทําใหมีลกั ษณะขนขึ้นสําหรับทํามาการีน
3 สารประกอบ triglycerides เปนน้ํามันที่พบมากในธรรมชาติ กรดทั้งสามทีเ่ กาะอยูกบั กลีเซอรอลนั้นอาจเปนชนิดเดียวกันหรือตางกันก็ได น้ํามันที่มีกรดไขมันชนิดเดียวทัง้ หมดเรียกวา simple triglycerides แตถากรดไขมันนี้แตกตางกัน เรียกน้าํ มันนัน้ วา mixed triglycerides ในธรรมชาติน้ํามันสวน ใหญอยูในแบบ mixed triglycerides 1.2 กรดไขมัน คําวากรดไขมันหมายถึงกรดที่ไดจากการแตกตัวของน้าํ มัน โดยหลักการแลว กรดไขมันไดรวมถึงกรดทุกชนิดที่อยูในชุดของ acetic acid คือนับตั้งแตกรดฟอมิกเรี่อยไป ซึง่ อาจมีอยูใน ธรรมชาติหรือไมก็ได ในธรรมชาติพบกรดไขมันเฉพาะที่มีจํานวนคารบอนคูเทานัน้ นอกจากนี้กรดไขมันยังได รวมถึงกรดที่อยูในกลุม straight-chain aliphatic acid ที่ไมอิ่มตัวอีกดวย ถึงแมกรดไขมันเหลานี้บางชนิดจะ ไมพบในธรรมชาติ กรดไขมันที่พบในธรรมชาติมีมากบางนอยบาง ที่มีปริมาณมากมีอยูเ พียง 3 ชนิด และเปนกรด ไขมันที่ไมอิ่มตัว มีคารบอน 1 ตัวในหนึ่งโมเลกุล กรดเหลานี้ไดแกกรด oleic, linoleic และ linolenic ซึ่งมี 1,2 และ 3 double bond ตามลําดับ สวนพวกกรดไขมันชนิดอิ่มตัวก็มีพวก lauric, myristic, palmitic และ stearic น้าํ มันทีม่ ีกรดชนิดอื่นที่แตกตางไปจากที่ไดกลาวมาทัง้ สองชนิดนี้ จะมีคุณสมบัติที่แตกตางไปเชน กรด ricinoleic acid (hydroxyl acid) ทีพ่ บในน้ํามันระหุง เปนตน คุณสมบัตขิ องกรดไขมันขึ้นอยูกับความยาวของโมเลกุล ความอิม่ ตัว ลักษณะโครงสรางของกรด ไมอิ่มตัว และตําแหนงของ double bond เมื่อมีกลุม อื่นเขาไปแทรกในโมเลกุล จะมีผลทําใหคุณสมบัติของ ไขมันแตกตางไปดวย กรดไขมันมีความยาวมากขึ้น จุดหลอมเหลวจะสูงขึ้นและการละลายน้ําไดนอยมาก ในขณะที่มีจาํ นวน 12 คารบอนขึ้นไปจะเปนของแข็งที่อุณหภูมหิ องและละลายน้ําไดนอยมาก ในขณะที่ acetic acid ละลายน้าํ ไดทุกอัตราสวน การละลายน้าํ มีผลตอความเปรี้ยวของกรดมาก กรดที่ละลายน้าํ ได นอยจะมีความเปรี้ยวนอย เชน กรด palmitic ละลายน้ําไดนอยมาก กรดชนิดนีจ้ ึงไมมีรสเปรี้ยวเลย 1.2.1 กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acids) กรดไขมันอิ่มตัวมีสูตรโดยทั่ว ๆ ไปคือ CnH2nO2 CnH2n+1COOH นอกจากกรด isovaleric acid ซึ่งมีสูตรโครงสรางที่แตกตางไปจากปกติ มี ลักษณะเปนกิง่ พบมากในปลาโลมา กรดไขมันอิ่มตัวทีพ่ บมากในธรรมชาติมคี ารบอน 4-14 คารบอน (ตารางที่ 1)
4 ตารางที่ 1 กรดไขมันอิ่มตัวที่พบมากในธรรมชาติ จํานวนคารบอน 4 5 6 8 10 12 14 16 18 20 22 24
ชื่อ Butyric Isovaleric Caproic Caprylic Capric Lauric Myristic Pamitic Stearic Arachidic Behenic Lignoceric
สูตรเคมี CH3-(CH2)2-COOH (CH3)2CH-CH2-COOH CH3-(CH2)4-COOH CH3-(CH2)6-COOH CH3-(CH2)8-COOH CH3-(CH2)10-COOH CH3-(CH2)12-COOH CH3-(CH2)14-COOH CH3-(CH2)16-COOH CH3-(CH2)18-COOH CH3-(CH2)20-COOH CH3-(CH2)22-COOH
ที่มา : ณรงค และ อัญชนีย (ม.ป.ป.) กรด Butyric พบมากในนม มีปริมาณ 2-4 เปอรเซ็นต Caproic acid พบในนม 1-3 เปอรเซ็นต พบเล็กนอยในน้าํ มันมะพราวและน้ํามันจากเนื้อปาลม Caprylic acid พบมากในเนื้อปาลม 3-10 เปอรเซ็นต และในนม 1-4 เปอรเซ็นต Lauric acid เปนหนึง่ ในสามของกรดไขมันทีพ่ บมากที่สดุ ในธรรมชาติ พบมากในเนื้อมะพราวและเนื้อปาลม มีปริมาณ 40-50 เปอรเซ็นต พบเล็กนอยในไขมันนม ประมาณ 2-8 เปอรเซ็นต Myristic acid พบเล็กนอยในน้าํ มันพืชและสัตวทวั่ ๆ ไป ในนมมีประมาณ 8-12 เปอรเซ็นต ใน น้ํามันมะพราวและน้าํ มันปาลมมี 15-30 เปอรเซ็นต Pamitic acid พบมากในน้ํามันพืชและน้ํามันสัตวทั่ว ๆ ไป ในน้ํามันหมูและไขมันวัวมี 25-30 เปอรเซ็นต Cocoa butter มี 25 เปอรเซ็นต Stearic acid พบมากในพืช มีปริมาณ 1-5 เปอรเซ็นต เปน สวนประกอบหลักของไขมันจากสัตว เชน นํามันหมู ไขวัว และ Cocoa butter มี 10, 20 และ 35 เปอรเซ็นต ตามลําดับ Arachidic acid พบไดทวั่ ไปในปริมาณไมมากนัก ไขมันนมและน้ํามันจากถัว่ มี ปริมาณเล็กนอย ในถั่วลิสงมี 1-3 เปอรเซ็นต และนํามันจากเมล็ดเงาะมี 20-35 เปอรเซ็นต Lignoceric acid พบมากในพืชบางชนิด เปนพืชที่อยูในหมูเกาะอินดีสตะวันออก เชน Adenanthera pavorian
5 1.2.2 กรดไขมันไมอิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) กรดไขมันเกิดขึ้นในธรรมชาติมี ปริมาณสูง เปนกรดทีท่ ําใหบริสุทธิไดยาก นอกจากนีย้ ังไมอยูตัว สามารถเปลี่ยนตําแหนง double bond ได งาย มีคารบอนตั้งแต 10-26 อะตอม แตในจํานวนกรด oleic acid มีปริมาณสูงสุด พบในน้ํามันทุกชนิด (ตาราง 2) ตาราง 2 กรดไขมันไมอิ่มตัวพบมากในธรรมชาติ จํานวนคารบอน 10 16 18 18 18
ชื่อ Caproleic Palmitoleic Oleic Linoleic Linolenic
สตรเคมี CH3-(CH2)2-CH:CH-(CH2)2-COOH CH3-(CH2)5 -CH:CH-(CH2)7-COOH CH3-(CH2)7-CH:CH-(CH2)7-COOH CH3-(CH2)7-CH:CH-CH2CH:CH-(CH2)7-COOH CH3-CH2-CH:CH-CH2CH:CH-CH2-CH:CH-(CH2)2-COOH
ที่มา : ณรงค และ อัญชนีย (ม.ป.ป.) กรดไขมันไมอิ่มตัวในธรรมชาติมีคารบอนเปนเลขคู และมีจํานวน 18 อะตอมมากทีส่ ุด มักพบในรูป cis-cofiguration ตําแหนงของ double bond มักอยูระหวางคารบอนที่ 9 และ 10 จํานวน double bond อาจมีมากถึง 7 กรดไขมันที่มี 1-3 double bond มีความสําคัญมาก พบมากในพืชและสัตว สวนกรดไขมันที่มีคารบอน 20-24 คารบอนมักจะมี double bond มากกวา 4 ตําแหนง พบมากในสัตว ทะเล กรดไขมันที่มี double bond มีไฮโดรเจนนอยกวากรดไขมันอิ่มตัว 2 อะตอม (สําหรับ กรดไขมันที่มี 1 double bond มีสูตรทั่วไปคือ C2H2n-2O2 กรดที่พบมากในกลุมนี้คือ Palmitoleic และ Oleic acid มีกรดไขมันหลายชนิดที่มี double bond ที่ตําแหนงที่ 4 เชน Caproleic acid เปนตน เปน กรดที่พบมากใน Palmitoleic acid พบประมาณ 1 เปอรเซ็นต ในน้าํ มันหลายชนิด เชน น้าํ มันเมล็ดฝาย น้ํามันถัว่ เหลือง น้าํ มันถัว่ ลิสง น้าํ มันปาลม น้าํ มันโอลีฟ และน้าํ มันชา พบ 2-4 เปอรเซ็นต ในไขมันนม และน้ํามันหมู อาจพบถึง 10-20 เปอรเซ็นต ในน้าํ มันปลาวาฬและน้ํามันจากปลาชนิดอืน่ นอกจากนี้ยงั พบ ในสาหรายและแบคทีเรียหลายชนิด สําหรับ Oleic acid เปนกรดที่พบมาก เกือบเรียกไดวาพบในสัตวและ พืชเกือบทุกชนิด น้ํามันโอลีฟมีประมาณ 80 เปอรเซ็นต และน้าํ มันชามี 85 เปอรเซ็นต
6 กรดไขมันมี 2 และ 3 double bond มีสูตร CnH2n-4O2 และ CnH2n-6O2 ตามลําดับ สวนใหญมีคารบอนมากกวา 18 อะตอม ที่สําคัญคือ Linoleic acid และ Linolenic acid (ตารางที่ 2 ) Linoleic acid พบมากในน้ํามันดอกคําฝอย มีประมาณ 60 เปอรเซ็นต เมล็ดดอกคําฝอยมี 75 เปอรเซ็นต เมล็ดฝาย 45 เปอรเซ็นต ขาวโพด 40 เปอรเซ็นต ถัว่ เหลือง 50 เปอรเซ็นต เมล็ดฝน 65 เปอรเซ็นต เมล็ดยาสูบมี 75 เปอรเซ็นต นอกจากนี้ยงั พบในน้าํ มันอื่น ๆ อีกหลายชนิด เปนกรดไขมันที่จําเปนสําหรับ รางกาย สําหรับ Linolenic acid เปนกรดไขมันทีพ่ บมากในธรรมชาติเชนเดียวกัน ในน้าํ มัน linseed มี 45-50 เปอรเซ็นต ไขมันสัตวมีประมาณ 1 เปอรเซ็นต น้ํามันมามี 15 เปอรเซ็นต นอกจากนี้ยงั พบเล็กนอยในน้าํ มันจากปลา 1.3 สวนประกอบอื่น ๆ น้าํ มันและไขมันในธรรมชาติไมใชจะเปนเพียงสวนประกอบ glycerides แตเพียงอยางเดียว ยังมีสารประกอบอื่น ๆ อีกหลายชนิดรวมอยูดวย ทําใหมกี ลิ่น สีและรสแปลกออกไป สารประกอบเหลานี้จะเหลืออยูนอยมากหลังจากทีท่ ําใหบริสุทธิแลว ถึงแมสารประกอบเหลานี้จะมีสูตร โครงสรางไมเหมือนกับ glyceride แตก็มีคุณสมบัติในการละลายเหมือนกัน สารเหลานี้รวมทั้งสารประกอบ glyceride ที่มีอยูในธรรมชาติรวมกันเรียกวา “lipids” และเรียกน้าํ มันที่สกัดออกมาดวยตัวทําละลายวา “crude oil” 1.3.1 Phosphatides สารนี้ถือวาเปน triglycerides ชนิดหนึง่ แตกรดไขมันกลุมหนึ่งถูก แทนที่ดวยกรดฟอสฟอริค และกรดฟอสฟอริคกลุม นี้จะจับอยูกบั แอลกอฮอลที่มีไนโตรเจนอยูดวย เชน choline, ethanolamine, betaine ฯลฯ สาร phosphatides ที่รูจกั กันคือ lecithin และ cephalin ประกอบดวยกลีเซอรอล กรด ไขมัน กรดฟอสฟอริค และ choline และ cephalin เหมือน lecithin ทุกประการ นอกจากสารประกอบ ไนโตรเจนเทานั้นที่เปลี่ยนไปเปน ethanolamine สาร phosphatides อื่น ๆ ทีพ่ บก็มีพวก sphingomyelins และ inositolphosphatide ปริมาณสาร phosphatides ที่พบในน้ํามันนั้นแตกตางกันมาก ขึ้นอยูกับแหลง พันธุ ภูมิอากาศ ธรรมชาติของดิน อายุ และวิธีการสกัด น้าํ มันพืชที่บริสุทธิแลวจะมีสาร phosphatides ประมาณ 0.002-0.004 เปอรเซ็นต 1.3.2 Sterol sterol เปนแอลกอฮอลที่ไมเกิดสบูก ับดาง มีจุดเดือดสูงมาก พบมากใน
7 น้ํามันเกือบทุกชนิด และจัดอยูในกลุมที่เรียกวา “unsaponifiable matter” ของไขมัน น้าํ มันจากจมูกขาว สาลีมีอยู 1.6-2.7 เปอรเซ็นต sterol ที่พบอาจอยูในรูปอิสระหรือรูป ester ของกรดไขมัน หรือในรูปของ glucoside ก็ได ในการทําใหบริสุทธิ sterol สวนหนึ่งจะถูกกําจัดออกไป Sterol ที่พบในไขมันสัตวเปนพวก cholesterol (C29H48O) สวนทีพ่ บในพืชมีหลายชนิดและ เรียกรวมกันวา “phytosterol” ที่รูจักกันดีคือ β-Sitosterol (C29H50O) และ stigmasterol (C29H48O) βSitosterol พบมากในน้าํ มันเมล็ดฝาย สวน stigmasterol พบมากในน้าํ มันถั่วเหลือง 1.3.3 Fatty alcohol แอลกอฮอลที่พบในน้าํ มันอาจอยูในรูปอิสระหรืออยูรวมกับกรดไขมัน ก็ได ถาอยูรวมกับกรดไขมันเรียกวา “ขีผ้ ึ้ง” พบมากในน้าํ มันจากปลา แตไมพบมากนักในน้าํ มันที่ไดจากสัตว หรือพืช น้ํามันทีพ่ บขี้ผึ้งเล็กนอยคือน้ํามันขาวโพด น้าํ มันถั่วเหลือง สวนใหญมาจากเปลือกหรือผิวของเมล็ด ปริมาณทีพ่ บไมเกิน 0.005 เปอรเซ็นต ขีผ้ ึ้งนี้เปนตัวการที่ทําใหน้ํามันขุนเมื่อไดรับอุณหภูมิต่ํา 1.3.4 สารไฮโดรคารบอน ไขมันเกือบทุกชนิดมีสารไฮโดรคารบอน 0.1-1.0 เปอรเซ็นต ซึง่ ประกอบดวยสารไฮโดรคารบอนอิ่มตัวและไมอิ่มตัว สารกลุมนีท้ ี่รูจักกันดีคือ squalene (C20H50) เปนสารที่ ไมอิ่มตัว พบมากในน้าํ มันตับปลาฉลาม นอกจากนี้ยงั พบวาน้ํามันโอลีฟมีสารไฮโดรคารบอน 13 และ 16 อะตอม นอกจากนี้ยังพบสาร gadusene (C18H32) ในน้าํ มันตับปลา น้ํามันรํา และน้ํามันถั่วเหลือง 1.3.5 สารสี สารใหสีในน้าํ มันมีอยูหลายชนิด แตยังไมทราบแนนอนวามีสารอะไรบาง เทาที่พบแนชดั คือแคโรทีนอย เปนสารที่ใหสีเหลืองหรือสีเหลืองอมแดง สารชนิดนีพ้ บไดในน้าํ มันจากพืชและ จากสัตว น้าํ มันปาลมทีย่ ังไมผานการฟอกสีมีแคโรทีนอย 0.05-0.2 เปอรเซ็นต การฟอกสีจะทําใหสีของแคโร ทีนอยลดนอยลง สาร gossypol ก็เปนสารใหสีอีกชนิดหนึง่ ทีพ่ บในน้าํ มันเมล็ดนุน ทําใหเกิดสีเหลืองแดง สวนน้ํามันถัว่ เหลืองหรือน้ํามันโอลีฟอาจปรากฏเปนสีเขียวไดถาทํามาจากวัตถุดิบที่มีสีเขียว การเติม ไฮโดรเจนจะทําใหสีเขียวมีความเขมมากขึน้ ทัง้ นี้เพราะสีเหลืองของแคโรทีนอยถูกทําลายไป จากการ ตรวจสอบพบวาสีเขียวเกิดจากคลอโรฟลล สําน้าํ เงินก็เปนอีกสีหนึง่ ทีพ่ บไดในน้ํามันหมู แตไมทราบวาเกิดจากสารอะไร สีที่เกิดขึ้นมัก ถูกทําลายเมื่อเติมออกซิเจน 1.3.6 สารประกอบทีช่ วยใหนา้ํ มันอยูตัว น้าํ มันมีสารหลายชนิดที่ชว ยปองกันไมใหเกิดการ
8 เติมออกซิเจน โดยเฉพาะอยางยิง่ น้าํ มันทีย่ ังไมผา นการทําใหบริสทุ ธิ สารเหลานี้ไดแก tocopherols, sesamoline, sesamin, gossypol และ phosphatides Tocopherol พบมากในน้าํ มันถัว่ เหลือง น้ํามัน เมล็ดนุน น้ํามันถัว่ ลิสง น้าํ มันจากจมูกขาวสาลี sesamoline และ sesamin พบมากในน้าํ มันงา สวน gossypol พบมากในน้าํ มันเมล็ดฝาย 1.3.7 สารใหกลิ่นรส ในน้ํามันมีสารใหกลิ่นรสอยูไมมากนัก และยังไมทราบแนชัดวาเปน สารที่พชื สรางขึ้นโดยเฉพาะหรือเปนสวนของกรดไขมันทีแ่ ตกตัวออกมา สารพวกนี้ไดแก ketone พบมากใน น้ํามันที่มีกรด lauric สูง น้ํามันจากปลาก็มีกลิน่ เฉพาะ ซึ่งกลาวกันวาสารประกอบที่ใหกลิน่ รวมอยูในกลุม ของ unsaponifiable metter นอกจากนีก้ ารเติมออกซิเจนในระยะแรกก็ทาํ ใหเกิดกลิ่นที่เรียกวา revertion 1.3.7 สารประกอบทีม่ ีคุณคาทางโภชนาการ ในน้ํามันมักพบวิตามินเอ ดี และอี เสมอ วิตามินเอเกิดจากการแตกตัวของ β-Carotene วิตามินดีพบมากในไขมันที่ผลิตในฤดูรอนและพบนอยในฤดู หนาว น้ํามันที่มีวิตามินชนิดนี้ไดแกนํามันจากปลาทะเลและสัตวทะเล การผลิตน้าํ มันและไขมัน 1. การเตรียมวัถดุ ิบ 1.1 การเตรียมเนื้อสัตวสําหรับสกัดน้ํามัน โดยปกติแลวไมมีวิธีการมากนักในการเตรียม เนื้อสัตวสําหรับสกัดน้ํามัน นําเนื้อสัตวมาลางใหสะอาด หั่นเปนชิน้ เล็ก ๆ หรือไมก็ไดถานําไปสกัดแบบแหง การหัน่ เปนชิ้นเล็กจะชวยใหไขมันออกไดงา ยขึ้น แตถาเปนการสกัดแบบใชไอน้ําก็ไมจําเปนตองหัน่ 1.2 การเตรียมเมล็ดพืช การเตรียมเมล็ดพืชอาจแบงออกเปนหลายขั้นตอน ในระยะแรก ตองนําเมล็ดพืชมาทําความสะอาดเพื่อกําจัดสิ่งสกปรกออกใหหมด เชน ใบไม กิง่ ไม ทราย หิน ตะปู ฯลฯ สิ่งเหลานีจ้ ะถูกกําจัดออกไปโดยใชตะแกรง ลมดูด หรือแมเหล็ก หลังจากนั้นตองนํามากระเทาะเปลือก ซึ่ง เปนการปองกันมิใหเปลือกดูดน้ํามันไวมากเกินไป การเอาเปลือกออกอาจทําไดโดยใชเครื่องกระเทาะเปลือก เครื่องมือชนิดนี้มีหลายแบบ และมักจะออกแบบไวใหเหมาะกับวัตถุดิบ หลังจากที่เอาเปลือกออกแลวจะตองบดเมล็ดพืชใหแตกออก ทัง้ นี้เพื่อชวยใหการสกัดมี ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เมล็ดพืชบางชนิดเชนเมล็ดฝายจะตองบีบใหเปนแผนบาง ๆ มีความหนาประมาณ 0.008-0.01 นิ้ว ลักษณะเชนนีท้ ําใหตัวทําละลายสามรถเขาไปละลายน้าํ มันออกมาอยางรวดเร็ว สําหรับการ สกัดแบบใชแรงบีบ การบีบใหแบนก็ไมมคี วามจําเปนแตอยางใด เพราะแรงและความรอนที่ใชสงู มากพอที่จะ
9 ทําใหนา้ํ มันออกมาไดโดยไมยากนัก โดยปกติแลวเมล็ดพืชที่บดแลวมีขนาด 10-16 mesh ก็เพียงพอสําหรับ เครื่องบีบ 1.3 การทําใหสุก การทําใหสุกแบงออกเปน 2 แบบ โดยใชวัตถุประสงคเปนเกณฑ การ ทําใหสุกแบบแรกมีวัตถุประสงคเพื่อแยกไขมันออกจากเนื้อสัตว เรียกการทําใหสกุ แบบนี้วา “การเจียว” (rendering) สวนการทําใหสุกแบบที่สองนั้นมีวัตถุประสงคเพียงชวยใหการสกัดมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ซึง่ มัก ใชกับเมล็ดพืชสวนใหญ การทําใหสกุ แบบนี้มักเรียกวา “cooking” การทําใหสกุ ทัง้ สองแบบนีม้ ผี ลทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกัน ทําใหโปรตีนที่อยูบน ผนังเซลลจับตัวเปนกอน จึงทําใหผนังเซลลเกิดรูพรุน น้ํามันจะซึมผานออกมาไดงา ยนอกจากนี้การใช อุณหภูมิสูงยังมีผลใหนา้ํ มันไหลไดดียิ่งขึ้นเนื่องจากความหนืดลดลง 1.4.1 การเจียว การเจียวอาจทําไดงายทั้งการเจียวเปยกและเจียวแหง การที่จะใช วิธีใดนัน้ ขึ้นอยูกับลักษณะของเยื่อไขมัน และลักษณะของน้ํามันที่ตอ งการ การเจียวแหงเปนวิธกี ารสกัดน้าํ มัน ออกพรอมทัง้ ระเหยน้าํ ที่มีอยูใ หหมดไป วิธกี ารเจียวเริ่มดวยใสเนื้อเยื่อไขมันลงในหมอใหความรอนและ เนื้อเยื่อคายน้าํ มันออกมาแลว กรองน้าํ มันออก บีบเอาน้าํ มันออกจากกากใหหมด น้าํ มันที่ไดจากการเจียว แบบนี้มีกลิน่ แรง สีเขม จึงไมเหมาะสําหรับผลิตภัณฑบางชนิด การเจียวเปยกไดน้ํามันที่มีคณ ุ ภาพดี เก็บไดนาน วิธีนี้ใชน้ํามันมากในขณะใหความ รอน น้ํามันทีล่ อยอยูที่ผวิ หนาอาจตักออกหรือใชเครื่องเหวีย่ งหนีศนู ยกลาง อุณหภูมิที่ใชสกัดอาจสูงหรือต่ําก็ ได การใชอุณหภูมิสูงเปนที่นยิ มกันมาก เพราะมีประสิทธิภาพดีกวา การเจียวเริ่มดวยใสมนั ลงไปในหมอ ความดันไอพรอมน้ําเล็กนอย ปดฝา เปดไอเขาไปในหมอ ไลอากาศออกใหหมด หลังจากนัน้ ก็ควบคุมความ ดันภายในหมอใหอยูในระดับ 40-60 ปอนด/ตารางนิ้ว ภายใตสภาวะเชนนี้นา้ํ มันจะแยกออกมาและลอยอยูที่ ผิวหนา สวนที่เปนของแข็งและน้ําจะอยูขา งลาง หลังจากใชความรอน 4-6 ชั่วโมงแลว จะคอย ๆ ปลอยไอ น้ําออก นําของเหลวไปแยกเอาน้ํามันออกตอไป 1.4.2 การทําใหเมล็ดพืชสุก การทําใหเมล็ดพืชสุกชวยใหการสกัดนํามันไดงา ยและ ใหนา้ํ มันมาก ทั้งนี้เพราะความรอนทําใหหยดน้าํ มันในเมล็ดพืชรวมตัวกันหลังจากที่โปรตีนจับตัวกันเปนกอน เมื่อไดรับความรอนและแยกตัวออกมา นอกจากนี้การทําใหสุกยังเปนการปรับความเหนียวของเมล็ดพืชให เหมาะสมกับการบีบ และเปนการทําลายสาร gossypol ดวย (กรณีของเมล็ดฝาย) ความชืน้ สุดทายหลังจาก ทําใหสุกแลวจะขึ้นอยูกับชนิดของเมล็ดพืชและวิธีการบีบเอาน้าํ มันออก
10 1.4 การสกัดน้าํ มัน การสกัดน้าํ มันอาจทําได 2 วิธี คือการบีบและการใชตัวทําละลาย การบีบอาจทําไดทั้งแบบไมตอเนื่องหรือแบบตอเนื่อง การบีบแบบไมตอเนื่องเปนวิธเี กา นําเอาวัตถุดิบที่ เตรียมไวใสลงในภาชนะทีท่ าํ ดวยผาหรือกลองที่มีชองใหน้ํามันผานออกได ใชแรงกดจนกระทั่งน้ํามันแยก ออกมา น้าํ มันจะแยกออกมาไดถาวัตถุดบิ นั้นไมมเี ปลือก แรงกดจะตองเพิ่มขึน้ อยางชา ๆ จนกระทั่งมากกวา 2,000 ปอนด/ตารางนิว้ ความชื้นของวัตถุดิบควรต่ํากวา 1 เปอรเซ็นต และอุณหภูมิที่ใชประมาณ 950C การบีบแบบตอเนื่องทําไดโดยใชเครื่องมือที่เรียกกันวา “expeller” ใชกันมากในการบีบ น้ํามันมะพราว น้ํามันปาลม น้าํ มันถัว่ ลิสง น้ํามันเมล็ดฝายและน้าํ มันจากพืชอืน่ ๆ เครื่องมือประกอบดวย สวนสําคัญคือ สกรูที่ออกแบบไวใหสามารถเพิ่มแรงอัดไดสูงมาก น้าํ มันจะไมไหลออกมาตามชอง ในขณะที่ การแยกออกไปอีกทางหนึง่ การสกัดน้าํ มันแบบใชตัวทําลายเปนวิธที มี่ ีประสิทธิภาพมากที่สุด และใชไดผลดีมากสําหรับ วัตถุดิบที่มนี ้ํามันนอย โดยปกติแลววิธกี ารบีบน้ํามันนัน้ ไมสามารถแยกน้าํ มันไดหมด มีน้ํามันเหลืออยูในกาก ไมต่ํากวา 2 เปอรเซ็นต ดวยเหตุนี้วัตถุดิบที่มนี ้ํามันต่ําควรใชวิธีการสกัดแบบนีก้ ารสกัดดวยตัวทําละลายมี ประสิทธิภาพไมเทากับขึ้นอยูกับวัตถุดิบ ถั่วเหลืองเปนวัตถุดิบที่สกัดน้ํามันออกงายที่สุด เมล็ดนุน ถั่วลิสง และเมล็ดแฟลกสกัดน้าํ มันไดยากขึ้นและมีปญหาบาง การสกัดแบบนี้จะตองใหตัวทําละลายสัมผัสกับวัตถุดิบ หลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งน้ํามันละลายออกมาหมด วิธีการเชนนี้อาจทําแบบตอเนื่องหรือไมตอเนื่องก็ได น้ํามัน ที่แยกไดพรอมทั้งตัวทําละลายถูกเก็บรวบรวมไว นําไปแยกเอาตัวทําละลายออกใหหมดโดยใชความรอน ภายใตสูญญากาศ 1.5 การทําใหบริสทุ ธิและการฟอกสี คําวา “การทําใหบริสทุ ธิ” หมายความถึงการกําจัด ไขมันอิสระ สาร phosphatides และยางตาง ๆ ใหหมดไป แตไมรวมถึงการฟอกสีและการกําจัดกลิ่น เปน วิธีการที่ไมมกี ารแยกเอาสารออกมากนัก 1.5.1 การทําใหบริสทุ ธิ การทําใหบริสุทธิอาจทําไดโดยใชดาง ในระยะเริ่มตนจะตอง ทราบปริมาณของกรดไขมันอิสระ คํานวณสารละลายของดางที่ตองใช โดยใหมากเกินพอเล็กนอย กวนให ดางรวมตัวกับน้ํามัน อาจใชเวลา 10-45 นาที ขึ้นอยูกบั ชนิดของน้าํ มัน หลังจากนั้นก็คอย ๆ เพิ่มอุณหภูมิให สูงขึ้นเพื่อใหอมิ ัลชั่นแตกตัว แยกน้ําออกจากสบู การทําใหบริสุทธินี้ปจจุบนั นี้ใชเครื่องมือทีท่ าํ งานไดอยาง ตอเนื่อง และมีประสิทธิภาพมาก สามารถทํางานไดอยางรวดเร็ว การทําใหบริสทุ ธิอาจทําไดโดยใชไอน้ํา ซึ่งมีหลักการเหมือนกับการกลั่นเอากลิ่นออก อุปกรณที่ใชกเ็ หมือนการกําจัดกลิ่นทุกประการ และสองขั้นตอนนีอ้ าจรวมกันได โดยปกติแลววิธนี ี้เหมาะ
11 สําหรับน้ํามันที่มีสาร phosphatide นอย เชน น้าํ มันจากสัตว หรือน้าํ มันพืชที่มีการแยกเอาสาร phosphatide ออกแลว ทัง้ นี้เนื่องจากสาร phosphatide จะสลายตัวใหสารประกอบที่มสี ีคล้ํา ซึง่ ไม สามารถฟอกสีใหหมดไปได นอกจากนีย้ งั ทําใหน้ํามันมีกลิ่นผิดปกติดวย 1.5.2 การฟอกสี การฟอกสีอาจทําได 2 วิธี คือการดูดซับ และการใชสารเคมี วิธีการดูดซับมักใชสารทีเ่ รียกวา Fuller’s earth ผงถาน หรือ clay ที่มีสวนประกอบของ bentonite หรือ montmorillonite สารประกอบชนิดหลังนีจ้ ะตองผานกรดซัลฟูริกหรือกรดไฮโดรคลอริกกอน เพือ่ กระตุนใหผวิ มีคุณสมบัติทจี่ ะดูดซับไดดีขึ้น สวนผงถานก็ใชไดผลดี แตมีราคาแพง การฟอกสีเริ่มดวยการผสมน้ํามันกับ สารฟอกสี เพิ่มอุณหภูมิใหอยูระหวาง 145-1600C กวนอยูตลอดเวลาและรักษาอุณหภูมิไวประมาณ 1520 นาที หลังจากนัน้ นําไปกรองเอาสารฟอกสี การฟอกสีนี้มกั กระทํากันภายใตสุญญากาศ เพื่อปองกันมิให เกิดการเติมออกซิเจน การฟอกสีดว ยสารเคมีก็เปนอีกวิธีหนึ่งทีส่ ามารถทําได ทัง้ นี้เนื่องจากสารแคโรทีนอย ตาง ๆ จะเปลีย่ นไปเปนสารที่ไมมีสีเมื่อมีการเติมออกซิเจน แตวธิ ีนมี้ ขี อเสีย คือการเติมออกซิเจนจะเกิดขึ้นกับ สาร glyceride ดวย นอกจากนี้ยังทําลายสาร antioxidants ที่มีอยูใ หหมดไปดวย ทําใหการฟอกสีดวยวิธีนี้ ไมเปนทีน่ ิยมกันมากนัก การฟอกสีดว ยวิธนี ี้มักใช sodium dichromate ในระยะแรกจะตองเพิ่มอุณหภูมิ ของน้ํามันใหสงู ถึง 900C โรยเกลือลงไป 2 เปอรเซ็นต ใสกรดเกลือเขมขน 3.8 เปอรเซ็นต และ sodium dichromate 0.8 เปอรเซ็นต การเติม sodium dichromate จะตองทําอยางชา ๆ โดยใชเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงและจะตองละลายสารนี้ในกรดเกลือจนกระทั่งมีความเขมขน 37 เปอรเซ็นต หลังจากนั้นจะตองพน อากาศลงไปอีก 1 ชั่วโมง ปลอยทิ้งไวจนใส ดูดเอาสวนที่ใสออก ใสนา้ํ ลงไปอีก 15 เปอรเซ็นต เพิ่ม อุณหภูมิใหสงู ถึง 132-1420C กวนตลอดเวลา ตั้งคางคืนไว หลังจากนัน้ แยกน้ําออก 1.5.2 การกําจัดกลิ่น การกําจัดกลิน่ อาจทําไดโดยใชไอน้ํา (steam distillation) ทัง้ นี้ เนื่องจากสารใหกลิน่ เปนสารที่ระเหยไดงาย โดยเฉพาะที่อุณหภูมิสงู และภายใตสุญญากาศ เครื่องมือที่ใช กําจัดกลิน่ มีลกั ษณะเปนทอกลม ใสนา้ํ มันลงไปจนกระทัง่ ความสูงของน้าํ มันประมาณครึ่งหนึง่ ของความสูง ดานลางสุดของเครื่องเปนทอไอน้ําที่มีรูสาํ หรับใหไอน้ําออกมาสัมผัสกับน้าํ มัน ในขณะที่เดินเครือ่ งจะปลอยไอ น้ําเขาไปทางทอนี้ในอัตรา 3 กิโลกรัม/น้ํามัน 100 กิโลกรัม/ชัว่ โมง ภายใตความดันไอ 6 มิลลิเมตร ปริมาณไอน้ําที่ใชทงั้ สิ้นประมาณ 25 กิโลกรัม/น้ํามัน 100 กิโลกรัม นัน่ ก็คือใชเวลาทัง้ สิ้นประมาณ 8 ชั่วโมง อุณหภูมิขณะเดินเครื่องประมาณ 204-2400C แตจะใชอุณหภูมิเทาใดนั้นขึ้นอยูกับชนิดของน้าํ มัน โดยปกติแลวน้ํามันหมูหรือน้ํามันพืชจะกําจัดกลิ่นไดงา ยและใชอุณหภูมิต่ํา
12 ชนิดของน้ํามัน ในทองตลาดมีน้ํามันหลายชนิด ซึง่ อาจแบงออกไดเปน 2 กลุม โดยใชแหลงของวัตถุดิบเปนเกณฑ คือน้ํามันที่ไดจากพืชและน้าํ มันที่ไดจากสัตว น้ํามันที่ไดจากพืชมีหลายชนิดและมีการใชกนั อยางกวางขวาง ถือวามีความสําคัญมากในการคา สวนน้าํ มันที่ไดจากสัตวมีใชกันนอย แตมีความสําคัญ 1 น้ํามันจากพืช น้ํามันที่ไดจากพืชอาจแบงออกเปนกลุมตามชนิดกรดไขมัน ปริมาณสูงสุดทีม่ ีอยู เชนกลุม กรด lauric กลุม linoleic กลุม linolenic กลุม eruic acid และ vegetable butter อยางไรก็ ตามอาจแบงน้ํามันออกตามแหลงวัตถุดบิ ที่ใชผลิตก็ได เชน 1.1 น้ํามันถัว่ เหลือง น้าํ มันถั่วเหลืองมีเลซิตินสูงมาก ประมาณ 1.8 เปอรเซ็นต จึงใชเปน แหลงผลิตสารนี้ แตนา้ํ มันถัว่ เหลืองที่บริสทุ ธิแลวจะมีเลซิตินเหลืออยูน อยมาก น้าํ มันถัว่ เหลืองเปลี่ยนกลิน่ ได งายมาก ทําใหกลิ่นเหมือนหญาหรือเหมือนสี แตบางครั้งก็มีกลิน่ เหมือนปลา ใชกันมากในการผลิตมายอง เนสและน้าํ มันสลัด ไมเหมาะสําหรับทอด เพราะจะทําใหมกี ลิ่นเหมือนปลา ไมนา รับประทาน โดยเฉพาะอาหารที่ตองเก็บไวนาน การเติมไฮโดรเจนเล็กนอยจะทําใหการเปลีย่ นกลิ่นนอยลง และเมื่อนํา น้ํามันชนิดนี้ไปผานกระบวนการ winterizing จะไดน้ํามันที่เหมาะสมสําหรับทําน้าํ มันสลัดมาก น้าํ มันที่ผา น การเติมไฮโดรเจนอยางเต็มที่จะเหมาะสมสําหรับทําเนยขาวและมาการีน น้ํามันถัว่ เหลืองมีผลึกอยูในรูปของ β-form 1.2 น้ํามันเมล็ดฝาย น้าํ มันเมล็ดฝายใชกันมากในการทอดมันฝรั่ง ทําน้ํามันสลัด และประกอบอาหารโดยทั่วไป น้าํ มันเมล็ดฝายที่ผานการเติมไฮโดรเจนบางสวนมีคุณสมบัติคลายกับน้ํามัน ถั่วเหลือง สวนน้าํ มันที่เติมไฮโดรเจนอยางสมบูรณจะมีผลึกอยูในแบบ β-form ซึ่งเหมาะสําหรับทําเนยขาว มาก 1.3 น้ํามันขาวโพด น้าํ มันขาวโพดอาจไดจากจมูกหรือจากกลูเตนก็ได น้ํามันที่ไดจาก กลูเตนจะมีสีแดงเขม น้ํามันขาวโพดสวนใหญนาํ ไปใชโดยไมตองมีการเปลี่ยนแปลงเชน การกําจัดไข เปนตน เหมาะสําหรับประกอบอาหารไดหลายชนิดรวมทั้งทอด น้ํามันสลัด และมาการีน 1.4 น้ํามันถัว่ ลิสง น้าํ มันถั่วลิสงไมมีกลิ่นและไมเปลี่ยนกลิ่นงาย จึงเหมาะสําหรับทอดและ ทําอาหารทานเลน เชน snack แตไมเหมาะสําหรับทําน้ํามันสลัด 1.5 น้ํามันดอกคําฝอย เปนน้ํามันทีม่ ีกรด linoleic สูงมากเมื่อเทียบกับน้ํามันชนิดอื่น ใชกนั
13 มากกับอาหารทุกชนิดที่ตองการคุณสมบัติของ polyunsaturated fatty acid เชน มายองเนส น้ําสลัด มา การีนเหลว ฯลฯ น้ํามันดอกคําฝอยไมคอ ยอยูตัวเปลี่ยนกลิน่ ไดงาย จึงไมคอยเหมาะสําหรับทอด หรือใช ประกอบอาหารในบาน สวนใหญนําไปผสมกับน้าํ มันเมล็ดฝายกอนนําไปทอดอาหาร ซึ่งจะทําใหอยูตัวดีขึ้น 1.6 น้ํามันจากเมล็ดทานตะวัน น้ํามันชนิดนี้มคี ุณสมบัติเหมือนกับน้ํามันดอกคําฝอยมาก ถา ปลูกในบริเวณที่มีอากาศหนาวจะมี stearine นอย แตถาปลูกในเขตที่มีอากาศรอนจะมี stearine สูง การ ใชประโยชนเชนเดียวกับน้ํามันดอกคําฝอย 1.7 น้ํามันโอลีฟ เปนน้าํ มันที่ผลิตกันมากในประเทศที่อยูบริเวณเมดิเตอรเรเนียน ผลิตจาก สวนที่เปนตนไมใชจากเมล็ด น้ํามันชนิดนีบ้ างครั้งเรียกวา “Virgin olive oil” เปนน้ํามันที่ไมจําเปนตองกําจัด กลิ่น เนื่องจากเปนที่ยอมรับกันอยูแลว น้ํามันชนิดนี้มรี าคาแพง จึงมีการผสมน้ํามันชนิดนี้กับน้าํ มันถั่วเหลือง หรือน้ํามันเมล็ดฝาย โดยใชน้ํามันโอลีฟประมาณ 5-10 เปอรเซ็นต 1.8 น้ํามัน repeseed เปนน้าํ มันที่มกี รดไขมันโมเลกุลใหญสูงมาก โดยเฉพาะกรดไขมันที่มี คารบอน 20 และ 22 อะตอม น้าํ มันชนิดนี้เหมาะสําหรับทําน้าํ มันสลัด มาการีน และ stabilizer สําหรับ การผลิต peanut butter 2.1.9 น้ํามันมะพราว น้ํามันมะพราวมีกรด lauric ประมาณ 50 เปอรเซ็นต เนื่องจากกรด ชนิดนี้เปนกรดอิ่มตัวน้ํามันชนิดนี้จงึ แข็งตัวเมื่ออุณหภูมลิ ดลงเล็กนอย ใชกนั มาก เปนสวนผสมสําหรับเคลือบ ไอศกรีม ซึ่งจะแข็งตัวเมื่อสัมผัสกับความเย็น แตจะละลายเมื่ออยูในปาก นอกจากนี้ยงั อยูตัวดี ไมเหม็นหืน เนื่องจากมีกรดไขมันไมอมิ่ ตัวนอย จึงเหมาะสําหรับการทอด เคลือบขนมและเคลือบ snack การที่ น้ํามันชนิดนี้มกี รดไขมันที่มีโมเลกุลขนาดเล็กจึงมีความหนืดนอย ไมรูสึกเหนอะหนะเมื่ออยูในปาก น้ํามันที่ผานการเติมไฮโดรเจนแลวเหมาะสําหรับทําเนยที่ใสนมเทียม และลูกกวาด น้ํามัน มะพราวมีขอเสียอยูบางประการ คือเมื่อมีการแตกตัวเพียงเล็กนอยจะใหกลิ่นสบู โดยเฉพาะน้ํามันทีม่ ี ความชืน้ และเอนไซมไลเปสอยู เมื่อใชนา้ํ มันมะพราวบริสุทธิในการทอด จะใหผลดีมาก แตเมื่อสัมผัสกับ น้ํามันชนิดอื่นจะเกิดฟองมากขึ้นโดยไมทราบสาเหตุ 1.9 น้ํามันปาลม น้ํามันปาลมแบงออกเปน 2 ชนิด คือชนิดที่ไดจากเปลือกและชนิดทีไ่ ดจาก เนื้อ น้ํามันที่ไดจากสวนเปลือกมักเรียกวา “น้ํามันปาลม” น้ํามันที่ไดจากสวนทั้งสองนีม้ สี วนประกอบที่ แตกตางกันมาก น้าํ มันที่ไดจากเปลือกมีกรด lauric ต่ํา สวนน้ํามันที่ไดจากเนือ้ มีกรด lauric สูงกวามาก น้ํามันที่ไดจากเนื้อเหมาะสําหรับเคลือบขนมหวานบางชนิด เนื่องจากมีจุดหลอมเหลวชวงสัน้ มาก น้าํ มันสวน
14 ที่ไดจากเปลือกมีสีเขมเนื่องจากมีแคโรทีนอย มีประโยชนในการทําใหมาการีนมีสตี ามตองการ มีลักษณะ เหมือนน้าํ มันหมูมาก ผลึกอยูในรูป β-form เมื่อเติมไฮโดรเจนแลวจะไดน้ํามันทีม่ ีคุณภาพเหมือนน้าํ มันเมล็ด ฝาย ุ หภูมิหอง แตละลายอยางรวดเร็วเมื่อ 1.10 น้ํามัน cocoa butter เปนน้าํ มันที่แข็งตัวที่อณ อุณหภูมิสูงขึ้น เนื่องจากมี glyceride เพียงชนิดเดียว มีกรดไขมันที่ไมอิ่มตัวที่อยูตรงกลางของโมเลกุล เหมาะสําหรับทําขนมหวานบางชนิด 2.2 น้ํามันจากสัตว น้ํามันจากสัตวที่สาํ คัญมีอยู 2 ชนิด คือน้าํ มันหมูและน้าํ มันวัว แตละชนิดมี คุณภาพแตกตางกันมาก ขึ้นอยูกบั กรรมวิธีการผลิตและสวนของสัตวที่ใชผลิต น้าํ มันหมูมีกลิ่นดีอยูแลวไม จําเปนตองผานกระบวนการกําจัดกลิน่ อีก เหมาะสําหรับทําเนยขาว โดยนําไปผสมกับน้าํ มันพืช เนยขาวที่ได จับอากาศไดนอยกวาเนยขาวที่ทาํ จากเมล็ดฝาย การเปลี่ยนตําแหนงกรดไขมันภายในโมเลกุลจะทําใหจบั อากาศไดดีขึ้น 2.1 น้าํ มันหมู น้าํ มันหมูอาจไดจากมันเปลว (ไขมันที่ไดจากสวนที่อยูในชองทอง) และมันแข็ง (มันที่ไดจากสวนหลังและแผนทอง) น้ํามันหมูโดยปกติมีผลึกอยูในรูปของ β-form จึงไมเหมาะสําหรับทําเคก แตเหมาะสําหรับทําเปลือกพายทําใหแยกชั้นดี การสับเปลี่ยนตําแหนงของกรดไขมันใหมจะทําใหผลึกอยู ในรูปของ β’-form น้ํามันหมูเหมาะสําหรับทอดอาหาร โดยเฉพาะน้าํ มันที่ผา นการเติมไฮโดรเจนเล็กนอย นอกจากนีย้ ังใชกันมากในการทําเนยขาวและทาภาชนะขนมอบ 2.2 ไขวัว ไขวัวอาจไดจากมันเปลวหรือจากกลามเนื้อก็ได ไขวัวที่ไดเรียกกันวา oleo stock ซึ่งอาจแยกได 2 สวน คือ oleo oil และ oleo stearine oleo oil ใชในการผลิตมาการีนและใชแทน น้ํามันเนย เนื่องจากมีกลิน่ คลาย ๆ กัน สวน oleo stearine อาจใชแทนมาการีนในการทําขนมอบ เมือ่ ตองการใหอยูต ัวมากขึน้ นิยมที่จะผสมไขวัวกับน้ํามันถัว่ เหลืองแลวจึงนําไปเติมไฮโดรเจน นอกจากนีย้ ังทําให ไขวัวไมแข็งตัวมากเกินไป ไขวัวที่ผานการเติมไฮโดรเจนแลวมีคุณสมบัติที่จะใชแทนน้ํามันเมล็ดฝาย ผลึกของ ไขวัวอยูในรูปของ β’-form 2.3 น้าํ มันจากปลา น้ํามันสวนใหญไดมาจากปลาเฮอริง ปลา menhaden pilchard ปลา ซารดนี และปลาวาฬ น้าํ มันปลาวาฬจะมีการผลิตเพือ่ การคามากทีส่ ุด ใชกนั มากในการผลิตเนยขาวและมากา รีน โดยเฉพาะในแคนาดาและยุโรป น้ํามันจากปลามีกรดไขมันไมอิ่มตัวสูงมาก ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง กลิ่นและเติมออกซิเจนไดงา ยหลังจากเติมไฮโดรเจนแลวอยูตัวดีพอสมควร
15 คุณสมบัตขิ องน้ํามัน กรดไขมันเปนสวนประกอบใหญของน้าํ มัน ดวยเหตุนคี้ ุณสมบัติของกรดไขมันจึงมีผลตอคุณสมบัติ ของน้ํามันมาก หรือคุณสมบัติของน้ํามันขึ้นอยูกับกรดไขมันชนิดที่เปนสวนประกอบหลัก เชน น้าํ มัน ประกอบดวยกรดไขมันที่มจี ุดเดือดต่ํามักจะอยูในรูปของเหลว สวนน้ํามันที่มีกรดไขมันสวนใหญมีโมเลกุล ใหญมักจะอยูใ นรูปของกึ่งแข็งหรือแข็ง หรือน้ํามันที่มกี รดไขมันสวนใหญไมอิ่มตัว จะเหม็นหืนงาย 1. จุดหลอมเหลว (melting point) น้ํามันอาจมีลักษณะเปนของเหลวหรือของแข็งที่ อุณหภูมิหองก็ได ขึ้นอยูกบั ขนาดของกรดไขมัน ความอิ่มตัว การจัดรูปโครงสราง (cis หรือ trans) ของกรด ไขมันชนิดไมอมิ่ ตัว และตําแหนงของ double bond 1.1 ขนาดของกรดไขมัน กรดไขมันทีม่ ีโมเลกุลยาว จะมีจุดหลอมเหลวสูงกวากรดไขมันที่ มีโมเลกุลสัน้ กรด butyric มีคารบอน 4 ตัวมีจุดหลอมเหลวทีอ่ ุณหภูมิ -70C สวนกรด stearic ซึ่งมี คารบอน 18 ตัว มีจุดหลอมเหลวที่ 69.60C (ตารางที่ 3) 1.2 จํานวนของ double bond จํานวนของ double bond จะมีผลตอจุดหลอมเหลว มาก กรด Stearic มีจุดหลอมเหลวที่ 69.60C แตเมื่อกรดชนิดนี้มี 1 double bond (oleic acid) จะมีจุด หลอมเหลวที่ 16.30C และเมื่อมี 2 double bond (linoleic acid) มีจุดหลอมเหลวที่ -11.00C (ตารางที่ 3) 1.3 การจัดรูปโครงสรางของโมเลกุล กรดไขมันที่อยูในรูปของ transisomer จะมีจุด หลอมเหลวสูงกวากรดไขมันที่อยูในรูปของ cis-isomer เชน cis-octadecanoic acid (oleic acid) มีจุด หลอมเหลวที่ 16.30C (ตารางที่ 3) 1.4 ตําแหนง double bond กรดไขมันทีม่ ี double bond อยูใกลกลุม carboxyl จะมี จุดหลอมเหลวสูงกวากรดไขมันที่มี double bond อยูหางจากกลุม carboxyl ออกไป ดวยเหตุนี้ cis-6octadecanoic (Petroselinic) มีจุดหลอมเหลวที่ 300C สวนกรด cis-9-octadecanoic acid (oleic acid) มีจุดหลอมเหลวที่ 16.00C
16 ตารางที่ 3 จุดหลอมเหลวของกรดไขมันชนิดตาง ๆ ชนิดของกรดไขมัน กรดไขมันชนิดอิ่มตัว Butyric acid Caproic acid Caprylic acid Capric acid Lauric acid Myristic acid Palmitic acid Stearic acid Arachidic acid Behenic acid Lignoceric acid กรดไขมันชนิดไมอิ่มตัว Palmitoleic acid Petroselinic acid Oleic acid Elaidic acid
จํานวนคารบอน
จํานวน double bond
จุดหลอมเหลว (0C)
4 6 8 10 12 14 16 18 18 22 24
-
-7.9 -3.4 16.7 31.6 44.2 54.4 62.9 69.6 75.3 79.9 84.1
16 18 (cis) 18 (cis) 18 (trans)
1 1 1 1
0.5 30.0 16.3 43.7
ที่มา : ณรงค และ อัญชนีย (ม.ป.ป.) 2. การตกผลึกของไขมัน น้าํ มันสามารถตกผลึกได ซึ่งมีผลทําใหนา้ํ มันมีลักษณะเปนของกึ่ง แข็ง (plastic) ผลึกที่เกิดขึน้ สามารถเปลีย่ นรูปไดหลายแบบ เรียกปรากฏการนี้วา “polymorphism” คืออาจ อยูในรูปของ α, β’ intermediate และ β ก็ไดมีจุดหลอมเหลวจากต่ําไปหาสูงตามลําดับ ผลึกของไขมันใน ธรรมชาติมักจะไมอยูตัวโดยจะเปลี่ยนรูปไปและมีจุดหลอมเหลวสูงขึ้น สวนจะมีผลึกอยูในรูปใดนัน้ ขึ้นอยูก ับ 2.1 2.2 2.3 2.4
สวนประกอบของไขมัน วิธีการผลิต shortening การบมหลังการผลิต หมายถึงอุณหภูมิและเวลาที่ใช สภาพการเก็บ หมายถึงอุณหภูมิที่ใชเก็บและเวลา
17 ผลึกของไขมันจะอยูในรูป β’ พบในไขมันที่มี triglyceride หลาย ๆ ชนิดและไขมันทีท่ ําใหเย็น ตัวอยางรวดเร็ว เปนผลึกทีม่ ีขนาดเล็ก บอบบาง มีความยาวไมเกิน 1 ไมครอน shortening ทีท่ ําจากไขมัน แบบนี้มีจุดหลอมเหลวต่าํ เมื่อนําไปตีจะใหฟองอากาศขนาดเล็กและไดปริมาตรใหญ เนื้อละเอียด ไขมันบาง ชนิดจะมีผลึกอยูในรูปนี้ตลอดไป แตไขมันบางชนิดจะเปลี่ยนไปอยูใ นรูป intermediate ซึ่งเปนผลึกที่อยูต ัว มากกวา มีจดุ หลอมเหลวสูงกวา ผลึกมีความยาวประมาณ 5 ไมครอน ผลึกแบบนี้ไมเหมาะสําหรับทําเคก ผลึกแบบ intermediate เปลี่ยนไปเปน β-form จะมีขนาดใหญขนึ้ ยาวประมาณ 20-50 ไมครอน มีจดุ หลอมเหลวสูงขึ้น ไมเหมาะสําหรับทําเคก เคกที่ไดมีเนือ้ หยาบ ไมขนึ้ ฟู แตเหมาะสําหรับทําใหแปงนุมไดดี มาก จึงเหมาะสําหรับทําเปลือกพาย ความอยูตวั ของผลึกแบบตาง ๆ นั้นขึน้ อยูกับสวนประกอบของกรดไขมัน และความคงที่ของ อุณหภูมิที่ใชเก็บ การเปลีย่ นรูปผลึกไปอยูแบบใดนั้นขึ้นอยูกับชนิดของกรดไขมันและการกระจายตัวของกรด ไขมันไปอยูตามตําแหนงตาง ๆ ในโมเลกุลของกลีเซอรอล ดวยเหตุนนี้ ้ํามันแตละชนิดจึงมีผลึกตาง ๆ กัน และ จะอยูตัวที่ผลึกแบบใดแบบหนึง่ เทานั้น (ตารางที่ 4) Glyceride ที่มกี รดไขมันชนิดเดียวกันมักจัดตัวกันได อยางใกลชิด เนื่องจากมีการจัดตัวกันระหวางโมเลกุลไดเปนอยางดี ทําใหผลึกของไขมันชนิดนี้เปลี่ยนรูปได งาย โดยเปลีย่ นไปเปนผลึกที่เล็กที่มีจุดหลอมเหลวสูงขึน้ เชน น้าํ มันหมู สามารถเปลี่ยนรูปผลึกได 3-4 รูป เนื่องจากมี glyceride เพียงไมกี่ชนิด และกรด palmitic สวนใหญจะอยูในตําแหนงกลางของกลีเซอรอล ตารางที่ 4 ผลึกของไขมันชนิดตาง ๆ β-form น้ํามันถัว่ เหลือง น้ํามันดอกคําฝอย น้ํามันดอกทานตะวัน น้ํามันงา น้ํามันขาวโพด น้ํามันถัว่ ลิสง น้ํามันโอลีฟ น้ํามันปาลม(เนื้อ) น้ํามันหมู ที่มา : ณรงค และ อัญชนีย (ม.ป.ป.)
β’-form น้ํามันเมล็ดฝาย น้ํามันปาลม (เปลือก) Repeseed oil น้ํามันปลาเฮอริ่ง น้ํามันปลา menhaden น้ํามันปลาฉลาม ไขวัว น้ํามันนม
18 ทําใหนา้ํ มันหมูมีผลึกแบบ β’ ในระยะแรก และจะเปลี่ยนเปน β ในที่สุด แตถามีการสับเปลี่ยนตําแหนง ของกรดไขมันใหมใหกรด palmitic กระจายไปอยูในตําแหนงอื่น ๆ บาง น้าํ มันหมูจะใหผลึกแบบ β’ และจะ อยูตัวในรูปนีม้ ากกวา ซึง่ ใชทําเคกไดดีขึ้น สําหรับกรดไขมันที่ไมอมิ่ ตัวและอยูในรูป trans-form จะมีการจัดรูปผลึกที่แตกตางกับกรด ไขมันที่อยูในรูปของ cis-form การที่จะใหนา้ํ มันมีรูปผลึกที่ตองการอาจทําไดโดยวิธีการที่เหมาะสม ซึ่งอาจ ทําไดดังนี้ 1. ผสมน้ํามันหลายชนิดเขาดวยกัน เปนวิธีทใี่ ชกันมากที่สดุ โดยผสมน้าํ มันและไขมัน หลายชนิดเขาดวยกัน รวมทั้งสารชวยกระจายไขมัน 2. เติมไฮโดรเจน เปนวิธกี ารเติมไฮโดรเจนในตําแหนง double bond ของกรดไขมัน ทําใหเกิดกรดอิ่มตัว นอกจากนีย้ ังมีผลใหการเปลีย่ นแปลงโครงสราง เชน เปลี่ยนตําแหนง double bond ทําใหเกิดกรดไขมันชนิดตาง ๆ มากมาย 3. Interestarification เปนวิธที ี่ทาํ ใหกรดไขมันกระจายไปอยูในตําแหนงตาง ๆ ของ กลีเซอรอล คือเปนวิธีการแลกกรดไขมันในตําแหนงตาง ๆ ที่มีอยูทงั้ หมด 4. Fractionation เปนวิธกี ารแยกไขมันที่มีจดุ หลอมตัวชนิดตาง ๆ ออกจากกันโดยการ ตกผลึก แลวกรองออก ทําใหสามารถแยกไขมันทีม่ ีจุดหลอมตัวสูง ปานกลาง และต่ําออกจากกัน 5. Glycolysis เปนวิธกี ารที่ใหกรดไขมันทําปฏิกิริยากับกลีเซอรอล ทําใหเกิด glyceride ชนิดใหม ๆ ขึน้ รวมทั้ง monoglycerides และ diglyceride 6. Solidification เปนการควบคุมขนาดและลักษณะการตกผลึก เชน ควบคุมอัตรา ความเร็วในการตกผลึก โดยควบคุมอัตราการเย็นตัว 7. Tempering เปนกรมวิธีทที่ าํ ใหไขมันแข็งตัวแลวนําไปบมไวที่อุณหภูมิ 20.40C เปน เวลา 48 ชั่วโมง เพื่อใหผลึกเกิดการจัดตัวใหเขาสูภาวะสมดุลย การที่ shortening มีสีขาวเนื่องจากมีแกส 10-12 เปอรเซ็นต โดยกระจายอยูในลักษณะเปน ฟองอากาศเล็ก ๆ ขนาด 2-10 ไมครอน การรวมตัวของแกสเกิดขึ้นในขณะทําการกวนเพื่อปรับความเหนียว ของไขมัน ซึ่งมีความสําคัญมากในการทําขนมเคก จากการศึกษาพบวา shortening ที่มีไดผานการกวนเพื่อ ปรับลักษณะเนื้อจะไมเหมาะสําหรับทําเคก 3. การทําใหแปงนุม (shortening effect) เมือ่ ใสน้ํามันหรือไขมันลงในแปงสาลี จะทําให ความเหนียวของแปงลดลง คุณสมบัติเขนนี้เรียกวา “การทําใหนุม” ปรากฏการเชนนี้เกิดขึ้นจากน้ํามันไป เคลือบเม็ดแปง หรือไขมันแยกกลูเตนออกจากกันเปนกอนเล็ก ๆ ไมเกาะกัน ทําใหความเหนียวลดลง ถึงแม
19 การทํางานของน้าํ มันและไขมันจะแตกตางกันบางแตผลที่ไดนั้นไมแตกตางกัน สําหรับน้ํามันนั้นจะทําใหแปง นุมไดขึ้นอยูกบั ความสามารถที่จะเคลือบผิวของเม็ดแปง สวนไขมันขึ้นอยูกับความสามารถทีจ่ ะแผเปนแผน บาง ๆ นอกจากนี้แรงเกาะระหวางน้าํ มันหรือไขมันกับเม็ดแปงหรือโปรตีน ปริมาณน้ํามันหรือไขมันที่ใช สาร ชวยกระจายไขมันและวิธกี ารผสมก็มีสวนชวยใหแปงนุม ไดมาก 3.1 ความสามารถที่จะแผเปนแผนบาง ๆ ขึ้นอยูกับความสามารถของไขมันที่จะคงอยูใน รูปกึ่งแข็ง (semisolid) ไขมันที่อยูในรูปนี้จะแผเปนแผนบาง ๆ ไดมาก และทําใหหลอลืน่ ไดในพืน้ ทีม่ ากกวา แปงจะนุม แตถาไขมันเหลวเกินไป ไขมันจะแยกตัวออกกอนที่จะผสมกัน ทําใหไขมันกระจายอยูในรูปของ เม็ดไขมัน โอกาสทีจ่ ะตัดกลูเตนจึงมีนอ ยมาก แปงจึงไมนุมมากนัก ไขมันทีด่ ีจะตองไมแข็งมากเกินไปที่ อุณหภูมิ 10-15.50C และไมเหลวเกินไปที่อุณหภูมิ 32.0-37.70C การที่ไขมันจะอยูในรูปกึ่งแข็งไดนั้นขึน้ อยู กับปจจัยหลายประการ เชน ปริมาณของแข็ง รูปรางและขนาดของผลึก 3.1. 1 ปริมาณของแข็ง ปริมาณของแข็งมีผลตอความแข็งของไขมันโดยตรง ไขมันที่ มีของแข็งมากจะแข็งตัวมาก น้ํามันหมูเมือ่ มีของแข็งประมาณ 5 เปอรเซ็นต จะแข็งตัว และถามีของแข็งถึง 40-50 เปอรเซ็นต จะมีลกั ษณะแหงกรอบ การเปลีย่ นแปลงปริมาณของแข็งในไขมันเพียงเล็กนอยจะมีผลตอ ความแข็งของไขมันมาก shortening ทีม่ คี วามแข็งพอเหมาะจะมีปริมาณของแข็งระหวาง 15-25 เปอรเซ็นต การเปลี่ยนอุณหภูมิมีผลตอปริมาณของแข็งมาก เนื่องจากไขมันที่เปนของแข็งอาจ เปลี่ยนสภาพเปนของเหลวไดถาอุณหภูมสิ ูงขึ้น ในทางตรงกันขามถาอุณหภูมิต่ําลง ปริมาณของแข็งจะ เพิ่มขึ้น การทีจ่ ะรักษาปริมาณของแข็งไวใหอยูในชวง 15-25 เปอรเซ็นต ไขมันจะตองมีจุดหลอมเหลวในชวง ที่ยาวมาก ซึง่ ขึ้นอยูก ับชนิดของ glyceride ที่มีอยู ดวยเหตุนี้คาของ solid fat index (SFI) จึงเปนคาทีจ่ ะ บอกใหทราบถึงชวงการหลอมเหลว โดยปกติแลวถาเปนไขมันชนิดเดียวจะมีชวงการหลอมเหลวที่สนั้ มาก อุณหภูมิเปลี่ยนไปเล็กนอยปริมาณของแข็งจะเปลี่ยนไปมาก แตถานําไขมันตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปเล็กนอย ปริมาณของแข็งจะเปลี่ยนไปมาก แตถานําไขมันตัง้ แต 2 ชนิดขึ้นไปผสมกันหรือนําน้ํามันมาผสมกับ hydrogenated fat ปริมาณของแข็งจะเปลี่ยนแปลงไมมากนักเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป 3.1.2 ขนาดและรูปรางของผลึก ความแข็งแรงของไขมันขึ้นอยูก บั ขนาดของผลึก จากการทดลองพบวา เมื่อขนาดของผลึกเล็กลง ไขมันจะแข็งตัวมากขึ้น และเมื่อขนาดของผลึกเพิ่มขึ้นไขมัน จะนุมขึน้ ดวย เมื่อนําไขมันหมูมาหลอมดวยความรอนแลวปลอยใหแข็งตัวอยางชา ๆ จะไดไขมันทีม่ ีลักษณะ หยาบ เปนทราย แตนุมกวาไขมันที่ทาํ ใหแข็งตัวอยางรวดเร็ว ทัง้ นี้เพราะไขมันทีท่ าํ ใหแข็งตัวอยางรวดเร็วจะ ใหผลึกขนาดเล็ก เนื่องจากมีผลึกอยูในแบบ β’-form ผลึกเหลานี้สามารถอัดตัวกันไดแนน shortening ที่ ไดจึงมีลักษณะแข็งมาก
20 นอกจากอัตราความเร็วของการทําใหแข็งตัวจะมีผลตอชนิดของผลึกแลว ชนิดของ glyceride ในไขมันก็มีผลตอความแข็งดวย ในการผลิต shortening จึงตองพยายามใหเกิดผลึกในรูป β’form จากการคนควาพบวาเมื่อไขมันสวนใหญมีจุดหลอมเหลวสูงและอยูในรูป β’-form จะทําใหไขมัน ทั้งหมดอยูในรูปของ β’-form ดวย ซึ่งอาจทําไดโดยการนําเอา glyceride จากหลายแหลงมาผสมกัน หรือนํามาเติมไฮโดรเจน นอกจากนีก้ ารเปลี่ยนตําแหนงของกรดไขมันในโมเลกุลก็อาจทําใหไขมันเกิดผลึกใน รูป β’-form ได 3.2 การกระจายตัว การกระจายตัวเปนคุณสมบัติของไขมันกับเม็ดแปงหรือโปรตีน เปนที่ ทราบกับดีอยูแ ลววาโมเลกุลของกรดไขมันสวนที่เปน double bond และ carboxyl group มีลักษณะเปน polar สามารถจับตัวกับโมเลกุลของน้าํ ได สวนทั้งสองนี้จงึ ละลายอยูในน้าํ บนเม็ดแปงหรือกลูเตน สวนของ กรดไขมันที่เหลือมีลักษณะเปน non-polar จะถูกดึงไปอยูในสวนที่เปนน้าํ มัน การเกาะตัวของกรดไขมันแบบ นี้จะมีผลตอการเคลือบผิวของเม็ดแปงมาก คือน้ํามันที่มีความไมอิ่มตัวสูงจะเคลือบผิวของเม็ดแปงไดดีกวา น้ํามันที่มีความไมอิ่มตัวต่ํา กรดไขมันที่มี 1 double bond จะคลุมพื้นที่ 2 เทาของกรดไขมันอิ่มตัวที่มี ความยาวของโมเลกุลเทากัน แตกรดไขมันทีม่ ี 2 double bond ก็คลุมพืน้ ที่ไดเทากับกรดไขมันที่มี 1 double bond เพราะโมเลกุลมาสามารถงอตัวลงมามากพอทีจ่ ะให double bond ตําแหนงที่ 2 สัมผัสกับ ผิวของน้าํ ที่อยูบ นพืน้ ผิวของกลูเตนได สวนกรดไขมันทีม่ ี 3 double bond จะคลุมพื้นที่ไดมากขึ้น 3.3 ความเขมขนของไขมัน จากการทดลองพบวาเมื่อใชไขมันเพิ่มมากขึน้ จะทําใหเคกมี ความนุมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากไขมันสามารถจับอากาศไวไดมากขึ้น และเพิม่ ความหนืดของกอนแปงใหมาก ขึ้นขณะทําการผสม แตการเพิ่มไขมันมากเกินไปความหนืดของกอนแปงจะสูงขึ้นมากจนกระทั่งการขยายตัว ในขณะถูกความรอนเปนไปไดยาก ทําใหปริมาตรเล็กลง การใชไขมันนอกจากจะทําใหขนมเคกนุมขึ้นแลว ยัง ทําใหมีกลิน่ ดีขึ้น เนื้อเนียน และเปนใยสวยงาม 3.4 สารชวยกระจายไขมัน ในการผลิต shortening มักจะมีการใสสารชวยกระจาย ไขมันลงไปดวย สารชวยกระจายไขมันเหลานี้จะทําใหขนมเคกมีปริมาตรมากขึ้น มีเนื้อนุม อรอยและเก็บได นานขึ้น จากการทดลองพบวาเมื่อนําสวนผสมเคกมาผสมกัน จะมีอากาศเขาไปรวมตัวดวย อากาศจะอยูใน ลักษณะทีถ่ ูกหอหุมดวยโปรตีน มีลกั ษณะเปนฟองและกระจายอยูใ นไขมัน การเติมสารชวยกระจายไขมันจะ ทําใหอากาศกระจายตัวอยางสม่ําเสมอ ซึง่ มีความสําคัญมากที่จะชวยใหขนมเคกพองตัว และมีเนื้อนุม ในเรื่องการใชสารชวยกระจายไขมันนั้นมีผูทําการศึกษากันมาก มีการแนะนําใหใชสาร ตาง ๆ หลายชนิดในการทํา shortening สําหรับทําเคก เชน mono- และ diglyceride lactylated monoand diglycerides, propyl glycol monostearate, sorbitan monostearate, polyoxyethylene
21 sorbitan monostearate, acetyl tartaric acid esters of mono- and diglycerides และ acetylated monoglyceride เปนตน สารชวยกระจายไขมันมีอาํ นาจในการกระจายไขมันไมเทากัน ในทางปฏิบัติมักจะ ใชสารชวยกระจายไขมันตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปจึงจะใหผลดี เชน ใช sorbitan monostearate รวมกับ polyoxyethylene sorbitan monostearate ในการผลิต shortening สําหรับขนมเคก 3.5 วิธีการผสม มีผลตอความนุม ของแปงมาก การผสมมีอยูหลายวิธี การที่จะเลือกใช วิธีใดนัน้ ขึ้นอยูกับปริมาณน้าํ น้าํ มันหรือไขมันที่ใช และปริมาณกลูเตนที่ตองการใหเกิดขึ้น วิธีการที่ใชแปง ผสมน้ํามันกอนจะทําใหนา้ํ มันเคลือบผิวเม็ดแปงหรือโปรตีนไว น้ําไมสามารถเขาไปถึงเม็ดแปงหรือโปรตีนได แปงจะไมเกิดกลูเตนขึ้น กอนแปงจะไมเหนียว การผสมแบบนี้นา้ํ มันจะทําหนาที่ไดดีกวาไขมัน เพราะ สามารถครอบคลุมพื้นที่ไดมากกวา แตถา แปงมีโปรตีนต่ําหรือใชนาํ้ มันนอย การผสมควรตีไขมันใหเกิดฟอง กอน หรือการที่ใหนา้ํ สัมผัสกับแปงกอน การใชน้ํามันสําหรับการผสมแบบนี้จะไดผลดีกวา แตอยางไรก็ตาม การผสมอยางรุนแรงหรือผสมนานจะทําใหแปงเหนียวมากขึ้นถึงแมจะผสมแบบใดก็ตาม ทัง้ นี้เนื่องจากชัน้ น้ํามันหรือไขมันทีห่ ุมแปงหรือโปรตีนจะแตกออก น้าํ จะมีโอกาสสัมผัสเม็ดแปงและโปรตีนมากขึ้น 4. การกักอากาศ (creaming quality) ไขมันสามารถกักอากาศไวไดเมือ่ ทําการตี การกัก อากาศมีความสําคัญมากในการผลิตเคกใหไดคุณภาพ ไขมันที่มีคุณสมบัติในการกักอากาศไดดีจะทําใหเคกมี คุณภาพดีดวย ถึงแมการผลิตขนมเคกใหไดเคกมีคุณภาพดีดวย ถึงแมการผลิตขนมเคกจะมีการใสผงฟูหรือ สารเคมีชนิดอืน่ แตลักษณะเนื้อของเคกที่ไดจะหยาบ มีฟองอากาศขนาดใหญ เนื่องจากไมสามารถควบคุม การเกิดฟองอากาศได การใส shortening จะชวยใหแกส ที่เกิดจากผงฟูในขณะถูกความรอน ทําให ฟองอากาศขนาดเล็กและสม่ําเสมอ การวัดความสามารถของไขมันทีจ่ ับอากาศอาจทําไดโดยวัดปริมาณทีเ่ พิ่มขึ้นหลังการตี การวัด เริ่มดวยการตีไขมันกับน้ําตาลในอัตราสวนที่เหมาะสม แลวทําการวัดความหนาแนนเปนระยะ ๆ และจาก ความหนาแนนก็สามารถคํานวณปริมาณอากาศที่เขาไปรวมตัวอยูได ปจจัยทีม่ ีผลตอการกักอากาศของไขมัน ประกอบดวย 4.1.1 อัตราสวนของน้ําตาลตอไขมัน พบวาถาใชไขมัน 2 สวน น้าํ ตาลทราย 3 สวน จะรวมกับอากาศไดดีที่สุด 4.1.2 ขนาดของผลึกน้ําตาล ถาน้ําตาลมีผลึกขนาดเล็กการกักอากาศจะดีขึ้น แต ถามีการลดขนาดของผลึกน้ําตาลโดยวิธบี ด จะไมทําใหการกักอากาศดีขึ้น 4.1.3 ชนิดของผลึกไขมัน ไขมันทีม่ ีรูปผลึกแบบ β’-form หรือกรดไขมันอิ่มตัว สูง
22 จะกักอากาศไดดี 4.1.4 การบม การบมไขมันที่อุณหภูมิ 25.5-28.50C หลังการผลิตจะทําใหการกัก อากาศดีขึ้น 4.1.5 อุณหภูมิในการตีฟอง อุณหภูมิที่ใชในการตีควรอยูใน plastic range ของ ไขมัน จะทําใหการกักอากาศดีขึ้น จะไดผลิตภัณฑที่มเี นื้อนิม่ shortening ที่เหมาะสมควรมี plastic range ระหวาง 21.0-25.50C
บรรณานุกรม ณรงค นิยมวิทย และอัญชนีย อุทยั พัฒนาชีพ. ม.ป.ป. เอกสารประกอบการสอนวิชาวิทยาศาสตรการ ประกอบอาหาร, ภาควิชาคหกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร บางเขน. 441 น. นิธยิ า รัตนาปนนท. 2548. วิทยาศาสตรการอาหารของไขมันและน้ํามัน. สํานักพิมพโอเดียนสโตร, กรุงเทพ ฯ. 244 น. ทัศนีย โรจนไพบูลย. 2544. อาหารไทย ใน เอกสารประกอบการสอนชุดวิชา เทคโนโลยีอาหารและ เครื่องดื่ม หนวยที่ 12. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. โรงพิมพมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, นนทบุรี. น. 257-338. อบเชย วงศทอง และขนิษฐา พูนผลกุล. 2544. หลักการประกอบอาหาร. สํานักพิมพมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร, กรุงเทพ ฯ. 163 น.
บทที่ 2 1. ผลิตภัณฑจากน้ํามันและการใชนา้ํ มันในการประกอบอาหาร 1.1 ผลิตภัณฑจากการเติมไฮโดรเจน การเติมไฮโดรเจนคือการใหไฮโดรเจนเขาไปในตําแหนง double bond ของน้ํามัน ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นมีดังนี้ -HC=CH+H2
-CH2-CH2
การที่น้ํามันจะรวมตัวกับไฮโดรเจนไดมากนอยเทาใดนัน้ ขึ้นอยูกับคาไอโอดีน คือ ถาเติมไฮโดรเจน ได 1 mole ก็จะเทากับน้ํามันนั้นรวมตัวกับไอโอดีนได 1 mole เชนกัน และตามหลักการนี้จะคํานวณได วาน้ํามัน 1 กิโลกรัมเมื่อทําปฏิกิริยากับไฮโดรเจน 0.0795 กรัม คาไอโอดีนจะลดลง 1 หนวย แตเนื่อง ดวยไมเคยเติมไฮโดรเจนในน้ํามันชนิดใดจนกระทั่งคาไอโอดีนลดลง 120 หนวย ดวยเหตุนี้น้ําหนักของ น้ํามันที่เติมไฮโดรเจนแลวจะเพิ่มขึ้นไมเกิน 1 เปอรเซ็นต น้ํามันที่ผานการเติมไฮโดรเจนแลวจะมีลักษณะกึ่ง แข็ง เหมาะสําหรับทํา shortening หรือมาการีน นอกจากนีย้ ังมีผลทําใหน้ํามันอยูตวั และมีสีดีขนึ้ การเติมไฮโดรเจนนัน้ จะตองอาศัยตัวเรงปฏิกิริยา (catalyst) ซึ่งสวนใหญเปนนิเกิล และมีโลหะอืน่ ๆ ผสมอยูดวย เชน ทองแดง อลูมิเนียม เปนตน เพื่อใหการทํางานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในการเติมไฮโดรเจน ตองใชน้ํามันที่ผานการทําใหบริสุทธิมาแลว ไมมีน้ําและอากาศ ใสน้ํามันลงในถัง เพิ่มอุณหภูมจิ นถึง 930C นําน้ํามันสวนหนึ่งมาผสมกับตัวเรงปฏิกิรยิ า เทคืนลงในถัง เพิ่มอุณหภูมิจนถึง 121-1350C ผานไฮโดรเจน เขาไปทางทอเล็ก ๆ ที่อยูกนถังใหแกสกระจายไปทัว่ น้ํามัน ในขณะเดียวกันก็กวนอยูต ลอดเวลา ควบคุมอัตรา ความเร็วของแกสใหเหมาะสม เมื่อไฮโดรเจนรวมตัวกับน้ํามันอุณหภูมิจะสูงขึ้น จะตองควบคุมอุณหภูมิให คงที่โดยการหลอดวยน้ํา การควบคุมการเติมไฮโดรเจนอาจทําไดโดยการวัดคาดรรชนีหักเห (refeactive index) เมื่อถึงจุดที่ ตองการ ใหหยุดกวนและหยุดแกสไฮโดรเจน ลดอุณหภูมิลงจนถึง 930C แยกเอาสารชวยเรงปฏิกริ ิยาออก โดยปกติแลวการเติมไฮโดรเจนจะเกิดขึ้นกับกรดไขมันที่ไมอิ่มตัวมากกอน และเรียกคุณสมบัตินี้วา selectivity และ selectivity จะเพิ่มขึ้นเมื่อทําการเติมไฮโดรเจนที่อณ ุ หภูมิสูงและใชไฮโดรเจนนอย จากการ
24
ควบคุมการเติมไฮโดรเจนที่เหมาะสม ทําใหสามารถไดไขมันที่มีคุณภาพเหมาะสมสําหรับทํา shortening หรือมาการีน โดยปกติแลวน้ํามันถั่วเหลืองมีกรด linolenic มาก ทําใหเหม็นหืนไดงาย ดวยเหตุนี้จึงไมเหมาะสม ที่จะเก็บไวใชในครัว การเติมไฮโดรเจนจะเปลี่ยนกรด linolenic ไปเปนกรด linoleic และกรด oleic นอกจากนี้กรดไขมันที่ไมอมิ่ ตัวบางชนิดก็ถูกกําจัดออกไป น้ํามันที่เหลือจะอยูต ัวดี และมีความเหมาะสมที่จะ ใชในครัว ความอิ่มตัวของไขมันที่ผานการเติมไฮโดรเจนแลวอาจตรวจสอบไดโดยวัดคาไอโอดีน (คาไอโอดีน คือปริมาณของไอโอดีนที่มหี นวยเปนกรัม ที่ทําปฏิกิริยากับน้ํามัน 100 กรัม ภายใตสภาวะที่เหมาะสม) ถา คาไอโอดีนสูงแสดงวาน้ํามันผานการเติมโดรเจนมานอย น้ํามันพืชที่ใชประกอบอาหารควรมีคาไอโอดีน ระหวาง 100-150 สวนไขมันสําหรับทํา shortening หรือมาการีนควรมีคาไอโอดีนประมาณ 70-90 1.1.1 น้ํามันสลัด น้ํามันสลัดคือน้ํามันที่ใชประกอบอาหารนั่นเอง อาจทํามาจากน้ํามันที่ ผานกรรมวิธีการกําจัดมาแลวหรือไมกไ็ ด เปนน้ํามันที่ไมแข็งตัวทีอ่ ุณหภูมิ 4-100C ในขณะทีน่ ้ํามันที่ใช ประกอบอาหารอาจแข็งตัวก็ได น้ํามันหลายชนิดไมแข็งตัวงายถึงแมจะเก็บที่อณ ุ หภูมิต่ํา อาจใชทําน้ํามันสลัด โดยตรง เชน น้ํามันถั่วเหลือง น้ํามันงา น้ํามันดอกทานตะวัน และน้ํามันขาวโพด แตน้ํามันถั่วเหลืองมีการ เปลี่ยนกลิ่นไดงายเมื่อเก็บไว จึงไมคอยใชกันมากนัก สวนน้ํามันเมล็ดฝายตกผลึกไดงายเมื่อสัมผัสกับความ เย็น ดวยเหตุนี้น้ํามันชนิดนี้จึงตองผานกรรมวิธีการกําจัดไขมันที่มจี ดุ หลอมเหลวสูงออกกอน กรรมวิธีนี้ เรียกวา winterizing สวนน้าํ มันถั่วลิสงไมคอยใชทําน้ํามันสลัด เนื่องจากแยกผลึกที่เกิดขึ้นไดยาก สําหรับวิธีการทดสอบวาน้ํามันชนิดใดเปนน้ํามันสลัดหรือไมนั้นอาจทําไดงาย คือ ใสน้ํามันลงใน ขวดที่มีความจุ 4 ออนซ (115 กรัม) ปดฝาใหสนิท นําไปแชแข็งที่อุณหภูมิ 00C ถาน้ํามันชนิดนั้นยังคงใส หลังจากแชไว 5.5 ชั่วโมง น้ํามันชนิดนั้นเหมาะสําหรับทําน้ํามันสลัด แตอยางไรก็ตามน้ํามันหลายชนิดที่ เกิดผลึกไดชาในระยะแรกและไมมีลักษณะขุน แตเมือ่ ตั้งทิ้งไวนานจะแข็งตัว ในปจจุบันมีการใสสารบาง ชนิดลงไปเพื่อปองกันไมใหน้ํามันตกตะกอน สารพวกนี้ไดแก เลซิตนิ และ oxidized oil (oxystening) 1.1.2 ชอทเทนนิ่ง (shortening) คําวาชอทเทนนิ่งเคยมีความหมายถึงไขมันที่มีผลทํา ใหเปลือกพายและแครกเกอรมีลักษณะเปนชั้นเทานัน้ แตตอมาความหมายไดขยายออกไป โดยรวมเอาไขมัน ที่ใชทําเคกและน้ํามันทีใ่ ชประกอบอาหารดวย ในปจจุบันจึงเรียกทัง้ น้ํามันและไขมันทุกชนิดวาชอทเทนนิ่ง
25
ทั้งนี้เพื่อใหแตกตางไปจากมาการีน ซึ่งมีสวนประกอบของไขมันและสารอื่น ๆ ดวย ชอทเทนนิ่งที่เปน ของแข็งมักมีสีขาวจึงเรียกวา “เนยขาว” 1) วัตถุดิบที่ใชผลิต ชอทเทนนิ่งมีสวนประกอบ 3 สวน คือสวนประกอบพื้นฐาน สวนประกอบที่เปนของแข็ง (plasticizer) และสวนประกอบที่ชวยกระจายไขมัน ก) สวนประกอบพื้นฐาน (base oil) สวนประกอบพื้นฐานหมายถึง สวนประกอบที่มีปริมาณมากที่สดุ ซึ่งไดแกสว นที่เปนน้ํามัน น้ํามันที่ใชกนั มากที่สุดคือน้ํามันจากเมล็ดฝาย น้ํามันถั่วเหลือง น้ํามันดอกทานตะวัน น้าํ มันขาวโพด และน้ํามันงา น้ํามันถั่วเหลืองที่ใชควรผานการเติม ไฮโดรเจนเล็กนอยเพื่อปองกันการเกิด reversion น้ํามันปลา น้ํามันปลาวาฬ น้ํามันปาลม ก็อาจใชได แต ตองเติมไฮโดรเจนเล็กนอยเชนเดียวกันสวนน้ํามันมะพราวหรือน้ํามันชนิดอื่น ๆ ที่มีกรด lauric สูง ไม เหมาะสําหรับทํา shortening ทั้งนี้เนื่องจากมีชวงการหลอมเหลวสั้นเกินไป นอกจากนี้ยังเกิดฟองไดงายเพื่อ ใชทอดอาหาร ข) สวนประกอบที่เปนของแข็ง (plasticizer) สวนประกอบพวกนี้ไดแกไขมัน ชนิดตาง ๆ เมื่อใสลงในน้ํามันในปริมาณทีพ่ อเหมาะ จะทําใหน้ํามันมีลักษณะเปนของเหลวกึ่งแข็ง ทําใหชวง การหลอมเหลวยาวขึ้น ซึ่งจะมีผลทําให creaming ability และ shortening effect ดีขึ้น ไขมันพวกนี้ ประกอบดวย cleosearing (ไขมันวัวทีแ่ ยกเอาน้ํามันออกไปแลว) หรือน้ํามันหมูหรือน้ํามันปาลมที่ผานการ เติมไฮโดรเจนแลว ซึ่งอาจเติมเพียงเล็กนอย หรือเติมอยางเต็มทีก่ ็ได ปริมาณที่ใชอยูระหวาง 20-50 เปอรเซ็นต ปกติแลวชอทเทนนิ่งที่ผลิตจากไขมันหรือน้ํามันชนิดเดียวมักจะมีชว งการหลอมเหลวที่ สั้นมาก แตถามีการเติมไขมันจากแหลงอื่น ๆ ดวย หรือใชไขมันที่ผานการเติมไฮโดรเจนมาแลวชวงการ หลอมเหลวจะยาวขึ้น สวนประกอบที่เปนของแข็งนี้นอกจากจะทําใหชวงการหลอมเหลวยาวขึ้นแลว ยังทํา ใหชอทเทนนิง่ มีผลึกในรูปที่ตองการดวย จากการคนควาพบวาไขมันที่มีจุดหลอมเหลวสูงมักจะมีผลึกอยูใน รูปของ β’-form เมื่อนําไขมันชนิดนีใ้ สลงในชอทเทนนิ่ง จะทําใหน้ํามันทั้งหมดตกผลึกในรูปของ β’-form ดวย ในทางตรงกันขามถาใชไขมันที่อยูในรูปของ β-form น้ํามันจะตกผลึกในรูปของ β-form ในการปฏิบัติ นั้นจะตองแนใจวาชอทเทนนิ่งที่ผสมแลวจะตองอยูใ นผลึกอยูในรูปทีต่ องการ ค) สวนประกอบที่ชวยกระจายไขมัน (Emulsifier) สารชวยกระจายไขมันที่ใส
26
ลงไปในชอทเทนนิ่งอาจมีเพียงชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได สวนใหญแลวเปนเกลือของพวก mono- หรือ diglyceride 2) การผลิตชอทเทนนิ่ง การผลิตชอทเทนนิ่งทําไดหลายแบบ ขึ้นอยูกับวัตถุดิบ ที่ใช ก) ชอทเทนนิ่งทีท่ ําจากไขสัตวผสมน้ํามันพืช ในปจจุบนั ชอทเทนนิ่งที่ผลิตโดย วิธีนี้มีนอยมาก เทาที่มีอยูม ักใชน้ํามันพืช และ oleostearine โดยใชน้ํามันพืช 80 เปอรเซ็นต และ oleostearine 20 เปอรเซ็นต oleostearine มักจะตองผานการเติมไฮโดรเจนเล็กนอยกอน ซึ่งจะทําใหเก็บ ไวไดนานขึ้น ข) ชอทเทนนิ่งทีท่ ําจากไขมันและน้ํามันจากพืช ไขมันสําหรับทําชอทเทนนิ่ง แบบนี้ไดจากการนําน้ํามันพืชไปเติมไฮโดรเจนจนกระทั่งมีคาไอโอดีนเทากับ 15 หรือนอยกวา นําไปผสม กับน้ํามันพืช โดยใชเพียง 10-15 เปอรเซ็นต ค) ชอทเทนนิ่งทีท่ ําจากน้ํามันที่ผานการเติมไฮโดรเจนมาแลว ชอทเทนนิ่ง ชนิดนี้ทําจากน้ํามันและไขมันที่ผานการเติมไฮโดรเจนมาแลว โดยที่น้ํามันผานการเติมไฮโดรเจนเพียง เล็กนอย 8-10 เปอรเซ็นต มีคาไอโอดีน 65-80 สวนไขมันจะตองผานการเติมไฮโดรเจนมาอยางเต็มที่ 3) ชนิดของชอทเทนนิ่ง ก) ชอทเทนนิ่งอเนกประสงค (Genral purpose shortening) ชอทเทนนิ่ง ชนิดนี้ใชกันมากในการทําขนมอบทุกชนิด และใชกันมากตามภัตตาคารและโรงแรม เปนชอทเทนนิ่งที่มีชวง การหลอมเหลวยาวมาก ข) ชอทเทนนิ่งชนิดอยูตัวดี (High-stability shortening) เปนชอทเทนนิ่งที่ทํา ขึ้นเพื่อใชสําหรับผลิตแครกเกอรและขนมปงหวาน ใชกันมากในโรงงานใหญ ๆ เนื่องจากเปนชอทเทนนิ่งที่ อยูตัวดี จึงมีผนู ําไปใชทอดอาหารที่ตองการเก็บไวนาน ค) ชอทเทนนิ่งสําหรับทําเคกและไอซิ่ง (Cake and icing shortening)
27
เปนชอทเทนนิ่งที่มีคณ ุ สมบัติการกระจายไขมันไดดีเปนพิเศษ เนื่องจากมีสารประกอบ glyceride หลาย ชนิด โดยเฉพาะพวก mono- และ diglyceride ซึ่งมีคุณสมบัติชวยกระจายไขมันไดดีมาก โดยเฉพาะอยาง ยิ่งขนมที่มีสวนผสมของน้ําตาลสูง บางครั้งเรียกชอทเทนนิ่งชนิดนี้วา “superglycerinated shortening” ชอทเทนนิ่งแบบนี้ใชกนั มากในการผลิตขนมเคกและขนมปงหวาน มีการใชกันทั้งในบานและโรงงาน ชอ ทเทนนิ่งมีลักษณะ รส และความอยูตวั คลายกับชอทเทนนิ่งอเนกประสงคมาก นอกจากจะใชชอทเทนนิ่ง แบบนี้ทําเคกแลว ยังมีการใชในการทําไอซิ่งดวย แตไมเหมาะสําหรับทอด เพราะสาร mono- และ diglyceride จะแตกตัว ที่อณ ุ หภูมิสูงใหสานประกอบกลีเซอรอล ซึ่งจะทําใหเกิดควันขึ้น ง) ชอทเทนนิ่งสําหรับขนมปงและขนมปงหวาน ชอทเทนนิ่งแบบนี้ผลิตขึ้น เพื่อใชกับขนมปงหรือขนมปงหวาน เพือ่ ทําใหมีเนื้อนุม และรักษาความนุมไวไดนาน ทําใหมีลักษณะเหมือน ุ สมบัติดังกลาวคือเลซิติน monoglyceride, diglyceride และ ใหมอยูเ สมอ สาระสําคัญที่ชวยใหมีคณ diacetyl tartaric acid esters ของ mono- ของ diglyceride น้ําหนักของสารเหลานี้รวมกันไมเกิน 20 เปอรเซ็นต ของน้ําหนักชอทเทนนิ่ง จ) ชอทเทนนิ่งสําหรับแปงเคกสําเร็จรูป ในปจจุบันมีแปงเคกสําเร็จรูปหลาย ชนิดในทองตลาด ความสําเร็จของแปงชนิดนี้ขึ้นอยูกับชอทเทนนิ่งและสารชวยกระจายไขมันที่ใชกับแปง ชนิดนี้ คือชอทเทนนิ่งจะตองกักอากาศไดดีเปนพิเศษถึงแมจะมีการตีเพียงเล็กนอย และไมเสื่อมคุณภาพเมื่อ เก็บไวนาน โดยปกติแลวสารชวยกระจายไขมันที่ใชจะแตกตางกันไปขึ้นอยูกับผูผลิต ฉ) ชอทเทนนิ่งเหลว เปนผลิตภัณฑที่ผลิตขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อใหการขนสงและ เคลื่อนยายไดงาย น้ํามันที่ใชมักเปนพวกน้ํามันเมล็ดฝาย หรือน้ํามันที่ผานการเติมไฮโดรเจนเล็กนอย นอกจากนี้ยังมีสารชวยกระจายไขมันชนิดที่มีจุดหลอมเหลวสูงอยูดว ย สวนมากเปนพวก mono- และ diglyceride ปริมาณทีใชประมาณ 8-10 เปอรเซ็นต ช) ชอทเทนนิ่งแหง เปนชอทเทนนิ่งที่ทําจากชอทเทนนิ่งปกติผสมกับนมผงขาด ไขมัน แลวนําไปทําใหแหงโดยใชเครื่องพนแหง นอกจากนีย้ งั ใสน้ําตาลและคารโบไฮเดรตชนิดอื่นอีก พรอมทั้งสารชวยกระจายไขมัน ใชกันมากสําหรับแปงสําเร็จที่ตองการไขมันต่ํา 1.1.3 มาการีน มาการีนผลิตขึ้นครั้งแรกโดยนักเคมีชาวฝรั่งเศสชื่อ Mege Moures เปน
28
การผลิตที่ไดรับรางวัลจากพระเจานโปเลียนที่สามในป ค.ศ. 1870 ตอมาในป ค.ศ. 1872 ก็มกี ารผลิตเพื่อเปน การคา การผลิตในระยะแรกใชน้ํามันวัว โดยทําการผลิตที่อุณหภูมิต่ํา แยกเอาไขมันที่มีจุดหลอมเหลว ออกไป ผสมกับนม เชื่อกันวาเอ็นไซมที่ไดจากนมจะชวยเปลีย่ นแปลงไขมันใหไดกลิ่นที่ตองการ ความเชื่อนี้ ยังคลาดเคลื่อนจากความเปนจริง ความจริงแลวการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากจุลนิ ทรียที่มีอยูใ นนมมากกวา ตอมาพบวากลิ่นอาจไดจากนมที่หมักไวกอ นแลวนําไปผสมก็ได ซึ่งเปนวิธีการที่ดที ี่สุด มาการีนที่ดีจะตองมีกลิ่นคลายเนยแท กลิน่ เหลานี้ไมใชมาจากน้ํามันหรือไขมัน แตมาจากนมที่ ใสลงไป ดวยเหตุนี้น้ํามันทีใ่ ชจะตองไมมกี ลิ่น 1) วัตถุดิบที่ใชผลิต ก) ไขมัน ไขมันที่ใชอาจไดมาจากหลายแหลง อาจนํามาจากน้ํามันวัว น้ํามัน มะพราว น้ํามันเมล็ดฝาย และน้ํามันถั่วเหลือง นํามันวัวไดจากการนําเอามาแยกเอาสวนที่เปนของแข็งออก น้ํามันชนิดนี้มคี ุณสมบัติทางฟสิกสใกลเคียงกับเนยมาก คือละลายไดดใี นปาก น้ํามันวัวนี้อาจใชปนกับน้ํามัน หมูก็ได ทั้งนี้เพื่อใหชว งการหลอมเหลวยาวขึ้น น้ํามันจากเนื้อและเปลือกปาลมมีลักษณะเปราะกวาน้ํามันวัว หรือน้าํ มันผสมระหวาง น้ํามันวัวกับน้าํ มันหมู แตถามีการเติมน้ํามันวัวหรือไขวัว หรือนําไปเติมไฮโดรเจน จะทําใหชว งการ หลอมเหลวยาวขึ้น และเหมาะสําหรับทํามาการีน สําหรับน้ํามันเมล็ดฝายและน้าํ มันถั่วเหลืองใหผลึกที่หยาบเกินไป จําเปนตองใชควรนําไปผานไฮโดรเจนกอน
มีเนื้อเหลว
ถา
ไขมันที่ใชในการทํามาการีนเหลานี้จะตองเตรียมดวยความระมัดระวัง มีการปฏิบัติ อยางถูกตอง ควรใชวัตถุดิบสดใหมทําการสกัดที่อุณหภูมิต่ําเพื่อปองกันไมใหเกิดกลิน่ ผิดปกติ น้ํามันที่ไดควร นํามาผลิตมาการีนโดยเร็ว โดยปกติแลวน้าํ มันที่ใชจะตองปราศจากกรดไขมันอิสระมีการเติมไฮโดรเจน และ กําจัดกลิ่น ผลิตภัณฑที่ไดจึงมีคุณภาพดี สําหรับน้ํามันจากเมล็ดฝาย ถั่วเหลือง หรือน้ํามันชนิดอืน่ จะตองนํามาเติมไฮโดรเจน จนกระทั่งมีคาไอโอดีนลดลงถึงจุดที่ตองการกอนนําไปผสม
29
ข) นม นมที่ใชอาจเปนนมผงปราศจากไขมัน หรือหางนมก็ได นมเหลานี้ จะตองนํามาฆาเชื้อกอนใช และไมควรมีกรดมากกวา 0.2 เปอรเซ็นต ค) สารชวยกระจายไขมัน ในการผลิตมาการีนมีความจําเปนตองใชสารชวย กระจายไขมันเพื่อใหเกิดอิมลั ชัน มิฉะนัน้ จะเกิดการแตกตัวเมื่อเก็บไวนาน นอกจากนี้เมื่อนําไปทอดอาหาร น้ํามันจะกระเด็นมากเนื่องจากหยดน้ําที่มอี ยูจะรวมตัวกันเปนหยดน้ําขนาดใหญ เมื่อไดรบั ความรอนจะเกิด การเดือดอยางรุนแรงและกระเด็นออกมา และของแข็งจากนมมักจะตกตะกอนและติดอยูก ับกนภาชนะที่ใช ทอด สารชวยกระจายไขมันทีใ่ ชกนั มากคือเลซิติน ปริมาณที่ใชประมาณ 0.1-0.5 เปอรเซ็นต นอกจากนี้มกี ารใช monoglyceride และ diglyceride แตสารพวกนีป้ องกันการกระเด็นของน้ํา ไมได จึงจําเปนตองใส sodium sulfoacetate ลงไปดวย ง) สารอื่น ๆ ที่ใชกันมากคือเกลือ เกลือที่ใชจะตองมีผลึกขนาดเล็ก ละลาย ไดดี มีเกลือแคลเซียมและแม็กนีเซียมต่ํา ปริมาณที่ใชอยูระหวาง 2.25-4.0 เปอรเซ็นต นอกจากนี้ยังมีการ เติมวิตามินเอ และโซเดียมเบนโซเอตดวย 2) วิธีการผลิต ก) การเตรียมนม นํานมมาเพาะเชื้อ หมักไวที่อุณหภูมิ 200C นาน 16-24 ชั่วโมงระหวางนี้จะเกิดกรดขึ้น 0.5-0.6 เปอรเซ็นต หลังจากนั้นทําใหเย็นอยางรวดเร็วจนกระทัง่ มีอุณหภูมิ 240C ข) ผสม ละลายเกลือและโซเดียมเบนโซเอตในนม และละลายวิตามินเอในน้ํามัน พรอมดวยสารชวยกระจายไขมัน ผสมนมกับน้ํามันเขาดวยกัน กวนใหเขากันและเกิดอิมัลชัน ค) ทําใหแข็งตัว นวด และหอ การทําใหแข็งตัวอาจทําได 3 วิธี คือการพนเปน ฝอยลงในน้ําเย็น ทําใหแข็งตัวบนผิวทีเ่ ย็น และการใชเครื่องมือที่เรียกวา votator วิธีการแรกไมมีผูนิยมใช ในปจจุบนั เริม่ ดวยการลดอุณหภูมิใหต่ําลงยังมีการใชกนั บาง สวนวิธีที่สองยังมีการใชกันบาง วิธีที่สามเปน
30
วิธีที่นิยมใชกนั มากที่สุดในปจจุบัน เริ่มดวยการลดอุณหภูมิใหต่ําลงและแข็งตัวในที่สุดโดยไมมีการสัมผัสกับ อากาศเลย ตอจากนั้นก็นํามานวด แบงเปนกอน หอ และบรรจุกลองในที่สุด 3) การเสียของมาการีน มาการีนอาจเสียไดหลายแบบ เชน เหม็นหืน หรือ reversion เปนตน โดยเฉพาะมาการีนที่ทําจากไขวัว สวนน้ํามันถั่วเหลืองที่ผานการเติมไฮโดรเจนแลวอาจ เกิด reversion ไดบางเล็กนอย นอกจากนีย้ ังพบวามาการีนบางชนิดที่ทําจากไขมันที่มีโมเลกุลขนาดเล็กมี กลิ่นสบู เกิดจากการแตกตัวของกรดไขมันเนื่องจากการทํางานของเอ็นไซมซึ่งมาจากจุลินทรีย มาการีนมี เกลือเพียง 3 เปอรเซ็นต อาจมีจุลินทรียเ จริญเติบโตได ถึงแมจะเก็บในตูเย็นและใชสารโซเดียมเบนโซเอต แลวก็ตาม มาการีนอาจเก็บไดนานถึง 1 ป ถาใชอุณหภูมิ -150C แตถาเก็บไวที่อุณหภูมิ 2-70C มา การีนจะเสียเร็วมาก 1.1.4 น้ําสลัด น้ําสลัดคือเครื่องปรุงรสผักที่ใชรับประทานสด น้ําสลัดแบงออกเปน 3 แบบ คือน้ําสลัดมายองเนส (mayonnaise dressing) น้ําสลัดฝรั่งเศส (French dressing) และน้ําสลัดตุน (Salad dressing) น้ําสลัดแบบฝรั่งเศสและแบบมายองเนสมีน้ํามันเปนสวนประกอบในปริมาณทีส่ ูงมาก มี ลักษณะเหลวหรือคอนขางเหลว สามารถเทออกมาใชไดโดยไมตองใชชอนตัก สวนน้ํามันสลัดแบบตุนใช น้ํามันคอนขางนอย เปนน้าํ สลัดที่ใชแปงผสมลงไปดวยเพื่อใหขนอยูต ัว มีลักษณะขนมาก สามารถเทออก จากขวดได น้าํ มันสลัดแบบนี้บางครั้งเรียกวา “น้ําสลัดขัน” หรือ “น้ําสลัดแบบใชชอ นตัก” 1) น้ําสลัดมายองเนส น้ําสลัดมายองเนสคือผลิตภัณฑที่เตรียมจากน้ํามันพืช น้ําสมสายชูหรือกรดมะนาว และไข นอกจากนี้ยังมีการใสสารชนิดอื่นลงไปดวย เชน เกลือ น้ําตาล เครื่องเทศ ผงชูรส และอื่น ๆ ปริมาณน้ํามันที่ใชจะตองไมนอยกวา 65 เปอรเซ็นต ของน้ําหนักมายองเนส นอกจากนี้ยังใสสารปองกันการตกผลึก (oxystearin) 0.125 เปอรเซ็นต สวนผสม อัตราสวนของน้ํามันและไขจะตองเหมาะสมเพื่อใหมายองเนสมีลักษณะ เนื้อและมีความหนืดที่เหมาะสม สวนเกลือ น้ําตาล น้ําสม และเครื่องเทศจะทําใหกลิ่นรสดียิ่งขึน้ ปริมาณที่ ใชอาจจะแตกตางกันไปตามรสนิยมของผูบริโภค
31
น้ํามันที่ใชควรเปนน้ํามันสลัด ซึ่งอาจทําจากน้ํามันเมล็ดฝาย น้ํามันถั่วเหลือง นํามันดอก คําฝอย น้ํามันขาวโพด หรือน้ํามันโอลีฟก็ได น้ํามันพวกนี้จะไมตกผลึกที่อุณหภูมติ ่ําจึงไมเกิดปญหาการแตก ตัวของมายองเนสเมื่อเก็บไวในตูเย็น เนื่องจากมายองเนสเปนอิมัลชันชนิดน้ํามันในน้ํา เม็ดน้ํามันจะกระจาย อยูในสารละลายที่ประกอบดวยน้ํา ไข น้ําสม น้ําตาล ฯลฯ ดวยเหตุนี้ความหนืดของอิมัลชันจึงขึ้นอยูกับ ขนาดของเม็ดและปริมาณของน้ํามัน ถาเม็ดน้ํามันมีขนาดเล็กและมีปริมาณมาก มายองเนสจะแข็งตัวมาก โดยปกติถาใชน้ํามันในปริมาณ 77-82 เปอรเซ็นต มายองเนสจะมีความหนืดพอดี แตถาใชน้ํามันต่ํากวา 65 เปอรเซ็นต มายองเนสจะเหลวเกินไป ในทางตรงกันขามถาใชน้ํามัน 82 เปอรเซ็นต หรือมากกวานั้น จะ ไดมายองเนสที่ขนมาก ซึ่งจะเหมาะสําหรับทาขนมปงแซนวิส เพราะจะไมทําใหขนมปงดูดน้ํามากเกินไป และไมไหล ถาใชน้ํามันถึง 84 เปอรเซ็นต เม็ดน้ํามันจะอัดตัวแนนมากและผนังที่อยูระหวางเม็ดน้ํามันจะ บางมาก ทําใหมายองเนสไมคอยอยูตวั โดยเฉพาะเมื่อไดรับแรงสะเทือนมาก ไขที่ใชมีผลตอความแข็งของมายองเนสมาก ไขแดงเปนตัวการสําคัญที่ทําใหมายองเนส อยูตัว ไขทใ่ี ชอาจเปนไขสด ไขแชแข็ง หรือไขผงก็ได การใชไขสดทําใหมายองเนสเหลวเกินไป แตจะ แข็งตัวเมื่อเก็บไวนาน ไขที่เก็บไว 2-4 สัปดาหจะเกิดเจลไดยาก ไขผงใชไดดีมาก มายองเนสทีไ่ ดจะมีความ เขมขนมากเมือ่ เทียบกับการใชไขแบบอื่น ๆ สวนไขแดงจะทําใหมายองเนสมีสีเหลือง ทั้งนี้เนื่องจากไมยอม ใหใชสีผสมอาหาร แตอยางไรก็ตามสีของไขก็แตกตางกันมาก ไขทผี่ ลิตในจังหวัดชายทะเลจะมีสีเขมกวาไข ที่ผลิตจากจังหวัดอื่น ๆ นอกจากนี้อาหารไกก็มีผลตอสีของไขแดงมาก ถาอาหารเปนพวกขาวโพดจะไดไขที่ มีสีเขมกวาอาหารที่เปนพวกขาวฟาง กรดเปนสารทีท่ ําหนาที่ถนอมไมใหมายองเนสเสีย กรดที่ใชกนั มากคือน้ําสมสายชูกลั่น ปริมาณของน้าํ สมสายชูไมควรต่ํากวา 2.5 เปอรเซ็นต โดยน้ําหนัก ถาใชน้ําสมเจือจางมากจะทําใหมายอง เนสเก็บไดไมนาน ความเขมขนที่นิยมใชกันอยูระหวาง 4.5-10.0 เปอรเซ็นต อาจใชน้ํามะนาวแทน น้ําสมสายชูก็ได โดยใชแทนไดไมเกิน 25 เปอรเซ็นตของน้ําหนักน้ําสมสายชู การใชน้ํามะนาวทําให มายองเนสมีกลิ่นและรสดีขึ้น น้ําสมสายชูแตละตรามีคุณภาพไมเหมือนกัน โดยเฉพาะกลิ่นและรส ทั้งนี้ เนื่องจากมีปริมาณเอทิลอาซิเตตและอาซิตาลดีไฮดไมเทากัน มายองเนสที่ผลิตขึ้นจึงมีคณ ุ ภาพไมเหมือนกัน ผูผลิตบางรายใสน้ําสมสายชูหมักลงไปดวยเพื่อใหมีกลิ่นหอม แตการใสมากเกินไปจะทําใหกลิ่นเสียไป และ มายองเนสที่ไดจะมีสีเขมไมนารับประทาน มัสตารดคุณสมบัติที่จะชวยใหไขมันรวมตัวกับน้าํ ไดดขี ึ้น โดยเฉพาะตํารับที่ใชไขนอย มัสตารดจะชวยไดมาก แตสําหรับตํารับที่ใชไขมากความสําคัญของมัสตารดจะนอยลง แตอยางไรก็ตาม มัสตารดก็ใหกลิ่นแรงมากเมื่อสัมผัสน้ํา ทั้งนี้เนื่องจากมีน้ํามัน allyl isothiccyanate เกิดขึ้นโดยการทํางาน
32
ของเอ็นไซม glucosidase การเก็บไวนานจะทําใหกลิ่นลดลง การทําลายเอ็นไซมโดยนํามัสตารดไปแช น้ําสมสายชูกอ นนําไปใชจะชวยใหรักษากลิ่นไวไดนานขึ้น การใชมสั ตารดมากเกินไปจะทําใหผูบริโภคเขาใจ ผิดคิดวาใสไขมาก นอกจากจะใชมัสตารดโดยตรงแลวอาจใชน้ํามัน allyl isothiccyanate แทนก็ได ผลิตภัณฑที่ไดมีกลิ่นมัสตารดแรง และไมมีจุดเกิดขึ้นในผลิตภัณฑ สามารถเก็บผลิตภัณฑไดอยางนอย 3 เดือนโดยไมทาํ ใหกลิ่นเสีย มีการใสสวนที่สกัดไดจากพริกลงไปในมายองเนสดวย ทําใหมายองเนสมีสีแดง กลิ่นและ รสเผ็ด ปริมาณที่ใชประมาณ 30 กรัมตอมายองเนส 50 กิโลกรัม ถาใชมากกวานี้จะทําใหมายองเนสมีสีแดง และรสเผ็ดมาก นอกจากนี้สวนผสมที่ไดกลาวมาแลว ก็มีการใสเกลือและน้ําตาลลงไปในมายองเนสดวย แตปริมาณไมมากนัก ทั้งนี้เนื่องจากมีน้ําอยูในมายองเนสเพียง 20 เปอรเซ็นตเทานัน้ การใสเกลือและน้ําตาล เพียงเล็กนอยก็จะทําใหความเขมขนของสารละลายสูงมาก เพราะสารทั้งสองนี้ละลายในน้ําเทานั้น สวน เครื่องเทศอื่น ๆ ที่ใชกันคือกระเทียมผง หอมผง และอบเชยผง น้ําสลัดที่เก็บไวนานอาจมีปญ หาเรื่องความหืนบาง จึงมีการใส calcium disodium EDTA เพื่อปองกันไมใหโลหะที่เปนตัวเรงปฏิกิริยาทํางานได ปริมาณที่ใชประมาณ 75 สวนในลานสวน 2) น้ําสลัดฝรั่งเศส น้ําสลัดฝรั่งเศสเปนของเหลวที่อาจแยกชัน้ หรืออาจอยูตวั ก็ ได มีสวนผสมของน้ํามันและกรดน้ําสมหรือมะนาว โดยมีน้ํามันไมต่ํากวา 35 เปอรเซ็นต อาจใชน้ํามะนาว แทนกรดน้ําสมได โดยใชไมเกิน 25 เปอรเซ็นตโดยน้าํ หนัก นอกจากนี้ยังมีสารปองกันการตะกอนอยูดว ย (oxystearin) 0.125 เปอรเซ็นต สวนสารประกอบอื่น ๆ ที่นิยมใสลงในน้าํ สลัดแบบนี้คือ เกลือ น้ําตาล มัสตารด พริกและ เครื่องเทศชนิดอื่น ๆ อาจใสสารชวยกระจายไขมันหรือไมก็ได แตถาใชสารชวยกระจายไขมัน จะไดน้ําสลัด ที่อยูตัว สารชวยกระจายไขมันที่ใชกันมากคือยางไมชนิดตาง ๆ เชน คาราจีแนน ปริมาณทีใ่ ชไมกิน 0.75 เปอรเซ็นตของน้ําหนัก 3) น้ําสลัดตุน เปนน้ําสลัดที่มีรสเขมขน มีราคาถูก ผลิตขึ้นเพื่อใชแทนน้ําสลัด
33
มายองเนส แตตอมาก็เปนทีย่ อมรับวาเปนน้ําสลัดแบบหนึ่ง การใชในการประกอบอาหารก็เหมือนกับมายอง เนสทุกประการ น้ําสลัดตุนเปนอิมัลชันแบบน้ําในน้าํ มัน โดยมีไขเปนสารชวยกระจายไขมัน และใชแปง เปนตัวทําใหขน นอกจากนี้ยังมีการใสเกลือ น้ําตาล เครื่องเทศ ผงชูรส และสารชวยรักษาสีและกลิ่น ปริมาณน้ํามันที่ใชจะตองไมนอยกวา 30 เปอรเซ็นต ไขแดง 4 เปอรเซ็นต ถาจะใชไขทั้งฟอง ปริมาณไข แดงจะตองเทาเดิม
2. การใชน้ํามันในการประกอบอาหาร 2.1 ใชในการทอด หนาที่ของน้ํามันที่ใชในการทอดอาหารนั้นแตกตางไปจากไขมันที่ใชในการทํา ขนมอบ น้ํามันที่ใชในการทอดจะทําหนาที่ นําความรอนไปใหอาหารทําใหอาหารสุก ชวยหลอลื่นไมให อาหารติดกับภาชนะขณะทอด ทําใหอาหารมีสีและเพิ่มรสชาติ และกลายเปนสวนหนึ่งของอาหารเมื่ออาหาร ดูดน้ํามันเขาไป สมบัติของน้ํามันสําหรับทอดอาหารที่ดีตองมีความคงตัว มีจดุ หลอมเหลวต่ํา ทนทานตอ ความรอนไดสงู และตองมีสมบัติสัมพันธกับอาหารที่ใชทอด เพราะกลิ่นและรสชาติของไขมันหรือน้ํามันจะ ติดไปกับอาหารที่ทอดดวย น้ํามันที่ใชในการทอดโดนัทจะแตกตัวที่อุณหภูมิ 185-199 องศาเซลเซียส เนื่องจากสัมผัสกับน้ําและออกซิเจน น้าํ ทําใหน้ํามันแตกตัวเปนกลีเซอรอลและกรดไขมันอิสระ จากการ ทดลองพบวาการเติมออกซิเจนจะทําใหน้ํามันแตกตัวไดมากกวา อาจมีถึงรอยละ 1 แตเมื่อปองกันไมให สัมผัสกับออกซิเจนจะเกิดกรดไขมันอิสระเพียงรอยละ 0.2 เทานั้น นอกจากเกิดกรดไขมันอิสระแลวยังเกิด สารประกอบ hydroperoxide ซึ่งทําใหมีกลิ่นผิดปกติ ในขณะเดียวกันน้ํามันจะรวมตัวกันเปนโมเลกุลใหญ และเมื่อสะสมมากขึ้นจะทําใหมีลักษณะเหนียวเหนอะหนะ ติดที่กนหรือขางภาชนะที่ใชทอด ในขณะทอดไอ น้ําที่เกิดขึน้ จะไลกลิ่นนี้ออกไปบาง มิฉะนั้นจะมีกลิ่นไมนารับประทาน น้ํามันทีใ่ ชทอดไมควรมีกรดอิสระ มากกวารอยละ 0.1 มิฉะนัน้ จะเกิดควันไดงาย โดยปกติแลวน้ํามันทุกชนิด ทั้งน้ํามันพืช น้ํามันหมู shortening เหมาะสําหรับใชทอดทั้งสิ้น แต การที่จะเลือกใชน้ํามันชนิดใดจะตองคํานึงถึงปจจัยตอไปนี้ ราคา คุณภาพทีจ่ ะมีผลตอกลิ่นและรสของอาหาร อุณหภูมิที่เกิดควัน อายุการใชงาน การเกิดฟอง และการดูดน้ํามันของอาหาร น้ํามันที่เหมาะสําหรับใชทอดอาหารมากทีส่ ุดควรเปนน้ํามันที่ผานการเติมไฮโดรเจนมาแลว น้ํามัน ชนิดนี้มีคาไอโอดีนต่ํา ทําใหทนตอการเติมออกซิเจนทีอ่ ุณหภูมิสูง ไมเกิดสีดํา ไมเกิดยางเหนียวหรือเกิดฟอง
34
การเติมสารบางชนิดจะชวยปองกันการเติมออกซิเจนได นอกจากนีน้ ้ํามันที่มีกรดไขมันขนาดเล็กก็ไมเหมาะ สําหรับทอดอาหารเชนเดียวกัน โดยเฉพาะอาหารที่มคี วามชื้นสูง เพราะน้ําจะทําใหน้ํามันแตกตัวเปนกรด ไขมัน ทําใหเกิดฟองขึ้น จากการทดลองพบวาน้ํามันทีม่ ีกรดไขมันชนิดนี้เพียงรอยละ 5 จะเกิดฟองขึ้นทันที น้ํามันพวกนีไ้ ดแกน้ํามันมะพราวและน้ํามันปาลม แตถาอาหารที่มคี วามชื้นต่ํา การใชน้ํามันเหลานี้ในการ ทอดก็ใหผลดี การทอดเปนการทําใหอาหารสุกโดยใชความรอนแหงรวมกับการใชน้ํามัน การหุงตมวิธีนี้ แบงออกเปน 3 ประเภทดวยกันคือ 2.1.1 การทอดดวยน้ํามันปริมาณนอย (sauté) อาหารจะหั่นเปนชิ้นเล็กกอนนําอาหาร ลงทอด ตองตั้งกระทะใหรอ นกอน แลวทอดอาหารใหเกรียมโดยเร็ว หรือทอดใหอาหารเริ่มนิ่มจากน้ําในตัว อาหารเอง อยาใสอาหารมากเกินไป เนื้อสัตวที่จะนํามาทอดดวยวิธีนคี้ วรคลุกแปงกอน 2.1.2 การทอดดวยน้าํ มันปริมาณปานกลาง (pan fry) อาหารจะหั่นเปนชิน้ ใหญขึ้น ใช น้ํามันและเวลาในการทอดมากกวา ขณะที่ทอดจะใชไฟต่ํากวาการทอดดวยวิธแี รก ปริมาณของน้ํามันยัง ขึ้นอยูกับอาหารที่ทอดดวย เชน การทอดไขจะใชน้ํามันนอยกวาการทอดไก 2.1.3 การทอดดวยน้ํามันปริมาณมาก (deep-fat frying) การทอดดวยวิธีนนี้ ้ํามันจะตองรอน และทวมอาหาร อุณหภูมิของน้ํามันที่ใชทอดควรอยูระหวาง 175-190 องศาเซลเซียส หากใชความรอนสูง มากหรือใชน้ํามันทอดอาหารซ้ําหลาย ๆ ครั้ง วิตามินอีจะถูกทําลายหมด ทําใหกรดไขมันชนิดไมอิ่มตัวถูก ออกซิไดสและเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันไดงาย โดยเฉพาะการทอดอาหารทีม่ ีน้ํามันมาก เชนการทอดไก ผลของปฏิกิริยาจะมีสารประกอบใหมเกิดขึ้น ซึ่งสารที่เกิดขึ้นใหมเหลานี้เปนพิษตอรางกายและบางชนิดก็เปน สารกอมะเร็งดวย ดังนั้นน้ํามันที่ทอดแลว 2 – 3 ครั้ง หรือผานความรอนสูง ๆ มานานแลว หากเหลือใชควร ทิ้ง ไมควรนํากลับมาทอดซ้ําแลวซ้ําอีก เพราะจะทําใหสารกอมะเร็งติดปนอยูใ นอาหารที่ทอด ซึ่งจะทําให ผูบริโภคมีโอกาสเสี่ยงตอการเกิดมะเร็งได ดังนั้นควรใชน้ํามันที่มีจุดเกิดควันสูง 2.1.4 การทอดภายใตความดัน (pressure frying) การทอดดวยวิธนี ี้หมายถึงการทอดดวย น้ํามันปริมาณมากในหมอทอดพิเศษที่มีฝาปดเพื่อเก็บไอน้ําที่เกิดจากอาหารในขณะที่ทอดและไอน้ํานี้จะทําให เกิดความดันขึน้ ภายในหมอทอด อุณหภูมิของน้ํามันทีท่ อดควรเปน 175 องศาเซลเซียส การทอดภายใต
35
ความดันจะทําใหอุณหภูมิสูงและทอดอาหารไดสุกเร็ว ขณะที่ทอดไมสามารถมองเห็นอาหารได
การทอดวิธนี ี้ตองกําหนดเวลาทอดที่แนนอนเพราะ
2.2 ใชประกอบอาหาร น้ํามันประกอบอาหารแบงออกเปน 2 ชนิด คือน้ํามันและ ไขมัน น้ํามันประกอบดวยน้ํามันถั่วเหลือง น้ํามันเมล็ดฝาย น้ํามันโอลีฟ น้ํามันขาวโพด ฯลฯ สวนไขมัน ประกอบดวยเนย มาการีน เนยขาว และน้ํามันหมู การใชน้ํามันเพื่อประกอบอาหารบางครั้งก็ไมตองคํานึงวา จะตองใชน้ํามันหรือไขมัน แตอาหารบางชนิดจะตองใชน้ํามันหรือไขมันใหถูกตอง เชน ในการเตรียมน้ํามัน สลัดควรใชไขมันเทานั้น เพราะตองการใหน้ํามันเคลือบผิวของผักจะใชไขมันแทนไมได ในการทําขนมเคกก็ เชนกันควรใชไขมัน เชน เนย หรือมาการีนเทานั้นจะใชน้ํามันแทนไมได เพราะตองการใหจับอากาศไวมาก ๆ ซึ่งน้ํามันทําไมได การใชน้ํามันหรือไขมันในการประกอบอาหารนั้นขึ้นอยูก ับแหลงที่อยูข องประชาชน ประชาชนที่ อาศัยอยูในเขตที่หางจากเสนศูนยสูตรออกไปทางเหนือหรือทางใตมักมีอากาศหนาว ไมสามารถปลูกพืชที่ให น้ํามันไดมากนัก จึงมักจะใชแตไขมันทีไ่ ดจากสัตวในการประกอบอาหาร สวนประชาชนที่ที่อยูในเขตเสน ศูนยสูตรมีอากาศรอน การปลูกพืชตาง ๆ ทําไดงาย น้ํามันที่ใชประกอบอาหารสวนใหญจึงมาจากพืช แตเมื่อ เทียบกันแลว การบริโภคน้ํามันปริมาณมากกวาบริโภคไขมัน ทั้งนี้เนือ่ งจากน้ํามันใชประกอบอาหารไดเกือบ ทุกอยาง นอกจากอาหารจําพวกขนมอบจากแปงสาลีเทานั้น น้ํามันบางชนิดมีกลิ่นดีมาก เชน น้ํามันโอลีน การนํามาปรุงอาหารไมจําเปนตองผานกรรมวิธีกาํ จัด กลิ่นออกสวนน้ํามันพืชชนิดอื่นอาจจะเอากลิ่นออกหรือไมก็ได ขึ้นอยูกับวัฒนธรรมและประเพณีของทองถิ่น ประชาชนที่อยูในประเทศทางซีกโลกตะวันออกนิยมที่จะรักษากลิ่นธรรมชาติของน้ํามันไว สวนประชาชนที่ อยูในประเทศตะวันตกนิยมที่จะสกัดเอากลิ่นออก เหตุผลที่ประเทศทางซีกโลกตะวันออกไมนิยมเอากลิ่น น้ํามันออกคือวิธีการสกัดน้ํามันออกนั้นใชวิธีการอยางงาย ๆ เพียงแตนาํ ไปผานความรอนเพียงเล็กนอยหรือไม ผานความรอนเลย แลวนําไปบีบเอาน้ํามันออก แรงทีใ่ ชบีบก็ไมมากนัก สารตาง ๆ ซึ่งปะปนออกมาจึงมีอยู นอย น้ํามันจึงไมคอยมีกลิน่ รสมากนัก สวนประชาชนทางประเทศตะวันตกนัน้ ตรงกันขาม การสกัดน้ํามัน จากพืชใชแรงอัดสูง น้ํามันที่ไดจึงมีสิ่งเจือปนมาก มีสีเขม และกลิ่นแรง ดวยเหตุนี้จึงมีความจําเปนที่ตองทํา ใหบริสุทธิ์กอนนําไปประกอบอาหาร 2.2.1 การผัด หมายถึง การทําอาหารตาง ๆ ใหสุกโดยใชน้ํามันหรือกะทิเปนสือ่ ความรอน โดยใสอาหารที่จะผัดลงในกระทะที่มีน้ํามันหรือน้ํากะทิที่ตั้งไฟจนรอนจัด แลวพลิกกลับไปมาจนสุกตาม ตองการ การผัดแบงออกไดเปน
36
ก) ผัดที่ไมมีรสเผ็ด ไดแก ผัดผักสด ผัดผักสดกับเนื้อสัตว ผัดเนื้อสัตวลวน ข) ผัดที่มีรสเผ็ด หมายถึง ผัดทีใ่ ชเครื่องน้ําพริกแกงบางชนิดเปนเครื่องปรุงแตงกลิ่นรส อาหารที่นํามาผัดจะใชเนื้อสัตวเปนหลักและอาจมีพืชผักประกอบมากนอยตามชนิดของผัดชนิดนั้น ๆ ค) ผัดเบ็ดเตล็ด คือผัดที่ไมอาจรวมกลุมกับผัดที่กลาวถึงแลวเนื่องดวยมีเครื่องปรุงรสที่ ตางจากผัดทัว่ ไป เชน ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดวุนเสน ผัดกระเพาะปลา ผัดหูฉลาม ผัดกระทอน ผัดลูกสมอ ผัด ปลาแหง ผัดกะทิ 2.2.2 การประกอบอาหารผัดและทอด ก) การทอดปลา เวลาทอดปลาตองใสน้ํามันใหทวมชิ้นปลา ควรรอใหน้ํามันรอนกอน จึงหยอนตัวปลาลงทอด ทอดใหสุกทีละดาน แลวจึงพลิกตัวปลากลับทอดอีกดานหนึ่ง อยาพลิกตัวปลา กลับไปมาหลายครั้ง การนําปลาชุบขนมปงปนหรือแปงทอดจะเพิ่มความชุมและรสชาติใหเนื้อปลา ข) ไขทอด คือ ไขดาวที่ใชน้ํามันนั่นเอง น้ํามันที่ใชทอดควรจะรอนกวาจุดที่โปรตีนของ ไขตกลิ่มเล็กนอย ปริมาณของน้ํามันควรมากพอไมใหไขติดกระทะ ถาน้ํามันรอนเกินไปจะทําใหไขขาวเกิด ฟองฟูขึ้น ถาอุณหภูมิของน้าํ มันที่ใชทอดต่ําเกินไปจะทําใหไขขาวกระจายตัวออกมากเกินไป ลักษณะของไข ทอดขึ้นอยูกับความตองการที่จะบริโภค ถาใชบริโภคเปนอาหารเชามักนิยมไขดาวที่ออนนุม ไขแดงยังคงอยู ในลักษณะเหลวขน ไขขาวแข็งแตไมเหนียว ฉะนั้นในบางครั้งจึงมักครอบภาชนะทอดไขดาว เพื่อใหเกิดไอ น้ําชวยใหผวิ บนของไขแข็งตัวแตไมกระดาง สําหรับไขดาวที่เรานิยมบริโภคกับขาวมักทอดดวยน้าํ มันที่รอน จัด จะไดไขทกี่ รอบ ผิวไมเรียบ สีน้ําตาลมีรอยฟูของฟองอากาศ มีกลิ่นหอม ค) ไขเจียว ตีไขแดงและไขขาวใหพอเขากันดีอาจเติม เกลือ นม หรือน้าํ เล็กนอย ตั้ง กระทะที่มนี ้ํามันเคลือบเล็กนอย นําไขลงเจียวโดยใชตะหลิวชวยพลิกขางเปนครั้งคราวเพื่อใหไขแข็งตัวทัว่ กัน ในการเจียวแตละครั้งปริมาณไขไมควรมากเกินไป จากไขเจียวจะดัดแปลงเปนไขยัดไสได หรือทําไขเจียว แลวนํามาหั่นฝอยโรยหนาอาหารได การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในไขเจียวไดแก การตกลิ่มแข็งตัวของโปรตีน เมื่อไดรับความรอน ลักษณะที่ดีของไขเจียวควรนุมชุมฉ่ํา สีเหลืองเขม มีกลิ่นหอม
37
ง) ผัดผัก ในการผัดผักสีและธาตุอาหารของผักยังดีอยู เหมาะสําหรับผักที่นุมและมีนา้ํ มาก เชน กะหล่ําปลีหั่นฝอย ถั่วฝกยาวหั่นเปนชิน้ เล็ก ๆ การผัดผักไมทําใหธาตุอาหารสูญเสียมาก เพราะ รับประทานทัง้ หมดไมไดทงิ้ สวนที่เปนน้าํ การผัดผักจะใชเวลาคอนขางสั้นถาใชเวลานานสีจะเปลี่ยน และ คุณคาทางอาหารจะลงลง ดังนั้นจึงควรใสผักที่สุกยากลงไปผัดกอนตามดวยผักที่สุกงาย
3. การเปลี่ยนแปลงของน้ํามันขณะทีใ่ ชและหลังการประกอบอาหาร การใชไขมันหรือน้ํามันในการทอดอาหาร ระหวางที่ไขมันและน้ํามันไดรับความรอนและขณะทอด จะมีการเปลีย่ นแปลงเกิดขึ้นกับโมเลกุลของไตรเอซิลกลีเซอรอล ทําใหเกิดการสลายตัวที่มีความซับซอน เกิดขึ้น เนื่องจาก Thermolytic และ Oxidative reaction ซึ่งจะมีผลกระทบตอ 3.1 คุณคาทางโภชนาการของไขมันและน้ํามัน ไขมันและน้ํามันที่ผานความรอนสูงอาจทํา ใหเกิดความเปนพิษได (toxic effect) 3.2 คุณภาพทางดานประสาทสัมผัสของน้ํามันของน้าํ มันและอาหารที่ทอดในน้าํ มัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับไขมันและน้ํามันในขณะทอดอาหารที่เห็นไดชัดเจน คือ น้ํามันมีสีคล้ํามากขึ้น มี ความหนืดเพิ่มขึ้น smokeing point ลดลง และเกิดฟองมากขึ้น นอกจากนีย้ ังมีปฏิกิริยาของเคมีเกิดขึ้นกับ ไขมันและน้ํามันเมื่อไดรับความรอน ดังรายละเอียด คือ 3.2.1 การเติมออกซิเจน (oxidation) น้ํามันสวนใหญมีปญหาเกี่ยวกับการ เหม็นหืนโดยเฉพาะอยางยิ่งน้ํามันที่สัมผัสกับออกซิเจนอยูเสมอ ปฏิกริยานี้เรียกวา autoxidation autoxidation เกิดขึน้ 2 ขั้นตอน ในระยะแรกการเติมออกซิเจนจะเปนอยางเชื่องชา เปนระยะที่เรียกวา induction period หลังจากนั้นจะเกิดขึน้ อยางรวดเร็ว จากการคนควาพบวาสารที่เกิดขึ้นในระยะแรกของ ปฏิกริยาเปนพวก hydroperoxide ซึ่งเกิดจากออกซิเจนทําปฏิกิริยากับคารบอนที่อยูระหวางพันธะคู สาร hydroperoxide นีจ้ ะสลายตัวไดเร็วที่อุณหภูมิสูง ใหสาร aldehyders และกรดหลายชนิดซึ่ง ทําใหเกิดกลิ่นหืน 3.2.2 Reversion Reversion หมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในน้ํามันที่ผา น
38
การทําใหบริสทุ ธิ์แลว การเปลี่ยนแปลงนีม้ ีผลทําใหเกิดการเหม็นหืน ตัวอยางเชนเมื่อเปรียบเทียบน้ํามันเมล็ด ฝายกับน้ํามันถั่วเหลือง น้ํามันทั้งสองมีการเติมออกซิเจนในอัตราความเร็วที่ใกลเคียงกัน แตจากการทดลอง พบวาน้ํามันถั่วเหลืองจะมีกลิ่นผิดปกติอยางรวดเร็วในขณะทีน่ ้ํามันเมล็ดฝายยังปกติ การเปลี่ยนแปลงของ น้ํามันถั่วเหลืองเชนนี้เรียกวา reversion จากการคนควาพบวานอกจากความรอนแลว แสงอุลตราไวโอเลตและแสงปกติก็จะทําใหเกิด reversion ไดเชนกัน นอกจากนี้ออกซิเจนก็มีสว นอยูมาก โลหะจําพวกเหล็กและทองแดงก็จะทําใหเกิด ปฏิกริยาเกิดขึน้ อยางรวดเร็ว นอกจากนี้น้ํามันที่มีกรด linolenic สูง เชน น้ํามันถั่วเหลือง จะเกิด reversion อยางรวดเร็ว 3.2.3 การแตกตัว (hydrolysis) น้าํ มันอาจแตกตัวไดถามีสภาพแวดลอมที่ เหมาะสม ใหกรดไขมันและกลีเซอรอล กรดไขมันที่เกิดขึ้นถามีคารบอนต่ํากวา 10 ตัว จะระเหยได ซึ่งมี กลิ่นตางกัน ทําใหน้ํามันมีกลิ่นผิดปกติ ดวยเหตุนี้การเหม็นหืนชนิดนี้จึงเกิดขึ้นกับน้ํามันที่มีกรดไขมันขนาด เล็ก เชน น้ํามันเนย น้ํามันมะพราว สวนน้ํามันที่มีกรดไขมันขนาดใหญ มีคารบอนเกิน 10 ตัว จะใหกลิน่ นอยมาก 3.2.4 การเกิดฟอง (foaming) เมื่อนําอาหารไปทอด น้ําในอาหารจะกลายเปน ไอและหนีออกไปสวนประกอบบางชนิดในอาหารหรือในน้ํามันทําใหไอน้ําหนีออกไปอยางชา ๆ จึงทําใหเกิด ฟองขึ้น โดยเฉพาะน้ํามันทีใ่ ชมาแลวหลายครั้ง สวนประกอบเหลานี้อาจเปนพวกสารชวยกระจายไขมัน สาร ที่เกิดจากการรวมตัวของไขมันเปนโมเลกุลใหญหรือสบู 3.2.5 การเกิดควัน (smoking) เมือ่ ทําใหน้ํามันรอนเพิ่มขึ้นเรือ่ ย ๆ ที่อุณหภูมิ หนึ่งน้ํามันเริ่มเกิดควัน เรียกอุณหภูมินวี้ า “จุดเกิดควัน” (smoking point) ถาใหความรอนตอไปอีกหรือใช อุณหภูมิสูงขึ้นจะเกิดควันมากขึ้น ควันนีเ้ กิดสาร acrolein ซึ่งเปนผลจากการแตกตัวของกลีเซอรอล สวนกลี เซอรอลเกิดจากการแตกตัวของน้ํามัน จากการทดลองพบวาการใช superglycerinated shortening จะทํา ใหจดุ เกิดควันลดลง แสดงวาสาร monoglyceride สามารถแตกตัวไดงายกวาสาร triglyceride มีปจจัย หลายประการที่มีผลตอจุดเกิดควัน ไดแก ก) กรดไขมันอิสระ เมื่อน้ํามันมีกรดไขมันอิสระอยูมาก จะมีจุดเกิดควันต่ํา
39
น้ํามันมะพราวที่มีกรดไขมันอิสระรอยละ 1.9 มีจุดเกิดควันต่ํามาก น้ํามันทีใ่ ชแลวจะมีจุดเกิดควันต่ําลง เนื่องจากในขณะทําการทอด น้ําที่มีอยูใ นอาหารทําใหน้ํามันสลายตัวใหกรดไขมันอิสระ และกรดไขมันอิสระ จะมีมากขึน้ ถาใชเวลาทอดนานขึ้น จุดเกิดควันจะต่ําลงเรือ่ ย ๆ ข) ออกซิเจน เมื่อน้ํามันสัมผัสกับอากาศมากขึ้น จะมีผลใหเกิดจุดเกิดควัน ต่ําลงดังนั้นจึงไมควรใชภาชนะขนาดใหญในการทอด แตควรเปนภาชนะลึก ปากแคบ ค) เศษอาหาร ถาน้ํามันที่มีเศษอาหารปะปนอยู เชน แปง เนื้อสัตว ฯลฯ จะทํา ใหอุณหภูมิเกิดควันต่ําลง ดังนั้นเมื่อมีความจําเปนตองใชน้ํามันที่ใชแลว ควรกรองเศษอาหารออกเสียกอน ง) การจับตัวเปนโมเลกุลใหญ (polymerization) น้ํามันที่ผานความรอนหรือ ทอดที่อุณหภูมิสูงจะมีความหนืดเพิ่มมากขึ้น บางครั้งพบวาเปนยางติดกนภาชนะ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดการ จับตัวเปนโมเลกุลใหญของน้ํามันชนิดไมอิ่มตัว โดยเฉพาะการทอดที่ใชน้ํามันมาก ๆ การทอดที่ไมตอเนื่อง หรือการทอดที่มีอาหารไมมากนัก ปรากฏการณเชนนี้มกั เกิดขึน้ พรอมกับฟองดวย แผนภูมกิ ารเกิด สารประกอบชนิดใหมระหวางการใชไขมันและน้ํามันทอดอาหาร มีดังนี้ ไขมัน หรือน้าํ มัน ออกซิเจน ความรอน น้ํา สารประกอบที่เกิดจากการสลายตัว สารประกอบที่ระเหยได - ไฮโดรคารบอน - แอลดีไฮดและคีโตน - ฟูเรน (furan) - กรดคารบอกซิลิก
ที่มา : นิธิยา รัตนาปนนท (2548)
สารประกอบที่ระเหยไมได ซึ่งมีทั้งที่เปนโพลารและไมมีโพลาร - โมโนเมอรที่เปนวงแหวน - โมโนเมอรที่ไมเปนวงแหวน - ไดเมอรและไตรเมอร - พอลิเมอรหรือสารประกอบที่มี น้ําหนักโมเลกุลสูงสุด
40
บรรณานุกรม ณรงค นิยมวิทย และอัญชนีย อุทัยพัฒนาชีพ. ม.ป.ป. เอกสารประกอบการสอนวิชาวิทยาศาสตรการ ประกอบอาหาร, ภาควิชาคหกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร บางเขน. 441 น. นิธิยา รัตนาปนนท. 2548. วิทยาศาสตรการอาหารของไขมันและน้าํ มัน. สํานักพิมพโอเดียนสโตร, กรุงเทพ ฯ. 244 น. ทัศนีย โรจนไพบูลย. 2544. อาหารไทย ใน เอกสารประกอบการสอนชุดวิชา เทคโนโลยีอาหารและ เครื่องดื่ม หนวยที่ 12. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. โรงพิมพมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, นนทบุรี. น. 257-338. อบเชย วงศทอง และขนิษฐา พูนผลกุล. 2544. หลักการประกอบอาหาร. สํานักพิมพมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร, กรุงเทพ ฯ. 163 น.
บทที่ 3 1. การเลือกใชเครื่องมือเครื่องใช อุปกรณเครื่องใชในครัวมีมากมายหลายชนิด การรูจักอุปกรณเครื่องใชและวิธีการใชอยางถูกตอง จะชวยใหการประกอบอาหารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งเปนการประหยัดเวลาและแรงงาน 1.1 อุปกรณที่ใชชงั่ ตวง วัด ถาด (utilily tray) มีทั้งรูปกลม รูปเหลี่ยม ใชวางอาหารที่กําลังเตรียมและเครื่องใชตาง ๆ ถวยตวงชนิดแกว (liquid measuring cups) ใชตวงของเหลวน้ํา น้ํามัน น้ํานม จะมีตัวเลข แสดงมาตราสวนที่จะวัดเปน ¼, 2/3, 1/3, ½, ¾, 1 ถวยตวง และบอกเปนออนซ ถวยตวงของแหง (dry measuring cups) มี 4 ขนาด คือ ¼, 1/3, ½, 1 ถวยตวง ใชตวง แปง น้ําตาล เกลือ ขาว ฯลฯ ชอนตวง (measuring spoons) มี 4 ขนาด คือ ¼, ½, 1 ชอนชา และ 1 ชอนโตะ เครื่องชั่ง (scale) ใชชั่งเครื่องปรุงตาง ๆ เปนกรัม และกิโลกรัม 1.2 อุปกรณที่ใชเตรียมอาหาร ชามผสม (mixing bowl) มีหลายขนาด ชุดหนึ่งมี 3 หรือ 4 ขนาด กนชามจะเรียบ ไมมี มุมเหลี่ยม เพือ่ สะดวกในการคลุกเคลาผสมอาหาร เวลาใชเลือกขนาดที่พอเหมาะกับอาหาร วัตถุที่ใชอาจทํา จากแกว อลูมเิ นียมหรือสแตนเลส ถาทําจากแกวใสจะมองเห็นอาหารชัดขึ้น ทัพพีโปรง (sloted spoon) มีทั้งชนิดแบนและโคง ใชสําหรับตักอาหารขึ้นจากน้ําหรือน้ํามัน กระชอน (stainer) เปนตาขายลวดดามยาว ใชกรองอาหารใหสะเด็ดน้ํา เชน กรองน้ํากะทิ คีมหยิบอาหาร (tong) รูปรางคลายกรรไกรใชคีบอาหารที่หุงตมสุกแลวออกจากภาชนะ 1.3 เครื่องมือเครื่องใชในการหั่น ตัด สับ และบด มีด (knife) มีดที่ใชในการหัน่ อาหารมีหลายชนิด ไดแก 1. มีดปอก (paring knife) ใบมีดมีความยาว 5-7 นิ้ว เหมาะที่จะใชลอกเปลือก ตัด ผักและผลไมตาง ๆ 2. มีดหั่น (utility knife) ใบมีดมีความยาว 8-10 นิ้ว เหมาะทีจ่ ะใชหนั่ ผัก เนือ้ สัตวตาง ๆ 3. มีดสับ (French knife) ใบมีดมีความยาว 8-10 นิ้ว ใบมีดกวางกวามีดหั่น และมี น้ําหนักเหมาะที่จะใชสับเนื้อสัตวตาง ๆ
42
4. มีดแล, หั่น (slicing knife) ใบมีดมีความยาว 8-10 นิ้ว ไมกวางมากนัก ถามี หยักฟนปลาจะใชฝานขนมปงใชในลักษณะเลื่อย และใชหนั่ อาหารที่อบจนกรอบ อาหารจะไมแตกรอนเปน ผง ใชเลาะกระดูกจากเนื้อ 5. มีดแล, เลาะเนื้อ (carving knife) ใบมีดคอนขางโคงและหนา มีหยักฟนปลาใช แลเนื้อสัตวออกจากกระดูกได ใชแลเลาะสัตวปกที่ปรุงรอน ๆ ออกจากกระดูก เขียง (cutting board) มีทั้งชนิดไมและพลาสติก ใชรองเวลาหั่นอาหาร ที่ปอก (peeler) ใชปอกเปลือกโดยเฉพาะ ลักษณะคมมีดหันเขาหากันและมีดามถือ ที่ไส (grater) ใชไสผัก ผลไมเปนเสน ๆ มีรูขนาดใหญเล็กตางกัน ที่เปดกระปอง (can opener) ถามีที่หมุนจะทําใหปากกระปองเรียบไมตองใชแรงมาก คอนทุบ (mallet) เปนคอนมีเหล็กแหลม 2 ดาน มีดาม ใชทุบเนื้อใหนุม 1.3 ภาชนะที่ใชหุงตม วัสดุที่ใชทําภาชนะหุงตมมีหลายชนิดดวยกัน ภาชนะหุงตมที่ทําจากวัสดุที่ทําจากวัสดุตาง ชนิดกันจะมีคณ ุ สมบัติ การนําความรอนแตกตางกันไป ไดแก ภาชนะหุงตมที่ทําจากอลูมิเนียม จะมีน้ําหนักเบา นําความรอนไดดเี ปนสามเทาของภาชนะ หุงตมทําจากเหล็ก และสแตนเลส จะเปนเงางามขณะที่ยังใหมอยูไมเปนสนิม ไมเหมาะที่จะใสอาหารที่เปน กรดแชทิ้งไวนาน ๆ เพราะกรดจะทําใหอลูมิเนียมสึกกรอน โลหะที่สึกกรอนอาจปนมากับอาหาร ภาชนะหุงตมที่เคลือบ โครงสรางของภาชนะทําจากเหล็กหรืออลูมิเนียมแลวเคลือบดวยสาร ใหความมันลื่นที่มีสีตาง ๆ เชน สีขาว สีเหลืองนวล และสีน้ําเงิน ถาภาชนะหุงตมที่เคลือบบางจะนําความ รอนไดคอนขางดี ถาเปนภาชนะหุงตมที่เคลือบหนาจะรอนชากวาแตจะรอนชากวาแตจะเก็บความรอนได ดีกวา ภาชนะหุงตมเคลือบยังเหมาะสําหรับหุงตมพืชผักที่มียางเพราะจะไมทําใหพืชผักมีสีคล้ํา ภาชนะหุงตมที่ทําจากสแตนเลส สแตนเลสเปนโลหะที่ผสมระหวางเหล็ก โครเมี่ยม นิเกิลและแมงกานีส โดยทั่วไปภาชนะหุงตมที่ทําจากสแตนเลสจะนําความรอนไดไมดีเทากับภาชนะหุงตมที่ ทําจากอลูมิเนียม จึงมีการฉาบโลหะทองแดงที่กน ภาชนะเพื่อใหนําความรอน และกระจายความรอนไดดี ภาชนะชนิดนีใ้ ชหุงตมอาหารไดทุกชนิดรวมทั้งพืชที่มียางจะไมทําใหพืชผักมีสีคล้ํา เชนเดียวกับภาชนะ เคลือบ ภาชนะหุงตมที่ทําจากเทฟลอน คือภาชนะที่เปนอลูมิเนียมหรือเหล็กหลอ ผิวดานนอกจะ เคลือบดวยสารที่ใหความมันลื่นสีตาง ๆ อาจมีลวดลาย ผิวดานที่สัมผัสกับอาหารเคลือบดวย สารฟลูโรคารบอนเรซิน (fluocarbon resins) จะปองกันไมใหอาหารติดภาชนะ สวนใหญสารเคลือบจะเปน สีดํามีลักษณะดานน้ําความรอนไดชา เมื่อนําภาชนะเทฟลอนตั้งไฟความรอนจากโลหะคอย ๆ ผานขึ้นมาทาง
43
สารฟลูโรคารบอนเรซิน อาหารจะคอย ๆ สุกจึงเหมาะทีจ่ ะใชทอดอาหารเนื้อสัตว เวลาใชภาชนะเทฟลอนหุง ตมอาหาร ไมควรใชไฟแรงเพราะจะทําใหสารฟลูโรคารบอนเรซินเสื่อมคุณภาพไดงา ย ภาชนะหุงตมที่ทําจากแกว แกวทนไฟมี 3 ชนิด ไดแก ไพแรค (purex) คอรดาไลท (cordalite) และไพโรแฟลม (pyroflam) ปกติแลวภาชนะประเภทนี้จะเปนชามใสอาหารเขาเตาอบ ถาเปน ชามใสอาหารตั้งไฟไดโดยตรงจะตองเปนแกวทนไฟ ไฟโรแฟลม ภาชนะทําจากแกวจะนําความรอนไดไมดี รอนชาแตเมื่อรอนจะเก็บความรอนไวไดนาน ภาชนะแกวจะแตกเมื่อทําตกหลนหรือมีการเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิฉับพลัน ภาชนะหุงตมทําจากเหล็ก ไดแก กระทะตาง ๆ ภาชนะทําจากเหล็กเมื่อไดรับความรอนจะ คอย ๆ รอน และเก็บความรอนไวไดนาน เหมาะสําหรับทอดเนื้อสัตว ตม เคี่ยวอาหารเพราะใชไฟออน อาหารก็เดือด แตมีขอเสียคือคอนขางหนัก หมอดามยาว (sauce pan) เปนหมอที่มีดาม มีฝาปด ใชหุงตมอาหารทีม่ ีน้ํา หมอหู (sauce pot) หมอมีหู 2 ขาง มีฝาปด ใชหุงตมอาหารที่มีน้ํา กระทะมีฝาปด (heavy skillet) เปนกระทะเหล็กกนลึกไมเกิน 3 นิ้ว มีดาม มีฝาปด บาง ชนิดอาจมีหหู วิ้ ชนิดมีหูตวั กระทะคอนขางลึก ลึกประมาณ 5-6 นิ้ว เหมาะสําหรับทอด ตุน อาหารจําพวก เนื้อสัตว กระทะ 2 หู (fry pan) อาจทําจากอลูมิเนียมหรือสแตนเลส ใชทอดผัดอาหาร กระทะแบน (girddle pan) ใชทอดอาหารที่ตองการใหเปนแผนบาง เชน แพนเคก ขนม โตเกียว หรือเนื้อสําหรับทําแฮมเบอรเกอร หมออัดความดัน (pressure cooker) เปนหมอที่ปองกันไมใหไอน้าํ จากการหุงตมในหมอ ออกขางนอก ทําใหขางในมีความดันของไอน้ําเพิ่มขึ้น อุณหภูมิก็สงู ขึ้น ทําใหอาหารสุกเร็วหรือเปอยเร็ว ความดันมีหลายระดับ เชน 5 ปอนด และ 15 ปอนดจากการเปลี่ยนลูกตุมที่บังคับความดันของไอน้ํา 2. คุณสมบัติและหนาที่ของวัตถุดิบตาง ๆ ในการประกอบอาหารไทยประเภทผัดและทอด 2.1 น้ํา ในธรรมชาติจะพบน้ําไดทกุ หนทุกแหง ทัง้ ในสิ่งมีชีวิตและสิ่งที่ไมมีชีวิต เมื่อนําเอา วัตถุดิบธรรมชาติมาประกอบอาหาร น้าํ จึงมีอยูในอาหารประกอบดวย การที่มีน้ําอยูในอาหารประกอบจึง ไมใชเปนสิ่งเจือปนที่ติดมากับวัตถุดิบแตเปนความตองการของผูประกอบอาหาร เปนความจําเปนที่ผู ประกอบอาหารตองควบคุมปริมาณใหเหมาะสม ทําใหบางครั้งจําเปนตองมีการกําจัดน้ําสวนหนึ่งออกไป หรือตองมีการเติมน้ําในขณะประกอบอาหารเรียกวา “น้าํ สําหรับประกอบอาหาร” ไมวาน้ําจะมาจากวัตถุดิบ หรือน้ําที่เติมลงไปในขณะประกอบอาหารจะมีบทบาทเหมือนกันทุกประการ
44
น้ําในอาหารมีอยู 4 สภาวะ คือน้ําเกาะตาย (nonfreezable water) น้ําเกาะติด (bound water) น้ําเกาะตาม (immobilized water) และน้ําอิสระ (free water) การเรียกชือ่ น้ําเหลานี้มีความสับสนอยู พอสมควร เนือ่ งจากไมสามารถแบงน้ําตามสภาวะเหลานี้ไดอยางเด็ดขาด น้ําเกาะตาย เปนสวนหนึ่งของโมเลกุลอาหารโดยเกาะติดกับอาหารดวยพันธะทีแ่ ข็งแรงมาก อาจ เปนพันธะโควาเลนตหรือพันธะอื่น ๆ ก็ได เปนน้ําที่มีความจําเปนมากสําหรับการคงรูปโมเลกุลของ แตกไ็ มมีใครสามารถกลาวไดอยางแนชัดวาน้ําชนิดนี้อยูอยางไรในอาหาร องคประกอบอาหารบางชนิด เนื่องจากการวัดปริมาณใชวธิ ีการที่แตกตางกันมาก เชน Differential Thermal Analysis (DTA), Nucclear Magnetic Resonance (NMR) เปนตน อยางไรก็ตามเมื่อกลาวถึงน้ําชนิดนีจ้ ะหมายถึงน้ําที่ไมแข็งตัวถึงแม จะใชอณ ุ หภูมติ ่ําเพียงใดก็ตาม เปนน้ําที่มีคุณสมบัติเปนตัวทําละลาย ไมมีสวนในปฏิกิริยาเคมีและจุลินทรีย ไมสมารถนําไปใชดํารงชีวิตได ปริมาณน้าํ สวนนี้ขึ้นอยูก ับองคประกอบและสภาวะของอาหาร อยางไรก็ตาม ปริมาณที่พบอยูในเกณฑรอยละ 5-10 ของปริมาณน้ําในอาหาร น้ําเกาะติด เปนสวนที่เกาะอยูที่ผิวของโมเลกุลที่เปนองคประกอบของอาหาร โดยเฉพาะ คารโบไฮเดรต และโปรตีน น้ําเกาะติดสวนนี้มีคณ ุ สมบัติคลาย ๆ กับน้ําเกาะตาย คือไมมีคุณสมบัติเปนตัวทํา ละลาย ไมมีสวนในปฏิกิรยิ าเคมี และจุลินทรียยังไมสามารถนําไปใชประโยชนได แตเปนน้ําที่แข็งตัวและ สามารถกําจัดออกไปไดดวยความรอน เพียงแตตองใชพลังงานมากกวาปกติ น้ําเกาะติดยังไมสามารถใหคา ความดันไอ น้ําเกาะตาม เปนน้ําที่เกาะทับอยูบนผิวของน้ําเกาะติด มีอยูหลายชัน้ โมเลกุล โดยมีแรงเกาะลด นอยลงตามลําดับ จํานวนชั้นที่อยูกับแรงเกาะที่เกิดขึ้นระหวางองคประกอบของอาหารกับน้ําชั้นแรกหรือ นักวิทยาศาสตรบางทานไดรวบรวมน้ําสวนนี้ไวกับน้าํ เกาะติดแต ขึ้นอยูกับแรงเกาะของน้ําเกาะติดนัน้ เอง เรียกชื่อตางกันออกไป น้ําเกาะตามมีคณ ุ สมบัติเปนตัวทําละลายไดบา ง จึงเกี่ยวของกับปฏิกิริยาเคมีไดบางแลว จุลินทรียสามารถนําไปใชประโยชนได และสามารถใหความดันไอได น้ําสวนนีจ้ ะมีมากในอาหารที่มี องคประกอบของแปง เพ็คติน เพ็นโตซาน และโปรตีน การเปลี่ยนแปลงของอาหารที่ทําใหน้ําสวนนี้ เปลี่ยนแปลงไปจะมีผลตอลักษณะเนื้อของอาหารมาก การสุกของผลไมทําใหโมเลกุลแปงแตกตัว มีขนาดเล็ก ลง น้ําชนิดนี้เกาะไดนอยลง น้ําอิสระจึงมีมากขึ้น ทําใหผลไมมีความฉ่ํา (juicy) มากขึ้น การทําใหเนื้อสัตว สุกมีผลใหโปรตีนหันมาเกาะตัวกันมากขึน้ โมเลกุลน้ําที่เคยเกาะอยูถกู กันออกไป ทําใหเนื้อสัตวแข็งกระดาง มากขึ้น
45
น้ําอิสระเปนน้าํ ที่แทรกตัวอยูใ นชองวางของอาหาร อาจมีการเกาะตัวกับองคประกอบของอาหาร บาง แตแรงเกาะตัวไมแข็งแรงมากนัก มีคุณสมบัติเหมือนน้ําปกติ สามารถเปนตัวทําละลายได มีสวน เกี่ยวของกับปฏิกิริยาเคมีและจุลินทรียสามารถนําไปใชในการดํารงชีวิตได อยางไรก็ตามน้ําสวนนี้บางสวน ยังคงมีคุณสมบัติไมเหมือนกับน้ําอิสระในธรรมชาติอยางแทจริง จึงมักเรียกน้ําอิสระวา “น้ําออง” (active water) ซึ่งหมายถึงน้ําที่ยังคงรักษาคุณสมบัติของน้ําอิสระไวได ในอาหารจะมีองคประกอบที่ละลายหรือเกิด คอลลอยกับน้ําไดอยูมากมาย องคประกอบเหลานี้จะมีพันธะกับน้ําและอยูในสถานะน้ําเกาะตาย น้ําเกาะติด และน้ําเกาะตาม สวนที่เหลือเปนน้ําอิสระ ปริมาณน้าํ เกาะติดและน้ําเกาะตามจะเปลี่ยนแปลงไดมาก ถา องคประกอบของอาหารหรืออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไป นั่นก็คือมีผลตอน้ําอิสระโดยทางออม ทําใหมีปริมาณ ไมคงที่ อาหารตางชนิดกัน มีความชื้นเทากันจึงไมจําเปนตองมีน้ําอิสระในอาหารจึงมีความจําเปนมากที่จะ คาดเดาไดวาอาหารจะเสียดวยจุลินทรียห รือไม อยางไรก็ตามการวัดปริมาณน้ําอิสระโดยตรงทําไดยาก แตน้ํา อิสระมีความสัมพันธกับความดันไอเปนตัววัดความเปนอิสระของน้ําได เมื่อความเปนอิสระของน้ํา หรือ ความอองน้ํา (water activity, aw) มีคาเทากับอัตราสวนของน้ําที่เปนอิสระตอน้ําที่มีอยูทั้งหมดในอาหาร คา aw จึงเทากับอัตราสวนของความดันไอของอาหารตอความดันไอของน้าํ บริสุทธิ์ดวย บทบาทของน้าํ ในการประกอบอาหารมี 2.1.1 การทําหนาที่เปนสื่อความรอน น้ําในอาหารเปนสื่อความรอนที่ดี นําความรอนจาก แหลงความรอนไปสูองคประกอบอื่น ๆ ของอาหารซึ่งกระทําไดทั้งการนําและการพา การนําความรอนจะเกิด ขึ้นกับอาหารที่มีลักษณะขนหนืดหรือคอลลอย สวนการพาจะเกิดขึ้นกับอาหารที่มีลักษณะเปนสารละลาย เมื่ออาหารไดรับความรอนสวนที่เปนน้ําจะเก็บความรอนไวไดมากกวาองคประกอบอื่น ๆ ของอาหาร น้ําที่ อยูในสภาพเชนนี้จะคอย ๆ ถายเทความรอนใหกับองคประกอบอื่น ๆ ของอาหาร ทําใหองคประกอบอื่น ๆ ไดรับความรอนมากขึ้น จึงมีการเปลี่ยนแปลงจนถึงจุดที่ตองการอยางรวดเร็ว การใชน้ําเปนสื่อความรอนอาจ ทําไดอีกรูปแบบหนึ่ง คือการพาความรอนจากแหลงความรอนไปสูอาหาร โดยสื่อที่ใชอาจเปนน้าํ รอน หรือ ไอน้ํา การใชความรอนมักจะทําในรูปของการตมหรือการลวก สวนการใชไอน้าํ จะอยูใ นรูปของการนึ่ง อยางไรก็ตามการประกอบอาหารบางครั้งก็ใชทั้งการตมและการนึ่งไปพรอม ๆ กัน เชน การผัดผัก เปนตน การที่น้ําเปนสือ่ ความรอนทีด่ ีเกิดจากมีความรอนจําเพาะและความรอนแฝงสูง น้ําจึงเปรียบเสมือนผูเก็บความ รอนแลวไปถายใหกับอาหาร การเปนสื่อความรอนของน้าํ จะมีประสิทธิภาพมากขึน้ ถาการประกอบอาหารนั้น กระทําภายใตความดัน เชน การใชหมอความดัน เปนตน การประกอบอาหารแบบนี้จะตองใชหมอที่ทําดวย โลหะที่แข็งแรง มีฝาปดสนิท และสามารถทนตอแรงอัดสูงไดเปนอยางดี เมื่อใสน้ําลงในหมอความดันไอ
46
เล็กนอยพรอมอาหาร แลวปดฝาใหสนิทและใหความรอน น้ําสวนหนึง่ กลายเปนไอ แตหนีออกไปไมได ทํา ใหความดันไอภายในหมอสูงขึ้น และจะสูงขึ้นตามลําดับตราบเทาทีย่ ังใหความรอนตอไป ทําใหน้ําและ อาหารภายในหมอความดันมีอุณหภูมิสูงขึ้น ผลที่ตามมาคืออาหารจะเปอยเร็วขึ้นโดยเฉพาะพวกเนื้อสัตว 2.1.2 การทําหนาที่เปนตัวทํากระจาย น้ําเปนตัวทํากระจายทีด่ ี เนือ่ งจากมีคุณสมบัตปิ องกัน การดึงดูดระหวางประจุไฟฟาไดเปนอยางดี น้ําจะเกาะติดอยูกับโมเลกุลของอาหารที่มีประจุเปนชนวนปองกัน ไมใหประจุตรงกันขามเขามาเกาะ ความหนาของชนวนขึ้นอยูกับความหนาแนนของประจุ ถาอนุมูล 2 ชนิด มีประจุเทากัน อนุมูลที่มีขนาดเล็กกวาจะมีความหนาแนนของประจุมากกวา อนุมูลขนาดเล็กจึงมีน้ําเขามา เกาะมากกวา การเปนชนวนของสารประกอบโควาเลนซและสารประกอบไอโอนิกแตกตางกันมาก สารประกอบโควาเลนซ เชน น้ําตาล แอลกอฮอล อัลดีไฮด คีโตน กรดอินทรีย โปรตีน เกลือของกรด ไขมัน คารโบไฮเดรต ฯลฯ จะมีน้ํามาเกาะบนโมเลกุลสวนที่มีประจุบวกและประจุลบ ทําใหโมเลกุลที่เคยจับ ตัวกันเองตองแยกออกจากกัน และกระจายออกไปในน้าํ สวนน้ําที่เหลือจะทําหนาที่ปองกันมิใหโมเลกุลเขา ใกลกันไดอีก สําหรับสารประกอบโควาเลนซกลุมที่เรียกวา “amphipathic” (สารประกอบที่สวนหนึ่งของ โมเลกุลมีประจุ) เชนไขมัน และสารฟอสโฟกลีเซอไรด (เลซิติน เซฟาติน ฯลฯ) โมเลกุลจะอยูร วมกันเปน กลุม โดยสวนที่มีประจุจะอยูที่ผิวและจับตัวกับน้าํ สวนที่ไมมีประจุจะซอนตัวอยูภายในกลุม กลุมที่รวมตัว และกระจายอยูในน้ําเรียกวาไมเซล สวนสารประกอบไอโอนิก เชน เกลือแกง โมเลกุลน้ําสวนหนึ่งจะจับตัว กับอนุมูลโซเดียมและอีกสวนหนึ่งจะจับตัวกับอนุมูลคลอไรด แตแรงจับตัวกันระหวางน้ํากับอนุมลู โซเดียม นั้นมีมากกวาแรงจับตัวกันระหวางอนุมูลโซเดียมกับอนุมูลคลอไรด โมเลกุลของเกลือแกงจึงแตกออก น้ํา สวนที่เหลือจะทําหนาทีเ่ ปนชนวน ปองกันไมใหอนุมูลทั้งสองเขาใกลกันไดอีก 2.1.3 การทําหนาที่เปนตัวกลางใหสารเคมีตาง ๆ ทําปฏิกิริยากัน การทําหนาที่เชนนี้ไดเปนผล ตอเนื่องจากการละลายของสารเคมีตาง ๆ ในน้ํา การละลายทําใหสารเคมีตาง ๆ เขามาใกลชิดกัน และทํา ปฏิกิริยากัน เชน ทําใหกรดอมิโนทําปฏิกิริยากับน้ําตาลรีดิวซึ่ง ใหสารประกอบสีน้ําตาล ทําใหโซเดียม คารบอนเนตทําปฏิกิริยากับกรด ใหแกสคารบอนไดออกไซดกับน้ํา เปนตน การทําหนาที่เปนตัวกลางของน้ํา อาจพบไดอกี รูปแบบหนึ่งคือการเขาไปมีสวนในปฏิกิริยาเคมีทําใหโมเลกุลของสารบางชนิด เชน โปรตีน คารโบไฮเดรต ไขมัน ฯลฯ แตกตัวดวยน้าํ ใหสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก โดยสารที่ไดเหลานัน้ สามารถรวมตัว กันเปนโมเลกุลใหญไดอกี โดยคายน้ําออกมา โปรตีนจะแตกตัวใหสารเปบไตด และกรดอมิโนในที่สุด คารโบไฮเดรตจะแตกตัวใหสารโอลิโกแซคคาไรดและน้าํ ตาลชั้นเดียวในที่สุด ไขมันแตกตัวใหกรดไขมัน และกลีเซอรีน อยางไรก็ตามการที่โมเลกุลขนาดเล็กเหลานี้จะแตกตัวหรือรวมตัวกันเปนโมเลกุลใหญได จะตองเกิดขึ้นในสภาพแวดลอมที่เหมาะสม เชน ในสภาวะทีม่ ีเอ็นไซมอยูดวย หรือในสภาวะที่มีกรด-ดาง และอุณหภูมเิ หมาะสม
47
2.1.4 การทําหนาที่ใหอาหารมีคุณสมบัติเปนกรดหรือดาง โมเลกุลน้ําแตกตัวไดบางเล็กนอยจึง สามารถใหอนุมูลไฮโดรเจน (H+) ได ในขณะเดียวกันโมเลกุลน้ําก็สามารถรับอนุมูลไฮโดรเจนได ทําใหกรด หรือเบสแตกตัวใหอนุมูลกรดหรืออนุมูลดางในอาหาร คุณสมบัติเชนนี้มีความสําคัญมากในการถนอมอาหาร 2.1.5 การทําหนาที่เคลื่อนยายองคประกอบอาหาร การประกอบอาหารหลายชนิดมี กระบวนการลดความชื้นโดยนําอาหารมาอบหรือตากแหง ระหวางการทําใหแหงจะมีการเคลื่อนที่ของน้ําจาก อาหารสวนทีอ่ ยูลึกเขาไปออกมาสูผิว การเคลื่อนที่ของน้ําจะพาเอาสิ่งที่ละลายอยูออกมาดวย เมื่อน้ําออกมาสู ผิวอาหารและระเหยออกไป สารที่ออกมาดวยจะสะสมอยูที่ผิวของอาหาร และเกิดการเปลี่ยนแปลงมากเมื่อ ไดรับทั้งความรอนและออกซิเจน อยางไรก็ตามอาหารบางชนิดจะถือวามีคุณภาพดีขนึ้ โดยเฉพาะผลไมแชอิ่ม แหง 2.1.6 การทําหนาที่ปองกันไมใหอาหารเสีย เมื่ออาหารมีความชื้นประมาณรอยละ 50 ความ ชื้นสัมพัธนสมดุลหรือคา aw ของอาหารจะมีคาใกลเคียงกับ 1.0 อาหารพวกนี้จะเสียงาย ถาตองการจะถนอม ตองเก็บอาหารพวกนีไ้ วในหองเย็น หรือจะตองทําลายจุลินทรียหรือเอ็นไซมใหหมดไปดวยความรอน อยางไรก็ตามการถนอมอาหารทําไดอีกแบบหนึ่งคือการลดความชื้นใหต่ําลง หรือลดคา aw ซึ่งอาจทําไดโดย การลดความชืน้ โดยการระเหยน้ําโดยตรง การแชแข็ง การใสเกลือหรือการใสน้ําตาล ลวนเปนการลด ความชื้นทั้งสิน้ แตไมสามารถทําลายเอ็นไซมได การเปลี่ยนแปลงและการทําใหอาหารเสียยังคงดําเนินตอไป ถึงแมจะเปนอัตราความเร็วคอนขางต่ํา ตามทฤษฏีเมื่อลดคา aw จาก 1.0-0.9 มาเปน 0.80-0.75 ความเขมขน ของตัวกระจายจะเพิ่มขึ้นจาก 0-6.17 โมแลล ตามลําดับ ฉะนั้นเมื่อตองการถนอมอาหารจึงมีความจําเปนตอง ลดความชื้นใหต่ําลง ใหมีความชื้นต่ํากวารอยละ 50 2.1.7 การทําหนาที่ควบคุมลักษณะเนื้อของอาหาร น้ํามีบทบาทตอลักษณะเนื้อของอาหารมาก ทั้งอาหารสดและอาหารประกอบ ในผักหรือผลไมสดน้ําจะทําหนาที่ใหเซลเตงตึง เมื่อรับประทานจะรูสึก กรอบ ถาเซลหดตัวหรือมีความเตงตึงนอยลง เนื้อจะนิม่ ปจจัยสําคัญที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงความเตงตึง ของเซลคือแรงดันออสโมซิส ทั้งนี้เนื่องจากผนังเซลของพืชมีคุณสมบัติเปนเนื้อเยือ่ กึ่งซึมผานได สามารถให น้ําและสารที่มโี มเลกุลขนาดเล็กผานเขาออกได โดยซึมจากสารละลายที่มีความเขมขนต่ําไปหาความเขมขน สูงกวา เนือ่ งจากชองวางภายในเซลมีสารบรรจุอยูเต็ม เปนสารที่มีความเขมขนสูง ฉะนัน้ เมื่อใดก็ตาม สารละลายที่อยูในชองวางระหวางเซลมีความเขมขนต่ํากวา น้ําจะถูกดูดเขาไปในเซล ทําใหเซลเตงตึง ความ เตงตึงของเซลจะมากนอยเพียงใดนั้นขึ้นอยูกับความยืดหยุนของผนังเซล พืชที่มีผนังเซลยืดหยุน ไดดเี ซลจะ
48
ขยายตัวไดมากในขณะเดียวกันเซลพวกนีจ้ ะหดตัวและเหี่ยวเฉาจนเห็นไดชัด ทําใหผักมีลักษณะเนื้อเหนียว มากขึ้นและมีความหยุนตัวนอยลง การนําผักมาตมจะทําใหโปรตีนจับตัวกันเปนกอนแข็ง น้ําที่อยูในชองวาง ภายในเซลจะไหลออกมาสูชองวางระหวางเซล ทําใหผักหรือผลไมมีเนื้อเละ และไมนารับประทาน อยางไร ก็ตามถาผักหรือผลไมมีแปงอยูภายในเซลมากพอ เม็ดแปงจะพองตัวและดูดน้ําทั้งหมดไว ซึ่งมีผลใหผกั หรือ ผลไมมีเนื้อแข็งมากขึ้น แตไมกรอบ ในเนื้อปลามีนา้ํ อยู 3 สภาวะเหมือนกับน้ําในอาหารอื่น ๆ โดยน้ําเกาะติดและน้ําอิสระจะมี บทบาทมากตอลักษณะเนื้อของปลาสดและผลิตภัณฑจากเนื้อปลา โดยปกติเนื้อปลาจะมีความชืน้ ระหวางรอย ละ 75-80 สวนใหญเปนน้ําเกาะติดกับโปรตีน โดยจะมีปริมาณสูงสุดในฤดูวางไขหรือปลามีอาหารไม เพียงพอ ในสภาวะเชนนีเ้ นื้อปลาจะมีปริมาณนิอิสระมากขึ้น โดยรวมกันอยูในชองวางระหวางเซลกลามเนื้อ เนื้อปลาสดมีน้ําเกาะติดมาก จะมีลักษณะแข็งและปริมาณน้ําเกาะติดจะไมเปลี่ยนแปลงมากนักเมื่อนําเนื้อปลา ไปทําใหสุกหรือนําไปแชแข็ง เมื่อนํามาละลายน้ําแข็งก็จะเกิดน้ําเดียงนอยมาก เนื่องจากน้ําเกาะติดกับโปรตีน ดวยพันธะทีแ่ ข็งแรงมาก เมือ่ นําไปผลิตไสกรอก ปลาแผน ลูกชิ้น ฯลฯ จะใหผลิตภัณฑที่เหนี่ยวนุม และหยุน ถาความสดของปลาหรือเนื้อปลาสดลดลงจะทําใหโปรตีนของปลาเกิดการเปลี่ยนแปลง แรงเกาะติดกับน้ําจะ นอยลง น้ําเกาะติดจะเปลี่ยนเปนน้ําอิสระ และไปสะสมอยูในชองวางระหวางเสนใยกลามเนื้อมากขึ้น ทําให เนื้อปลามีความแข็งนอยลง การเปลี่ยนแปลงเชนนี้จะมีมากขึ้นเมื่อปลามีความชื้นสูงอยูแลว เมื่อนําปลาหรือ เนื้อปลาไปทําใหสุกหรือแชแข็งจะทําใหสญ ู เสียน้ํามาก เนื้อปลาจะมีลักษณะแหยะน้ําและยุย สําหรับ ผลิตภัณฑจําพวกไสกรอก ปลาแผน และลูกชิ้นปลาจะมีความหยุนนอยลง สําหรับเนื้อสัตวชนิดอืน่ ๆ น้ําก็มีบทบาทตอลักษณะเนื้อมาก เนื้อสัตวที่ไดจากสัตวที่ถูกฆา ใหม ๆ จะมีคุณสมบัติอุมน้ําไดดี มีน้ําเกาะติดสูงมาก เมื่อนําไปประกอบอาหารหรือทําผลิตภัณฑก็จะได อาหารที่มีเนื้อเหนียวนุม แตถาเนื้อนั้นถูกเก็บไวนานไกลโคเจนจะเปลี่ยนเปนกรดแลคติก และสะสมอยูมาก ทําให pH ของเนื้อสัตวตา่ํ ลง ประจุบนโมเลกุลโปรตีนของเนื้อสัตวจะเปลี่ยนไป การเกิดพันธะกับน้ําจะ นอยลง ทําใหมีน้ําอิสระมากขึ้นในขณะเดียวกันโมเลกุลโปรตีนก็จะหันมาจับตัวกันมากขึ้น ทําใหเนื้อสัตวมี ลักษณะแข็ง และเหนียวมาก เมื่อนําไปประกอบอาหารก็จะมีการสูญเสียน้ํามาก เมื่อการเปลี่ยนแปลงของ เนื้อสัตวมีมากขึ้น โมเลกุลโปรตีนสวนหนึ่งจะถูกยอยใหมีขนาดเล็กลง โดยน้ําจะเขาไปมีสวนอยูดวย การ เปลี่ยนแปลงเชนนี้ ทําใหเนื้อสัตวกลับดูดน้ําเขาไปใหม และทําใหมีเนื้อนุมขึน้ เหมาะสําหรับการประกอบ อาหาร สําหรับปริมาณน้ําที่ใชประกอบอาหารก็มบี ทบาทมากตอลักษณะเนื้อ เมื่อใสน้ําลงในอาหาร ขณะทําการประกอบน้ําบางสวนจะถูกโปรตีนดูดติดไวกับโมเลกุล อีกสวนหนึ่งถูกคารโบไฮเดรตเกาะติดไว
49
และน้ําอีกสวนหนึ่งเกาะติดกับน้ํามันถาน้าํ ที่ใชนั้นมากเกินพอจะมีสวนหนึ่งเปนน้ําอิสระ การที่สารจะดูดน้ํา เขาไปมากนอยเพียงใดนั้นขึน้ อยูกับคุณสมบัติและปริมาณขององคประกอบ มีผูศึกษาการดูดน้ําของสวนผสม ตาง ๆ ของขนมปงปอนด พบวาโปรตีนดูดน้ํารอยละ 31.2 แปงดูดน้ํารอยละ 45.5 และเพ็นโตซานดูดน้ํารอยละ 23.4 อยางไรก็ตามปริมาณน้ําที่สวนผสมดูดเขาไปเพื่อใหเกิดกอนแปงนั้นขึ้นอยูก ับปริมาณโปรตีนและจํานวน เม็ดแปงทีแ่ ตกตัวสามารถดูดน้ําได 2 เทาของเม็ดแปงปกติ การใชน้ํานอยเกินไปจะเกิดกอนที่แข็งหรือไมจับ ตัวกันเปนกอน เมื่อใชนา้ํ มากขึ้นกอนแปงจะนุมและยืดออกไดมากขึ้น แตถาใชน้ํามากเกินไปจะใหสาร แขวนลอย การใสน้ําใหมีปริมาณที่พอดีจะใหขนมปงปอนดที่มีคุณภาพดี ซึ่งสามารถตรวจสอบไดจากการวัด ลักษณะเนื้อของกอนแปงที่เกิดขึ้น ผลิตภัณฑที่เปนเจล เชน แยม เจลลี่ หมูตงั้ วุน ไสกรอกเวียนนา สังขยา ขนมหมอแกง ฯลฯ น้ํามีบทบาทมากในการทําใหแปง โปรตีน หรือไขมันเกิดคอลลอย เม็ดแปงจะดูดน้ําจนกระทั่งโมเลกุลอ มัยโลสและอมัยโลเพคตินหลุดออกมา โมเลกุลแปงเหลานั้นจะจับตัวกับน้าํ ทําใหเกิดน้ําเกาะติดมากมาย สวนผสมจึงมีความเขมขนมากขึ้นเมื่อไดรบั ความรอน ถาความเขมขนของแปงไมสูงมากนักจะใหโซล แตถา ความเขมขนสูงมากจะเกิดเจลเมื่อปลอยใหเย็น โดยที่โมเลกุลอมัยโลสบางสวนจะจับตัวกันดวยพันธะ ไฮโดรเจน โดยที่โมเลกุลอมัยโลสบางสวนจะจับตัวกันดวยพันธะไฮโดรเจน เกิดเปนตาขายในสามทิศทาง และอุมน้ําอิสระไว เรียกวา “เกิดเจล” มีลักษณะหนืดและหยุน ปริมาณน้ําจะเปนตัวกําหนดความนุมของเจล ถามีปริมาณน้าํ มากเจลจะนุม สําหรับโปรตีนจะแตกตัวเปนโมเลกุลเดีย่ ว ๆ โดยมีน้ําจับตัวอยูรอบ ๆ ทําให โมเลกุลโปรตีนมีขนาดใหญขึ้นและทําใหน้ําอิสระเหลืออยูนอยเชนเดียวกัน สารประกอบโปรตีนจึงทําใหเกิด คอลลอย และเกิดเจลไดเหมือนกับแปง ผลที่ไดคือทําใหอาหารมีความหนืดเพิ่มขึ้น เมื่อปลอยใหอาหารเย็น ตัวจะใหเจล สวนน้ํามันจะรวมตัวกับน้ําไดเมื่อมีสารชวยกระจายไขมันรวมอยูด วย อยางไรก็ตามการวมตัวกัน ระหวางน้ํากับน้ํามันจะตองมีวิธีการทําใหน้ํามันแตกตัวออกเปนหนวยเล็ก ๆ คอลลอยที่เกิดขึน้ ทําใหทั้งน้ํา และน้ํามันทีเ่ คยเปนของเหลวมีความหนืดมากขึ้นหรืออยูในสภาพกึ่งเหลว สําหรับอาหารที่มีความชื้นต่าํ หรือมีความชืน้ ปานกลาง ปริมาณน้ําจะเปนตัวกําหนดความแข็ง โดยอาหารจะมีความแข็งมากเมื่อมีความชืน้ ต่ํา ในอดีตเคยใชวิธีการลดความชื้นของอาหารใหต่ําลงจนกระทัง่ จุลินทรียไมสามารถเจริญเติบโตได ทําใหอาหารมีเนื้อแข็งมาก ไมนารับประทาน ในปจจุบนั มีอาหารหลาย ชนิดใชความชืน้ สูงขึ้น หรือใชความชื้นต่าํ แตใสสารบางชนิดแทนน้ํา ทําใหมีเนือ้ นุมขึ้น อาหารเหลานี้ เรียกวา “อาหารความชื้นปานกลาง” (intermediate moisture foods) 2.2 โปรตีน โปรตีนเปนองคประกอบที่สําคัญของเซล จึงพบไดทั่วไปในสิง่ มีชีวิตทั้งพืชและสัตว
50
ซึ่งจะมีทั้งการสรางและการสลายตัว โปรตีนบางชนิดทําหนาที่เปนเอ็นไซม บางชนิดทําหนาที่เปนภูมิคุมกัน บางชนิดทําหนาที่ควบคุมเมตาโบลิซึม และบางชนิดทําหนาที่ใหกลามเนื้อหดตัว ซึ่งจะมีผลทําใหเคลื่อนไหว ได อาจกลาวไดวาโปรตีนมีสวนเกีย่ วของกับการทํางานของรางกายทั้งสิ้น พืชสามารถสรางโปรตีนไดโดยใช สารอนินทรียในธรรมชาติ คือไนโตรเจน น้ํา และคารบอนไดออกไซด มนุษยและสัตวก็สามารถสราง โปรตีนได แตตองใชวัตถุดิบที่เปนพืชหรือสัตว ซึ่งมีโปรตีนอยูแลว เนื่องจากโปรตีนมีความสําคัญมาก มนุษยจึงมีการปลูกพืชและเลีย้ งสัตวไวเปนอาหาร โปรตีนจากแหลงตาง ๆ มีคุณภาพไมเหมือนกัน เกิดจาก กรดอมิโนในโมเลกุลโปรตีนมีสัดสวนตางกัน แตโดยทั่วไปโปรตีนจากสัตวจะมีคุณภาพสูงกวาโปรตีนจาก พืช โปรตีนนอกจากจะมีบทบาททางโภชนาการแลวยังมีบทบาทในการประกอบอาหารดวย โดยทําใหอาหาร มีสี กลิ่น รส และลักษณะเนื้อแตกตางกันไป ซึ่งจะมีผลตอการยอมรับของผูบริโภค การประกอบอาหารมี ผลใหคุณภาพโปรตีนเปลี่ยนแปลงไป โมเลกุลโปรตีนอาจแตกหรือรวมตัวกับสารประกอบอื่น ๆ ทําให คุณภาพอาหารเปลี่ยนแปลงไป บทบาทของโปรตีนในอาหาร โปรตีนมีหนาที่สําคัญมากในอาหาร ซึ่งแบงออกไดเปน 2 สวน คือหนาที่เปนสารอาหารและหนาที่ เปนสารปรุงแตง หนาทีป่ ระการที่สองเกี่ยวของกับอาหารโดยตรง เปนหนาที่ที่ตองอาศัยคุณสมบัติของ โปรตีนที่เรียกกันวา “คุณสมบัติการใชงาน” (functional properties) หนาที่สวนนี้แบงออกเปน 5 ประการ คือหนาที่ใหคุณภาพทางการรับประทาน (ใหสี กลิ่นรส และลักษณะเนื้อ) หนาที่ทําใหอาหารกระจายตัว ละลาย หรือพองตัว หนาที่เปนสารชวยเกาะติด (เปนสารอิมัลซิไฟเออรทําใหเกิดฟอง และทําใหเกิดการดูด ซับ) หนาที่ทําใหอาหารเปลีย่ นรูปและเกิดเจล และหนาที่เปนเอ็นไซม 2.2.1 การทําใหอาหารเกิดเจล อาหารหลายชนิดมีลักษณะเปนเจล โปรตีนสามารถทํา หนาที่เชนนี้ไดอยางดี เจลที่เกิดจากโปรตีนมีความหนืดสูงมาก ทําใหอาหารมีลักษณะปนได (plasticity) และยืดหยุน อาหารที่เกิดเจลมีอยูจํานวนมาก เชน ไขตุน เตาหู เตาฮวย โยเกิรต ไสกรอก ลูกชิ้น หมูยอ ฯลฯ อาหารเหลานี้มีลักษณะเปนเจล โครงสรางจะอุมน้าํ ไดดแี ละเก็บกักสวนผสมอืน่ ๆ ไว อาหารที่จะเกิดเจ ลตองไดรับความรอนกอน ความรอนจะทําใหโมเลกุลโปรตีนเปลี่ยนแปลงไปที่เรียกกันวา “การเปลี่ยนสภาพ” การเปลี่ยนสภาพของโปรตีนแบงออกเปน 2 ขั้นตอน คือในระยะแรกโมเลกุลโปรตีนยืดตัวออกโดยพันธะที่ เคยมีอยูใ นธรรมชาติไดแตกออกบางสวน ตอมาโมเลกุลเหลานัน้ จะเขามามีพนั ธะกันโดยจับตัวกันใน 3 ทิศทางเมื่อสภาพแวดลอมเหมาะสม ขั้นตอนแรกจะใชเวลาเพียงสั้น ๆ การใชอุณหภูมิสูงจะทําใหโมเลกุลยืด ตัวออกไดมาก จะใหเจลแข็งและเนื้อละเอียด เมื่ออุณหภูมิลดลงโมเลกุลที่ยืดตัวออกแลวจะจับตัวกันอยางชา
51
ๆ โดยใชพนั ธะไดซัลไฟด พันธะไฮโดรเจน พันธะไอโอนิก หรือพันธะไฮโดรโฟบิก มีผูศึกษาการเกิดเจ ลของโกลบูลาโปรตีน และโอวาลบูมิน พบวาการเกิดเจลของโกลบูลาโปรตีนทําใหอาหารเปนกอนนุม อาจ ขุนขาวหรือโปรงไสก็ได ขึ้นอยูกับสัดสวนของกรดอมิโนไมมีขั้วและผลรวมของประจุ ถาโปรตีนมีสัดสวน ของกรดอมิโนไมมีประจุมากกวารอยละ 31.5 จะใหเจลขุนขาว แตถาสัดสวนของกรดอมิโนไมมีประจุนอย กวารอยละ 31.5 เจลจะมีลกั ษณะโปรงแสง สวนการเกิดเจลของโปรตีนโอวาลบูมินพบวาขึน้ อยูกับความ เขมขนของโปรตีน pH และกําลังไอโอนิก เมื่อสารละลายมีความเขมขนต่ํามาก pH หางจากจุด IP มาก หรือกําลังไอโอนิกต่ํา โมเลกุลโปรตีนจะไมจับตัวเปนเสนยาว แตเมื่อสารละลายมีความเขมขนสูงขึ้นและ กําลังไอโอนิกต่ํา การจับตัวกันของโมเลกุลโปรตีนจะดีขึ้น ถากําลังไอโอนิกสูงขึ้นสารละลายจะเกิดเจลเมื่อ เขาใกล IP เจลที่ไดมีลักษณะเปนกอนนุม การเกิดเจลแบบนี้มีความสําคัญสําหรับผลิตภัณฑจากโปรตีนถั่ว เหลือง 2.2.2 การทําใหอาหารมีความหนืดสูงขึน้ โปรตีนสามารถจับตัวกับน้าํ ได ซึ่งจะพบ เสมอเมื่ออาหารมีความชื้นสูงขึ้นจะมีความหนืดมากขึ้น หรือทําใหไมแยกชัน้ อาหารที่เปนผงจะจับตัวกันเปน กอนและพองตัว อาหารที่มีเนื้อแข็งจะเปลี่ยนมาเปนเนื้อนุม อาหารที่ทีเนื้อนุมอยูแลวจะเปลีย่ นเปนไหลได และอาหารที่มคี วามหนืดสูงจะเปลี่ยนมามีความหนืดต่ํา ในทางตรงกันขามอาหารที่มีความหนืดต่ําเมื่อมี โปรตีนละลายมากขึ้นจะมีความหนืดสูงขึ้นหรือมีความแข็งมากขึ้น มีอาหารหลายชนิดที่ใชนมหรือโปรตีนนม (เคซีน) หรือโปรตีนจากถั่วเหลืองเพื่อเพิ่มความหนืดหรือปองกันการแยกตัวของน้ํา เชน ชิ้นเนือ้ ประดิษฐ เปนตน เมื่อโปรตีนดูดน้ําจะทําใหอาหารพองตัวและมีปริมาตรเพิม่ เพิ่มขึ้น ฉะนัน้ ความหนืดของ อาหารจะแสดงการละลายของโปรตีน โปรตีนที่ละลายน้ําไดดี เชน อัลบูมิน และโกบูลิน จะทําใหอาหารมี ความหนืดเพิ่มขึ้นไมมากนัก ความหนืดของอาหารจึงแสดงการละลายของโปรตีนเหลานี้ไดไมดนี กั โปรตีนที่ ละลายน้ําไดปานกลาง เชน โซเดียมเคซีเนต ความหนืดของอาหารจะแสดงการละลายของโปรตีนไดดีขนึ้ แตถาโปรตีนนั้นละลายน้าํ ไดนอย เชน โซเดียมโปรตีเนต จะทําใหความหนืดเพิ่มสูงขึ้นมาก ความหนืดจึง เปนตัวชีก้ ารละลายไดดีมาก ปจจัยที่มีผลตอโครงสรางของโปรตีนและการจับตัวกันของโมเลกุลโปรตีนจะมี ผลตอการพองตัวและความหนืดของอาหาร 2.2.3 การทําใหอาหารมีสี มีกลิ่น และมีรส โปรตีนสวนใหญจะไมมีกลิ่นรส หรือมี กลิ่นรสเพียงเล็กนอย แตเมื่ออยูในอาหารจะมีกลิ่นรสแรงขึ้นเนื่องจากไดทําปฏิกิรยิ ากับสารอื่น ๆ เชนสาร dicarbonyl สารที่ไดจากการสลายตัวของน้ําตาลจะทําปฏิกริ ยิ ากับกรดอมิโนใหสารอัลดีไฮดที่เรียกวา
52
Strecker aldehyde และในที่สุดจะเปลี่ยนเปนสาร pyrazines และ pyrroles การที่โปรตีนมีกลิ่นรสที่ดี รวมกับความรูส ึกที่เกิดจากการสัมผัส และลักษณะเนือ้ ที่เหมาะสม จะมีผลใหผบู ริโภคยอมรับ กลิ่นของ โปรตีนจะเกิดขึ้นมากในขณะใหความรอน มีผูพบวาเมื่อโปรตีนไดรับความรอนจะเกิดสารใหกลิ่นรสมากมาย มีทั้งสารประกอบกํามะถันและสารประกอบคารโบนิล ซึ่งอาจเปนกลิน่ รสที่ตองการหรือไมก็ได นอกจากนี้ กลิ่นยังเกิดขึ้นในขณะเตรียมหรือขณะเก็บอาหารดวย บางครั้งพบวาโปรตีนมีกลิ่นหืนดวย การหืนของ โปรตีนเปนปญหามากสําหรับอาหารที่มีกลิ่นรสไมรุนแรง เชน การใชโปรตีนถั่วเหลืองในอาหารตาง ๆ ทํา ใหอาหารเหลานั้นมีกลิ่นถั่ว เปนตน ปญหาเชนนีย้ ังเกิดขึ้นกับโปรตีนนม โปรตีนถั่วเหลือง ปลาปน และ โปรตีนจากพืชอื่น ๆ การกําจัดไขมันออกจะชวยใหโปรตีนมีกลิ่นนอยลง อยางไรก็ตามการสกัดไขมันจะมีผล ใหโปรตีนสูญเสียคุณสมบัตกิ ารใชงานบางสวนไป โปรตีนจะใหกลิ่นมากขึ้นเมื่อโมเลกุลสลายตัวเปนกรดอมิโน หรือเปบไตด นอกจากนี้ยังใหรสดวย การสลายโปรตีนเพื่อใหกลิน่ รสไดปฏิบัติกันมานานแลว เขาใจวาเกิดครั้งแรกในประเทศจีน ตอมาไดนํามาผลิตในประเทศญี่ปุนและประเทศอื่น ๆ ในปจจุบันมีการผลิตกันทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา การสลายตัวของโปรตีนทําไดโดยใชกรดหรือเอ็นไซม สวนโปรตีนที่ใชเปนวัตถุดิบคือถั่วเหลือง ขาวโพด เค ซีน แปงสาลี ยีสตขนมปง และยีสตจากโรงงานผลิตเบียร นอกจากนี้ยังมีการยอยสลายเนื้อปลาและเนื้อกุง ดวย สําหรับผลิตภัณฑที่ไดก็มีปลา ซีอวิ๊ ซอสถั่วเหลือง น้ํามันหอย HVP (hydrolysed vegetable protein), AYE (autolysed yeast extract) ฯลฯ การสลายตัวของโปรตีนใหสารประกอบมากมาย มีทั้งสารใหกลิน่ สารใหรส และสารใหสี สารใหรสเกิดจากกรดอมิโนและสารเปบไตด รสที่เกิดจากกรดอมิโนแบงออกเปน 4 ชนิด คือรสหวาน รสขมรสเปรี้ยว และรสอรอย (drlicious) กรดอมิโนที่ใหรสหวานคือไกลซีน อลานีน ซิ ลีน ทรีโอนีน โปรลีน ไฮดรอกซิโปรลีน ไลซีน และกลูตามีน รสขมเกิดจากกรดอมิโนวาลีน ลูซีน ไอโซลู วีน เมทไทโอนีน เฟนนิลอลานีน ทริฟโตเฟน อาจินนี -กรดเกลือ และฮีสติดีน รสเปรี้ยวเกิดจากกรดอมิโน แอสปาติก และกรดกลูตามิก สวนรสอรอยเกิดจากโซเดียมแอสปาเตต และโมโนโซเดียมกลูตาเมต นอกจากนี้ โครงสรางของกรดอมิโนก็มีผลตอรสดวย กรดอมิโนที่มีรูปแอลฟอรม (L-form) เชน โมโนโซเดียมกลูตาเม ตเมื่ออยูในรูปแอลฟอรมจะใหรสดี แตถาอยูในรูปดีฟอรม (D-form) จะไมมีรส ทริพโตเฟนทีอ่ ยูในรูปแอล ฟอรมจะมีรสขม แตถาอยูในรูปดีฟอรมจะมีรสหวานประมาณ 40 เทาของน้ําตาลซูโครส และถาในรูปดีแอล ฟอรจะมีรสหวานเชนกัน กรดอมิโนที่นํามาใชประกอบอาหารกันมากคือ กรดกลูตามิกในรูปของเกลือ โซเดียม สารชนิดนี้ทําใหอาหารมีรสเค็ม รสหวาน และรสเนื้อ พรอม ๆ กัน ทําใหผูบริโภครูสึกอรอย อยางไรก็ตามรสที่มีอยูในสารชนิดนี้มีนอยมาก แตก็มผี ลใหอาหารมีรสดีขึ้นมาก จึงมักเรียกสารนี้วา “สาร ปรุงรส” การใชสารชนิดนีร้ วมกับสารนิวคลีโอไตด เชน 5’-guanylic acid จะทําใหอาหารมีรสดีเพิ่มขึ้น เนื่องจากสารทั้งสองสามารถทํางานเสริมซึ่งกันและกัน (synergistic) ในประเทศญี่ปุนมีสารชูรสชนิดหนึ่ง
53
เปนที่นิยมใหกันมาก เปนของผสมระหวางโมโนโซเดียมกลูตาเมตและ 5’-ribonucleotides การที่อาหารจะ มีรสอยางไรนั้นไมใชขึ้นอยูก ับกรดอมิโนที่มีอยูเทานั้น แตจะขึ้นอยูก บั กรดอมิโนที่เปนอิสระดวย เนื่องจาก กรดอมิโนสวนหนึ่งที่สลายตัวออกมาแลวจะทําปฏิกิริยากับน้ําตาลหรือสารอื่น ๆ เชน กรดอมิโนซีสตีนจะไม มีเหลือเปนอิสระอยูเลยถาอาหารนั้นมีน้ําตาลอยูดวย กรดอมิโนเมทไทโอนีน ลูซีน และไอโซลูซีนก็เหลืออยู เล็กนอย เนื่องจากเปนสารทีท่ ําปฏิกิริยากับสารอื่น ๆ ไดดี สําหรับสารเปบไตตจะพบไดในอาหารที่สลายตัวดวยกรดหรือเอ็นไซม เปนสารที่ใหรสขม สารชนิดนี้เกิดขึ้นมากถาทําการยอยโปรตีนดวยเอ็นไซม ดวยเหตุนี้การเตรียมเครื่องปรุงรสจากโปรตีนจึงไม นิยมใชเอ็นไซมกันมากนัก ถึงแมจะมีวิธีการปองกันหรือวิธีการกําจัดสารปบไตตออกไปได แตจะมี ประสิทธิภาพไมดีนัก ปญหาเชนนีจ้ ะพบเสมอในการทําซีอิ๊วหรือน้าํ ปลาโดยใชเอ็นไซม สําหรับสารเปบไตต ที่เกิดจากการสลายตัวดวยกรดไมมีปญหามากนักมีปริมาณไมมาก โปรตีนสามารถทําใหอาหารเกิดสีไดดี โดยเฉพาะอาหารที่ไดรับความรอนและมี คารโบไฮเดรตอยูดวยปฏิกิรยิ าที่เกิดขึ้นเรียกวา “ปฏิกิริยาสีน้ําตาล” (browning reaction) และใหสารทีมีสีเรียกวา “เมลานอยดิน” (melanoidin) การเกิดสีมี 3 ขั้นตอน คือระยะแรกจะเกิดสารประกอบ glycosylamine หลังจากนัน้ สารชนิดนี้จะจัดตัวกันใหม ซึง่ ทําได 2 แบบ แบบแรกเรียกกวา Amadori rearangemant ให สารประกอบ 1-amino-1-deoxy-2-ketose (Amadori compound) แบบที่ 2 เรียกวา Heyns rearrangement สารประกอบ Heyns compound สารเหลานี้จะเปลี่ยนไปเปนเมลานอยดินในที่สุด เปน สารสีน้ําตาลเขม การสลายตัวของโปรตีนอาจทําใหเกิดกลิ่นไดหลายทาง การสลายตัวโดยใชเอ็นไซมจะเปน สาเหตุสําคัญทําใหเกิดปฏิกิริยาสีน้ําตาล ซึ่งใหผลพลอยไดเปนสารใหกลิ่นมากมาย เชน แอลกอฮอล อัล ดีไฮด คีโตน กรด และสาร heterocyclics นอกจากนี้ยังทําใหสารใหกลิ่นบางชนิดที่เกาะอยูทโี่ ปรตีนถูก ปลอยออกมาเปนอิสระ สวนการยอยดวยกรดจะใหสารที่มีกลิ่น pyrazines และ pyrroles 2.2.4 การทําใหอาหารเกาะตัว การที่โปรตีนสามารถเกาะตัว ดูดซับ หรือดูดซึม องคประกอบอื่น ๆ ได โปรตีนจึงมีความสําคัญตอคุณภาพอาหาร คําวาเกาะตัวในที่นี้หมายถึงการทําหนาที่ ของโปรตีนโดยการเปนตัวกลางใหอาหารรวมตัวกันเปนของเหลว เปนของกึ่งแข็ง หรือเปนของแข็ง สามารถปองกันองคประกอบที่ระเหยไดระเหยออกไป เชนน้ํา สารใหกลิ่น ฯลฯ อาหารที่ตองการการ เกาะตัวไดแกไสกรอก คัสตารด เจลลี่ ฯลฯ คุณสมบัติการเกาะตัวกันของโปรตีนขึ้นอยูกับ pH และกําลังไอ
54
โอนิกของอาหาร ปจจัยทั้งสองจะมีผลตอประจุและขนาดของโมเลกุลโปรตีน นอกจากนี้ปริมาณ คารโบไฮเดรต ไขมัน และการกวนก็มีผลตอการเกาะตัวกันของโปรตีน โดยปกติโปรตีนสวนทีไ่ มมีประจุจะ จับตัวกับไขมันไดดีทําใหอาหารที่มีไขมันสูงเกาะตัวกัน ในเนื้อสัตวโปรตีนที่ละลายน้ําเกลือไดมีความสําคัญ มาก ทําใหเนื้อเกาะตัวกันแนน โดยเฉพาะผลิตภัณฑจําพวกแฮม ไสกรอก แหนม หมูยอ ฯลฯ การทํา ผลิตภัณฑพวกนี้จึงตองใชเนื้อสัตวที่มีโปรตีนชนิดนี้สูง สําหรับโปรตีนชนิดอื่น ๆ ที่ชวยใหเนื้อสัตวเกาะตัว กันไดดี คือ โปรตีนถั่วเหลือง และนมผง 2.2.5 การทําใหอาหารดูดซับไขมัน การจับตัวของโปรตีนกับไขมันมีความสําคัญมาก สําหรับผลิตภัณฑจําพวกเนือ้ เทียม หรือโปรตีนสําหรับผสมกับเนื้อสัตว (met extender) จะทําใหผลิตภัณฑ พวกนี้มีลักษณะลื่นไหลไดดีเมื่ออยูในปาก ทําใหมคี วามรูสึกที่ดีเมื่อรับประทาน นอกจากนี้ยังมีผลให ผลิตภัณฑเนื้อเทียมมีกลิ่นเหมือนเนื้อสัตวอยางแทจริง อีกทั้งกลิ่นก็ไมจางหายเมื่อไดรับความรอน 2.2.6 การทําใหเม็ดแปงในอาหารดูดน้ําไดนอยลง อาหารหลายชนิดมีสวนผสมที่ ประกอบดวยแปงและโปรตีน เชน ขาวเกรียบ snack กวยเตีย๋ ว เสนหมี่ ฯลฯ โปรตีนที่มีอยูในแปงจะมีผล ใหเม็ดแปงแตกตัวนอยลง เนื่องจากโปรตีนจะตกตะกอนและหอหุมเม็ดแปงไวในขณะไดรับความรอน น้ําจึง ซึมเขาไปในเม็ดแปงไดยาก เม็ดแปงสวนใหญยังคงไมแตก โมเลกุลอมัยโลสขนาดใหญจึงหลุดออกจากเม็ด แปงไดนอย ผลิตภัณฑที่ไดจึงมีเนื้อกรอบรวนถาอยูในสภาพของเจลเปยก แตจะมีลักษณะกรอบแข็งถาอยูใน สภาพของเจลแหง 2.2.7 การทําใหอาหารเกิดอิมัลชั่น ผลิตภัณฑอาหารหลายชนิดที่มีโปรตีนเปนสวนผสม และอยูใ นลักษณะอิมัลชั่น เชน มายองเนส ไสกรอก หมูยอ วิบปงครีม เปนตน อาหารเหลานี้จะใช โปรตีนเปนสารอิมัลซิไฟเออร ซึ่งก็ทําหนาที่ไดเปนอยางดีถึงแมอาหารแตละชนิดจะมีลักษณะแตกตางกัน ออกไป มีผูศึกษาความสามารถของโปรตีนในเชิงสารอิมัลซิไฟเออรของเนื้อสัตวเมือ่ มี pH และปริมาณเกลือ ตาง ๆ กัน พบวาโปรตีนแตละชนิดมีความสามารถในเชิงสารอิมัลซิไฟเออรแตกตางกันไปโปรตีนที่ละลายน้ํา ไดดีจะมีความสามารถในเชิงสารอิมัลซิไฟเออรมากขึ้นเมือ่ อาหารมีเกลือเขมขน 0.5-2.0 โมลาร และมี pH 4.0-7.8 แสดงวาเกลือมีผลใหโปรตีนละลายน้ําไดดีขนึ้ สวนโปรตีนที่ละลายน้ําเกลือมีความสามารถในเชิง สารอิมัลซิไฟเออรไมเปลี่ยนแปลงในอาหารที่มีเกลือเขมขน 0.3-1.2 โมลาร แตถา pH สูงหรือต่ํากวา 5.06.0 โปรตีนจะละลายน้ําไดนอยลง การเพิ่มปริมาณเกลือลงไปจะทําใหความสามารถในเชิงสารอิมัลซิไฟเออร ดีขึ้น เนื่องจากโปรตีนละลายน้ําไดดีมากขึน้
55
สําหรับการทําใหเกิดอิมัลชั่นของโปรตีนจากถั่วเหลือง พบวาเมื่อโปรตีนอยูในรูปโซเดียมโปรตี เนตจะแสดงคุณสมบัติของสารอิมัลซิไฟเออรดีที่สุดที่ pH 10.7 และกําลังไอโอนิกเทากับ 0.05 แตก็มี คุณสมบัติของสารอิมัลซิไฟเออรไดดีที่ pH 6.9 และกําลังไอโอนิกเทากับ 0.3 ถากําลังไอโอนิกของอาหาร สูงขึ้นคุณสมบัติของสารอิมัลซิไฟเออรจะลดลง นอกจากโปรตีนทั้ง 2 ชนิดดังที่กลาวมาแลว ยังมีผูศึกษาความสามารถในเชิงอิมัลซิไฟเออรของ โปรตีนชนิดอืน่ ๆ อีกมากมาย เชน โปรตีนนม โปรตีนปลา โปรตีนเมล็ดฝาย โซเดียมเคซีเนต ฮีโมโกลบิน นมปราศจากไขมัน เปนตน พบวาความสามารถในเชิงสารอิมัลซิไฟเออรขึ้นอยูกบั เวลาที่ใชละลายโปรตีน ปริมาณน้ํามันที่ใช ชนิดของน้ํามัน อุณหภูมิ ความเร็วของการผสม และ pH จากขอมูลที่ได จากการศึกษา เหลานี้มีประโยชนมาก และทําใหมีผูนําโปรตีนเหลานีม้ าใชในอาหารอิมัลชั่นมากขึ้น 2.2.8 การทําใหอาหารเกิดโฟม อาหารหลายชนิดตองการใหมลี ักษณะเนื้อทีฟ่ ูและเบา ทําใหตองผสมโฟมลงไปหรือตีใหเกิดโฟม เชน แองเจลเคก สปนจ เมอรแรง ฟดจ ฯลฯ โดยปกติโฟมใน อาหารเปนฟองอากาศที่ถูกหอหุมดวยของเหลวที่มีสารชวยเกาะติดละลายอยู สารชวยเกาะติดจะทําหนาที่ลด ความตึงผิวของของเหลวใหต่ําลง โปรตีนหลายชนิดทําหนาที่เปนสารชวยเกาะติดไดดี หุมฟองอากาศไวและ เกิดเปนเยื่อบางที่มีความเหนียวมากพอที่จะปองกันไมใหฟองอากาศแตกและรวมตัวกันไดอีก โปรตีนที่ เหมาะสมตองเกิดเปนเยื่อบางหุมฟองอากาศไดดีและยืดออกไดมาก สามารถเปลี่ยนสภาพไดบางเมื่อสัมผัสกับ ความรอนหรือความเย็น อยางไรก็ตามไมตองการโปรตีนที่เปลี่ยนสภาพโดยสิ้นเชิง มิฉะนั้นผิวของฟองจะ กรอบและแตกงาย มีปจจัยหลายอยางทีม่ ีผลตอการเกิดโฟมของโปรตีน เชน แหลงโปรตีน วิธีการเตรียม โปรตีน องคประกอบของโปรตีน การละลาย ความเขมขน pH อุณหภูมิ น้ําตาล และไขมัน ทําให การศึกษาการเกิดโฟมของโปรตีนมีปญหามาก ผลของการศึกษาก็ไมสอดคลองกันมากนัก pH จะมีผลตอการเกิดโฟมของโปรตีนมาก การเกิดโฟมจะดีมากที่สุดที่ pH สูงกวา IP เล็กนอย มีผพู บวาเกลือจะมีผลตอการเกิดโฟมของโปรตีนแตกตางกันมาก โปรตีนถั่วเหลืองและโปรตีนปลา จะเกิดโฟมไดดีขึ้นถาความเขมขนของเกลือเทากับรอยละ 2.0 และ 2.9 ตามลําดับ แตความอยูตัวของโฟ มโปรตีนถั่วเหลือง ไขขาว และแปงสาลีจะลดลงมาก การที่เกลือมีผลตอการเกิดโฟมไมเทากันเชื่อกันวาเกิด จากการละลายไมเทากันของโปรตีน ที่ความเขมขนต่ําโปรตีนที่ละลายไดดีจะใหโฟมที่อยูตัว เมือ่ ใสเกลือลง ไปในโปรตีนชนิดนี้มากขึ้นหรือทําใหการละลายลดลงโฟมจะอยูตัวดีขึ้น อยางไรก็ตามถาการใสเกลือลงไป มากขึ้น แลวทําใหความอยูตัวนอยลงเกิดจากเกลือไดชะลอการเปลี่ยนสภาพของโปรตีน สําหรับขอมูลที่ เกี่ยวกับผลของเกลือที่มีผลตอการละลายของโปรตีนที่อุณหภูมิและ pH ตาง ๆ กันยังมีไมมากนัก
56
การตีโฟมไขขาวจะทําไดชาที่อุณหภูมิ 40C แตจะตีโฟมไดดีขึ้นที่อณ ุ หภูมิ 230C ที่อุณหภูมิต่ํา โปรตีนละลายน้ําไดนอยและมีความตึงผิวสูง น้ําตาลทําใหโปรตีนตกตะกอนชาลง ทําใหเกิดโฟมไดนอยลง แตทําใหโปรตีนกระจายตัวบนผิวของอากาศอยางสม่ําเสมอ โฟมที่ไดจึงมีเนื้อเนียนและอยูตัวดี กรดจะชวย ใหไขขาวเกิดโฟมไดมากขึน้ และเปนโฟมที่อยูตัวดีถา pH ของไขประมาณ 6.0 2.2.9 การทําหนาที่เปนเอ็นไซม เอ็นไซมทุกชนิดเปนโปรตีน มีหนาที่ชวยใหปฏิกิริยา เคมีในสิ่งมีชีวติ ดําเนินไปในเซล โมเลกุลเอ็นไซมประกอบดวยกรดอมิโน 200-1,000 หนวย โดยปริมาณและ การจัดลําดับของกรดอมิโนแตละชนิดจะควบคุมโดยยีน (gene) ทําใหเอ็นไซมแตละชนิดมีการจัดโครงสราง ของโมเลกุลแตกตางกัน และทําใหขอบเขตการทํางานแคบลง สามารถจับตัวกับสารไดเฉพาะอยาง การ เปลี่ยนแปลงหรือการสลายตัวจึงเกิดขึ้นกับสารบางชนิดเทานั้น เอ็นไซมบางชนิดตองรวมตัวกับสารอื่นกอน จึงจะอยูในรูปที่ทํางานได สารที่เขามารวมตัวกับเอ็นไซมเรียกวา cofactors ซึ่งอาจมีทั้งโลหะและสารอินทรีย เอ็นไซมสามารถแบงออกไดเปน 6 กลุมโดยถือเอาปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเปนหลัก คือ hydrolases, transferases, oxidoreductases, isomerases, lyases และ lygases เอ็นไซมที่อยูในกลุมเหลานี้ไดจาก พืช สัตว และจุลินทรีย โดยนําเอาวัตถุดิบเหลานี้มาทําใหเซลแตก แยกเอาของเหลวออกมา แยกเอ็นไซม ออกจากของเหลว แลวทําใหบริสุทธิ์ เอ็นไซมในอาหารไดมาจาก 3 แหลง คือเอ็นไซมที่อยูในวัตถุดิบ เอ็นไซมที่ใสลงไป และ เอ็นไซมที่เกิดขึ้นในจุลินทรีย เอ็นไซมในวัตถุดิบมีผลดีตออาหารมาก ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงตาง ๆ กัน อยางไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดผลเสียมากกวาถาไมมีการควบคุมการทํางานใหเหมาะสม ในปจจุบัน มีการนําเอ็นไซมมาใชประโยชนมากมายโดยมีวัตถุประสงคการใชตาง ๆ กัน เชน ลดความหนืดของอาหาร ชวยการสกัดสารตาง ๆ ออกจากวัตถุดิบ ชวยทําใหอาหารมีกลิ่น รส สี และลักษณะเนื้อดีขนึ้ ทําใหคุณภาพ การใชงานขององคประกอบอาหารดีขึ้น เปนตน อาหารที่ไดจากการทํางานของเอ็นไซมจึงมีอยูม ากมาย เชน แปงแปรรูป อาหารอบ เบียร สุรา นมเปรี้ยว ผักและผลไมดอง เนื้อสัตวหมัก ไขผล ชา กาแฟ ฯลฯ 2.3 คารโบไฮเดรต คารโบไฮเดรตเปนองคประกอบของอาหารที่มีปริมาณมากรองจากน้ํา พบ ไดในผัก ผลไม ธัญชาติ และพืชหัว นอกจากนีย้ ังพบเล็กนอยในนม เลือด และกลามเนื้อสัตว เปนแหลง พลังงานที่สําคัญและมีราคาถูกที่สุดของมนุษย อาหารของมนุษยรอยละ 60 ไดจากองคประกอบนี้ รางกาย ตองการคารโบไฮเดรตไมใชเพื่อพลังงานเทานั้นแตยังทําใหรางกายใชไขมันไดอยางมีประสิทธิภาพ ทําหนาที่ กําจัดสารบางชนิดออกจากรางกายในรูปของไกลโคไซด ทําหนาที่เปนแหลงอาหารของจุลินทรียบางชนิดที่
57
เจริญเติบโตในลําไส นอกจากนี้คารโบไฮเดรตยังมีบทบาทมากในการประกอบอาหาร ทําใหอาหารมีกลิ่น สี และลักษณะเนื้อตามที่ตองการ นักวิทยาศาสตรการอาหารแบงคารโบไฮเดรตออกเปน 2 กลุมคือ น้ําตาลเดี่ยว (simple sugars) และน้ําตาลผสม (compound sugars) โดยถือเอาหนวยเล็ก ๆ ทีไ่ ดจากการแตกตัวดวยน้ําเปนหลัก น้ําตาล เดี่ยว เชน กลูโคส ฟรุคโตส ฯลฯ ไมสามารถแตกตัวออกไปไดอีก จึงมักเรียกวา “น้ําตาลชั้นเดียว” (monosaccharides) สวนน้ําตาลผสมสามารถแตกตัวใหน้ําตาลชั้นเดียวไดมากกวา 1 หนวย แบงยอย ออกเปน 2 กลุม คือกลุมน้ําตาลนอยชัน้ (oligosaccharides) และกลุมน้ําตาลหลายชั้นหรือน้ําตาลมากชั้น (polysaccharides) สารโพลีแซคคาไรดในธรรมชาติพบทั้งในพืชและในสัตว ในพืชสารโพลีแซคคาไรดอยูในรูปของ แปง เซลลูโลส น้ําสกัดจากสาหรายทะเล (อัลจิเนต คาราจีแนน วุน และเฟอเซลลาราน) น้ํายางจากพืช (อา ราบิก คารายา และทรากาคานต) กัมจากเมล็ดพืช (โลกัสบีนกัม กัวกัม) น้ําสกัดจากพืช (เพ็คติน) ในสัตว สารโพลีแซคคาไรดอยูในรูปของกัมจากจุลินทรีย (แซนแทนกัม) ไคติน และไกลโคเจน บทบาทของสารโพลีแซคคาไรดในอาหาร สารโพลีแซคคาไรดในอาหารมีบทบาทที่สําคัญ 2 ประการ เชนเดียวกับโปรตีน คือเปนสารอาหาร และเปนสารปรุงแตง บทบาทแรกมักพบเสมอในอาหารที่มีสารโพลีแซคคาไรดอยูโ ดยธรรมชาติ อยางไรก็ ตามอาหารบางชนิดตองใสสารโพลีแซคคาไรดลงไปหรือทําจากสารโพลีแซคคาไรด เชน อาหารเยื่อใยสูง อาหารพลังงานต่ํา เปนตน สวนบทบาทประการทีส่ องตองอาศัยคุณสมบัติที่เรียกกันวา “คุณสมบัติการใช วาน” เปนบทบาทที่เกี่ยวของกับการประกอบอาหารโดยตรง สารโพลีแซคคาไรดที่ใชมักถูกสกัดออกมากอน อยูในรูปของสารแหงหรือผงละเอียด การที่สารโพลีแซคคาไรดมีคุณสมบัตหิ ลายอยางทําใหการใชอาหาร เปนไปอยางกวางขวาง เชน เปนสารชวยใหอาหารขน เปนสารอิมัลซิไฟเออร เปนสารชวยใหอิมัลซิไฟเออร และโฟมอยูตวั ทําใหอาหารมีลักษณะเนือ้ ที่ดี ทําใหอาหารนุม ทําใหอาหารมีสีน้ําตาล ชวยใหการหมัก แอลกอฮอลดีขึ้น ทําใหอาหารมีกลิ่นรสดีขึ้น 2.3.1 การทําใหอาหารขนหนืด สารโพลีแซคคาไรดที่มีกิ่งกาน โดยเฉพาะกิ่งกานที่มี หลายลักษณะจะใหโซลที่ขนหนืดและอยูต ัว เนื่องจากโมเลกุลไมสามารถเขาใกลกันและจับตัวเปนเจลได ความหนืดขึ้นอยูกับขนาดของโมเลกุล รูปรางและประจุ สารโพลีแซคคาไรดที่มีขนาดใหญจะใหโซลที่มี
58
ความหนืดสูงกวาสารโพลีแซคคาไรดที่มีขนาดเล็กวา (ถาเปนสารชนิดเดียวกัน) สารโพลีแซคคาไรดที่มี โมเลกุลเปนเสนยาวจะใหความหนืดสูงกวาสารที่มีโมเลกุลมีกิ่งกาน ถาความเขมขนเทากันหรือน้ําหนัก โมเลกุลเทากัน โมเลกุลที่มีกิ่งกานมากจะพองตัวไดนอยกวาโมเลกุลที่ไมมีกิ่งกานเมื่อน้ําหนักโมเลกุลเทากัน สําหรับสารโพลีแซคคาไรดที่แตกตัวใหอนุมูลได เชน สารที่มีกลุม คารบอกซิลจะเกิดเจลไดดถี า pH สูงกวา 2.8 เนื่องจากในสภาพเชนนี้โมเลกุลจะไมแตกตัว การมีประจุทําใหความหนืดของสารละลายเพิ่มขึ้น เปนผล มาจากการผลักกันของโมเลกุล เมื่อทําการกวนโมเลกุลไมสามารถเคลื่อนที่เปนเสนตรงได การตานทานการ ไหลจึงเกิดขึ้นมาก นอกจากนี้ยังเกิดจากการพองตัวที่เกิดขึ้นมาก โดยเฉพาะโมเลกุลเปนเสนยาวและสามารถ ยืดออกไดเต็มที่ การใสสารที่มีประจุลงไปจะทําใหความหนืดเปลีย่ นแปลงไป เนือ่ งจากสารชนิดนี้มีผลตอ รูปรางและขนาดของโมเลกุล นาอกจากนี้ยังมีผลตออนุมูลที่มีประจุตรงกันขามทีล่ ะลายอยู สําหรับสารโพลี แซคคาไรดที่เปนแปงความหนืดจะถึงจุดสูงสุดเมื่อเม็ดแปงพองตัวมากที่สุด ความหนืดจะลดลงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเม็ดแปงแตกตัว สารโพลีแซคคาไรดจะหลุดออกมาและกระจายตัวออกไปในน้ํา เมื่ออยูใ นสารโพลีแซค คาไรดจะยืดตัวออก ซึ้งทําไดดีที่สุดเมื่อมีความเขมขนต่ํา เมื่อสารละลายมีความเขมขนสูงขึ้นความหนืดจะ เพิ่มขึ้นอยางรวดเร็วและไมเปนปฏิภาคโดยตรงกับความเขมขน เนื่องจากความหนืดที่เพิ่มขึ้นสวนหนึ่งเกิดจาก ปริมาณน้ําที่เปนอิสระนอยลง และอีกสวนหนึ่งเกิดจากโมเลกุลจับตัวกัน เกลือและน้ําตาลทําใหสารกลุมนี้ดูด น้ําไดนอยลง เนื่องจากสารทั้งสองรวมตัวกับน้ําไดดีจึงแยงน้ํากัน ทําใหสารโพลีแซคคาไรดจับตัวกับน้ําได นอยลงและหันไปจับตัวกันเองมากขึ้น ทําใหโมเลกุลมีขนาดเล็กลง ความหนืดจึงลดลง ตัวอยางที่เห็นได ชัดเจนคือการใสน้ําตาลลงในแยมเพื่อใหเกิดเจล สวนกรดหรือดางมีผลนอยมากถา pH ของอาหารอยูระหวาง 3.0-10.0 2.3.2 การทําใหอาหารเกิดเจล โดยปกติแลวสารโพลีแซคคาไรดที่มีโมเลกุลยาวเมื่ออยู ในสารละลายจะมีสวนหนึ่งของโมเลกุลจับตัวกับโมเลกุลอื่น ๆ ที่อยูใกลกัน และปลอยโมเลกุลน้ําที่เคยจับอยู ใหหลุดออกไป การจับตัวกันนั้นอาจแข็งแรงมากพอที่จะไมทําใหแตกตัวออกจากกันเมื่ออยูที่อณ ุ หภูมิหอง โดยเฉพาะโมเลกุลที่มีการจับตัวกันมากกวา 2 ตําแหนงจะแข็งแรงมาก นอกจากนี้ยังมีโมเลกุลอื่น ๆ มาจับ เพิ่มเติมที่จดุ เดียวกันอีก ถาจํานวนโมเลกุลที่จับตัวกันนั้นมีมากพอจะเกิดอนุภาคขึ้นและตกตะกอนออกมา ปรากฏการณเชนนี้จะเกิดขึ้นกับแปง (starch) การจับตัวกันอีกแบบหนึ่งที่พบเสมอ ๆ คือนอกเหนือจาก 2 โมเลกุลที่จับตัวกันแลวยังมีโมเลกุลที่สามมาจับตัวกับโมเลกุลที่สอง โมเลกุลที่สี่มาจับมาจับตัวกับโมเลกุลที่ สามและเรื่อยไป โดยตําแหนงที่จับตัวกันนั้นจะแตกตางกันไป ดวยเหตุนแี้ ตละโมเลกุลจึงจับกับโมเลกุลอืน่ ๆ มากกวา 1 ตําแหนง ทําใหเกิดโครงสรางเหมือนรางแหใน 3 ทิศทาง โดยมีโมเลกุลน้ําแทรกอยูทั่วไป โครงสรางที่เกิดขึ้นเรียกวา “เจล” ความแข็งแรงของเจลขึ้นอยูกับความแข็งแรงของสวนที่จับตัวกัน ถาสวนที่ จับตัวกันมีระยะสั้นมาก การจับตัวกันจะไมแข็งแรงมากนัก เจลจะถูกทําลายไดงา ยเพียงกวนเบา ๆ หรือใช
59
ความรอนเพียงเล็กนอย ในทางตรงกันขามถาสวนที่จบั ตัวกันมีระยะยาวมาก การจับตัวกันจะแข็งแรงมาก เจลจะทนความรอนไดดี 2.3.3 การทําหนาที่เปนสารเสถียร สารเสถียรหรือสารชวยใหอยูตัว (stabilizers) หมายถึงสารที่ทําหนาที่ไมใหอาหารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพไปในทิศทางที่ไมตองการ ซึ่งมีหนาที่ อยางนอย 5 ประการ คือปองกันการแยกตัวของน้ํา ปองกันการแยกตัวของน้ํามัน ปองกันการตกผลึก ปองกันตะกอนของอนุภาค และปองกันการแยกตัวของโฟม หนาที่เหลานี้เกีย่ วของกับความหนืดทั้งสิ้น สาร โพลีแซคคาไรดชวยทําใหอิมลั ชั่นอยูตัวไดดี โดยเฉพาะอิมัลชั่นชนิดน้ํามันในน้ํา สารโพลีแซคคาไรดไมใช สารอิมัลซิไฟเออร จึงไมทําใหอิมัลชั่นอยูต ัวดวยวิธีการจับตัวกระจายและทํากระจายไวดวยกันดังเชนสารอิมัล ซิไฟเออรโดยทั่วไป แตจะทําใหความหนืดของน้ําเพิ่มขึ้น เปนการลดหรือปองกันเม็ดไขมันเคลื่อนที่เขามาจับ ตัวกันหรือรวมตัวกัน สารโพลีแซคคาไรดบางชนิด เชน กัมอาราบิกจะทําใหอิมัลชั่นอยูตวั โดยทําหนาที่เปน protective colloid คือ เคลือบผิวของเม็ดไขมันไว ทําใหไขมันมีประจุและไมสามารถเขาใกลกนั ได แตก็มี สารโพลีแซคคาไรดบางชนิดทําหนาที่เปนสารเกาะติด โดยลดความตึงผิวที่หนาสัมผัสใหต่ําลง ในกรณีเชนนี้ อิมลั ชั่นจะอยูต ัวดี สารโพลีแซคคาไรดอีกหลายชนิด โดยเฉพาะที่อยูในกลุม “กัม” เชน กัมอาราบิก กัวกัม แซนแทนกัม เปนตน สามารถละลายน้ําไดดี จึงใชเปนอาหารเพื่อแกปญหาการแยกตัวของน้ํา สารเหลานี้จะ จับตัวกับน้ําและแยกตัวออกมา อาหารจําพวกไอศกรีมและอาหารแชแข็ง ผลึกน้ําแข็งขนาดเล็กจะเกิดขึ้นใน ระยะแรกของการผลิต แตจะหมดไปเมื่อเก็บไวนาน ในขณะเดียวกันก็มีผลึกขนาดใหญเกิดขึ้น เนื่องจาก อุณหภูมิที่ใชเก็บไมคงที่ ทําใหผลึกน้ําแข็งละลายและแข็งตัวใหม ผลึกน้ําแข็งขนาดเล็กจึงคอย ๆ หมดไป การใสกัวกัมลงไปจะชวยทําใหผลึกน้ําแข็งมีขนาดสม่ําเสมอและไมเพิ่มขนาดเมื่อเก็บไวนาน ปองกันการหด ตัว และชวยใหการตีฟองมีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยสารโพลีแซคคาไรดจะทําหนาที่ 2 ประการ คือ การเขา ไปจับตัวที่ผลึก และการแยงน้ําทีจ่ ําเปนสําหรับการเกิดผลึก สารโพลีแซคคาไรดจะเขาไปเกาะกับผลึกได จะตองมีโครงสรางที่เหมาะสม สามารถเขาไปจับตัวกับผลึกได อาจตองมีการจัดตัวภายในโมเลกุลกอน สมมติวากลุมที่เขาไปจับตัวมีประจุลบ เชน กลุมคารบอกซิล เปนตน กลุมนี้จะตองหมุนตัวใหอยูในตําแหนง ที่จะเขาไปมีพนั ธะไฮโดรเจนกับออกซิเจนในผลึกได สําหรับการแยงน้ํากับสารทีจ่ ะเกิดผลึกนั้นจะทําใหผลึก ไมสามารถเพิ่มขนาดไดอกี ตอไป ในกรณีที่เปนผลึกน้ําแข็งสารโพลีแซคคาไรดจะทําใหขาดน้ําอิสระ ผลึก น้ําแข็งจึงไมสามารถเพิ่มขนาดได สารโพลีแซคคาไรดที่ใชกนั มากคือโซเดียมอัลจิเนต วุน ผสมหางนม และเพ็คติน 2.3.4 การทําใหเกิดฟลมบนผิวของอาหาร อาหารหลายชนิดใชสารโพลีแซคคาไรด
60
เคลือบผิวเพื่อปองกันการสูญเสียความชื้นปองกันการหลุดลุยของเนื้อ ปองกันไมใหเหนอะหนะติดมือ และ ปองกันการสูญเสียกลิ่นรส มีผูใชสารคารบอกซีเมทิลเซลลูโลสและกัมอื่น ๆ เคลือบผิวผลไม โดยนําผลไมมา คลุกกับสารเหลานนี้แลวทําใหเปยก สารที่แทรกตัวเขาไปในรูเล็ก ๆ ของผิวผลไมจะพองตัวและอุดรูไว ทําให ปองกันการสูญเสียความชื้นและกลิ่นรสได นอกจากนี้ยังปองกันอากาศไมใหเขาไปและเกิดการออกซิเดชั่น ความเหนอะหนะของผลไมแชอิ่มก็สามารถลดลงไดถาเคลือบดวยสารละลายหรือหุม ดวยแผนฟลม อมัยโลส ทําใหปองกันการเจริญเติบโตของเชื้อราและปองกันการจับตัวเปนกอนเมื่อใชเคลือบองุนแหง นอกจากนีย้ ังใช กับอาหารอื่น ๆ ดวย เมื่อชุบอาหารลงในของผสมระหวางคาราจีแนนกับเมทิลเซลลูโลสแลวนําไปทําใหรอน มีอุณหภูมิ 930C จะเกิดฟลม รอบ ๆ ชิ้นอาหาร ปองกันการสูญเสียน้ําได แตถาชุบของผสมดังกลาวแลวนําไป ชุบขนมปงปนอีกครั้งหนึ่งจะปองกันการหลุดลุยของขนมปง อาหารทอด เชน กุงทอด ไกทอด ปลาทอด ฯลฯ จะมีกลิ่นดีขึ้น 2.3.5 การทําใหเกิดการหมัก สารโพลีแซคคาไรดที่เกีย่ วของกับการหมักคือไกลโคเจน เมื่อนําเนื้อสัตวมาหมักไกลโคเจนจะเปลี่ยนไปเปนกรดไพรูวิกและกรดแลคติกในที่สดุ ในระยะแรกของการ หมักไกลโคเจนจะตองถูกเปลี่ยนไปเปนน้ําตาลกลูโคสกอนโดยใชเอ็นไซม 2 ชนิด คือ glycogen 1phosphorylase และ phosphoglucomutase เอ็นไซมชนิดแรกจะเปลี่ยนไกลโคเจนเปน glucose 1phosphate หลังจากนัน้ เอ็นไซมชนิดที่สองจะเปลี่ยน glucose 1-phosphate เปน glucose 6-phosphate ซึ่งสารชนิดนี้จะเขาสูกระบวนการ glycolysis และเปลีย่ นไปเปนกรดแลคติกในที่สดุ 2.3.6 การทําหนาที่เปนสารลดพลังงาน การใชสารโพลีแซคคาไรดที่ไดกลาวมาแลว ทั้งหมดจะเห็นไดวาอยูในลักษณะของสารปรุงแตงอาหารทั้งสิ้น แตในปจจุบันมีการใชสารโพลีแซคคาไรดใน อาหารเพื่อจุดประสงคอื่น ๆ ดวย เชนเปนอาหารพลังงานต่ํา อาหารที่รูจักกันดีคือวุนสวรรค (nata) และ คอนยัค (konjac) วุน สวรรคเปนสารเซลลูโลสที่ผลิตโดยการหมักโดยใชวัตถุดบิ เปนน้ํามะพราวหรือน้ํา สับปะรดก็ได 2.4 ลิปด คําวาลิปด (lipids) หมายถึงไขมันหรือสารที่เหมือนไขมัน เปนองคประกอบของอาหาร ที่ไมละลายน้ําแตละลายไดในตัวทําละลายไขมันที่เปนสารอินทรีย พบไดในสิ่งที่มชี ีวิตทั้งพืชและสัตว สวน ใหญเปนสารที่มีกรดไขมันอยูดวย นอกจากสารสเตอรอล (sterola) เทอรปน (terpenes) และวิตามินที่ ละลายในน้ํามัน (fat-soluble vitamins) เทานั้น ลิปดมีบทบาทมากในการประกอบอาหาร สวนหนึ่ง เกี่ยวของกับคุณภาพอาหาร ซึ่งไดแกกลิ่นรส ความอรอย ความนุม และความมัน อีกสวนหนึ่งเกี่ยวของกับ การประกอบอาหาร โดยทําหนาที่เปนตัวกลางทําใหอาหารสุก
61
บทบาทของลิปดในอาหาร การใชลิปดในอาหารสวนใหญจะอยูใ นรูปของน้ํามันหรือไขมัน คือมีการกําจัดไขมันอิสระ ฟอสโพลิปด กัม และสิ่งเจือปนอื่น ๆ ออกไปกอนนําไปใช อยางไรก็ตามอาหารหลายชนิดก็มีลปิ ดในสวนผสม โดยเฉพาะ อาหารจากเนื้อสัตวและธัญชาติ การใชสวนผสมของอาหารที่มีลิปดอยูดว ย และการใชน้ํามันบางชนิดใน ลักษณะของน้าํ มันดิบทําใหองคประกอบอื่น ๆ นอกเหนือไปจากน้ํามันมีบทบาทในการประกอบอาหารมาก 2.4.1 การทําใหเกิดสี ลิปดในสัตวมักอยูรวมกับโปรตีน เมื่อลิปดเกิดการเติมออกซิเจนจะ มีผลใหเหล็กเฟอรัสในไมโอโกลบินเกิดการเติมออกซิเจนเร็วขึ้น และเปลี่ยนไปเปนเมทไมโอโกลบิน เนื้อสัตวจะเปลี่ยนเปนสีนา้ํ ตาล ซึ่งจะทําใหผูบริโภคไมยอมรับ เหล็กจากฮีโมโกลบิน และเหล็กจาก สารประกอบอืน่ ๆ ที่ไมใชจากฮีมจะชวยเรงใหการเปลี่ยนแปลงดังกลาวเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกลาวจะ เกิดเร็วมากในเนื้อแหง น้ํามันหมูก็เปนผลิตภัณฑจากเนือ้ สัตวที่อยูในรูปของลิปดและมักเกิดสีเขม เปนลิปดที่ ไดจากการเจียวเนื้อไขมันดวยความรอน ถาอุณหภูมทิ ี่ใชเจียวสูงมากสีจะเขมมากขึ้น เปนสีที่เกิดจากการ สลายตัวของโปรตีนและคารโบไฮเดรต อาจมีสีเหลืองเขมหรือสีเหลืองแดง เมื่อนําน้ํามันหมูไปประกอบ อาหารจะทําใหอาหารมีสีเขมดวย แปงถั่วเหลืองไขมันเต็มที่เก็บไวนานจะมีสีเหลืองเขม เกิดจากไขมันมีการ เติมออกซิเจน ทําใหเกิดสารประกอบใหสี chroman-5,6-quinones 2.4.2 การทําใหอาหารมีกลิ่นผิดปกติ กลิ่นที่เกิดจากลิปดในอาหารมีสาเหตุมาจาก 3 ประการ คือประการแรกเปนกลิ่นที่เกิดจากสารที่มีอยูแ ลวในลิปด ประการที่สองเปนกลิ่นของสารที่เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงทางเคมี และประการที่สามเปนกลิ่นทีม่ าจากสารที่เกิดขึ้นในกระบวนการทําใหนา้ํ มันบริสุทธิ์ สําหรับประการแรกนั้นเกิดขึน้ โดยการใชวตั ถุดิบที่มีลิปดอยูดวยในการประกอบอาหาร เชน แปงถั่วเหลือง ไขมันเต็ม ถั่วลิสงคั่ว งาคั่ว น้ํามันหมู เนือ้ สัตว เปนตน วัตถุดิบเหลานี้มีองคประกอบของลิปดหลายชนิดที่ มีกลิ่นผิดปกติ เชน เทอรปน ฟอสโฟลิปด น้ํามันและไขมัน เปนตน มีผูพบวาสารฟอสโฟลิปดจะทําให อาหารจากเนื้อสัตวมีกลิน่ ผิดปกติไดถึงแมเนื้อสัตวนั้นมีไขมันต่ํามาก สารฟอสโฟลิปด เชน ฟอสฟาติดิลซีรีน และฟอสฟาติดิลเอทานอลามีนในเนื้อวัวและเนื้อหมูจะทําใหเนื้อสัตวเหลานั้นมีกลิ่นเฉพาะเมื่อเกิดการเติม ออกซิเจน เมื่อเก็บอาหารไวนานกรดไขมันจะเกิดการเติมออกซิเจนใหสารประกอบอัลดีไฮดและคีโตนหลาย ชนิด เชน เมทิลคีโตน โนนิลตีโตน เปนตน เปนสารที่มีกลิ่นผิดปกติ การใชน้ํามันที่ผานขั้นตอนการทําให บริสุทธิ์มาแลวก็อาจทําใหอาหารมีกลิ่นผิดปกติได โดยเฉพาะน้ํามันพืชที่มจี ําหนายอยูใ นประเทศไทย เนื่องจากน้ํามันเหลานั้นไดผา นขั้นตอนการกําจัดกรดไขมันอิสระดวยดาง ทําใหเกิดสบูขึ้น ถึงแมจะมีขั้นตอน
62
การกําจัดสบูออกไปแลวก็ตาม แตก็อาจมีสบูหลงเหลืออยูบาง 5-10 สวนในลานสวน การใชน้ํามันดังกลาว ในการประกอบอาหารจึงมีกลิ่นสบู 2.4.3 การปองกันไมใหอาหารเกิดฟอง ลิปดสามารถปองกันการเกิดฟองในอาหารได โดยเฉพาะฟองที่เกิดจากโปรตีน ลิปดที่ทําหนาที่ปองกันการเกิดฟองไดดีจะตองมีคุณสมบัติเปนสารอิมัลซิไฟ เออร เมื่อโปรตีนสัมผัสกับสารลิปดดังกลาวจะรวมตัวกันและกระจายออกไป ไมเกาะอยูท่ผี วิ ของฟองอีก ฟองจึงแตกออก การใสลิปดลงในอาหารกอนการเกิดฟองควรใหนานพอสมควร ประสิทธิภาพการปองกัน การเกิดฟองจะดีขึ้น อาหารบางชนิดตองการใหฟองอยูตัวดี จะตองพยายามลดปริมาณลิปดใหต่ําลง โดยเฉพาะเบียร เนื่องจากลิปดนอกจากจะปองกันการเกิดฟองแลวยังทําใหกลิ่นรสของเบียรเสียไปดวยเมื่อเก็บ ไวนาน การใส isphumulones รวมกับอนุมูลโลหะก็จะชวยใหฟองเบียรอยูตวั ดีขึ้น การปฏิบัติเชนนี้ทําให โปรตีนจับตัวกันแนน ไมรวมตัวกับไขมัน 2.4.4 การทําใหอาหารเปลี่ยนแปลงลักษณะเนื้อ เมื่อเก็บเนื้อสัตวไวนานปริมาณกรด ไขมันอิสระเพิม่ ขึ้น จะมีผลใหโปรตีนเปลีย่ นสภาพไป ลักษณะเนื้อและความสามารถในการอุมน้าํ จะเสียไป การเพิ่มปริมาณกรดไขมันอิสระเปนผลมาจากการทํางานของเอ็นไซมฟอสโฟไลเปสเอ และเอ็นไซมไลโซ โซมัลไลเปส การแตกตัวของกรดไขมันจะเกิดเร็วขึ้นมากในกลามเนื้อสีเขม การแชแข็งชา ๆ หรือการเก็บที่ อุณหภูมไิ มคงที่จะเรงใหปลอยเอ็นไซมออกมาเร็วขึ้น ซึ่งจะมีผลใหเกิดกรดไขมันอิสระมากขึ้น เมื่อไดรับ ความรอนจะเปลี่ยนเปนน้าํ มันและไหลออกมา ในขณะเดียวกันกรดไขมันที่ใหกลิ่นก็ระเหยออกไป นอกจากนี้ยังเกิดการสลายตัวดวยน้ําหรือเกิดการเติมออกซิเจน เนื้อสัตวสุกที่นําออกมาจากหองแชแข็งแลวทํา ใหรอนจะมีกลิ่นอับ เนื่องจากฟอสโฟลิปดสวนหนึ่งถูกเติมออกซิเจน 2.4.5 การทําใหอิมัลชั่นอยูต ัว ลิปดมีสารที่มีคุณสมบัติเปนสารอิมัลซิไฟเออรหลายชนิด เชน โมโนกลีเซอไรด ไดกลีเซอไรด เลซิติน เปนตน สารเหลานี้มักถูกกําจัดออกไปเมื่อนําลิปดไปทําให บริสุทธิ์ในกระบวนการผลิตน้ํามัน อยางไรก็ตามก็มวี ิธีการผลิตสารเหลานี้โดยใชน้ํามันเปนวัตถุดิบ โดยเฉพาะการผลิตโมโนกลีเซอไรดและไดกลีเซอไรด สวนเลซิตินเปนผลพลอยไดจากากรผลิตน้ํามันถั่ว เหลือง โมเลกุลของสารเหลานี้สวนหนึง่ มีขั้ว เรียกวา “หัว” และอีกสวนหนึ่งไมมขี ั้วเรียกวา “หาง” สวนหัว จะมีสัมพรรคภาพกับน้ําไดดีมาก อาจมีประจุบวก ประจุลบ ทั้งประจุบวกและประจุลบ หรือไมมีประจุกไ็ ด เมื่อนําสารอิมัลซิไฟเออรไปใชกับอาหารทีม่ าสวนผสมของน้ํามันและน้ําโดยการตีใหรวมกัน มันจะกระจาย ตัวอยูทหี่ นาสัมผัส ทําใหพลังงานผิวของตัวกระจายลดลงและเกิดอิมัลชั่นขึ้น เนื่องจากสารชนิดนี้อยูที่ หนาสัมผัสจึงเรียกวา “surface active agenta” หรือ “surfactants”
63
2.4.6 การปองกันการหืนของน้าํ มัน ลิปดมีสาระสําคัญที่สามารถปองกันการหืนของ น้ํามันได นอกจากนี้ยังสามารถปองกันการหืนของไลโปโปรตีน ฟอสโฟลิปด สเตอรอลเอสเทอร วิตามินเอ วิตามินดี และแคโรทีน ลิปดที่แยกออกมาจากพืชจึงเกิดการหืนไดชาทําใหน้ํามันดิบเก็บไดนานดังกลาว คือ วิตามินอี พบมากในจมูกขาวสาลี และพบนอยลงตามลําดับในน้ํามันถั่วเหลือง และน้ํามันดอกทานตะวัน โดยทั่ว ๆ ไปเมล็ดพืชและน้ํามันพืชจะมีวิตามินอีสูงกวาผักหรือผลไม สวนเนื้อสัตวและผลิตภัณฑจากสัตวมี วิตามินอีต่ํามาก ในอาหารโดยทั่ว ๆ ไปจะมีวิตามินอีไมมากนัก เนื่องจากวัตถุดิบที่มีวิตามินอีสูงมักจะถูก นํามาบริโภคในรูปของน้ํามัน ซึ่งเปนผลิตภัณฑที่ผานการทําใหบริสทุ ธิ์มาแลว วิตามินอีสวนใหญไดถกู กําจัด ออกไป ในปจจุบันมีผูสังเคราะหวติ ามินอีออกมาจําหนาย เพื่อนําไปใชปองกันการหืนของน้ํามันและใชเปน ยา วิตามินอีเปนของเหลวที่ขนหนืดมีสีเหลืองออนหรือสีแดงอมน้ําตาลแตถามีความบริสุทธิ์สูงจะ ไมมีกลิ่นและไมมีสีเปนสารที่ถูกเติมออกซิเจนไดงาย โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับแสงสวาง ความรอน ดาง และ เกลือแรบางชนิด เชน เหล็ก และทองแดง แตจะอยูตวั ไดดีในอาหารที่เปนกรด รูปที่ใชปองกันการหืนของ น้ํามันคือแอลฟาโตโคเฟอรอล (α-tocopherol) โดยจะทํางานไดผลดีถาใชในปริมาณรอยละ 0.02 สําหรับ น้ํามันจากสัตวการใชสารชนิดนี้ใหผลไมดีนักถึงแมจะใชในปริมาณสูงมาก การทําหนาที่ของวิตามินอีก็ เหมือนกับการทํางานของสารปองกันการหืนของน้ํามันในกลุมฟนอล คือจะจับตัวกับอนุมูลอิสระที่เกิดจาก กรดไขมัน ทําใหมูลสารที่เปนตนเหตุของปฏิกิริยาลูกโซหมดไป ปฏิกริยาการหืนของกรดไขมันจะไมเกิดขึ้น หรือสิ้นสุดลง ถาการใชวิตามินอีนั้นมีการผสม ascorbyl palmitate และกรดซิตริกลงไปดวย จะทําให ประสิทธิภาพการทํางานของวิตามินอีสูงขึน้ เทาเทียมกับการใชสารกันหืน BHA 2.5 วิตามิน วิตามินอาจแบงออกไดเปน 2 กลุมคือ กลุมที่ละลายในไขมันหรือตัวทําละลาย ไขมัน และกลุมที่ละลายในน้ําวิตามินกลุม แรกไดกลาวมาบางแลวในเรื่องลิปด สวนใหญพบในเนื้อสัตว โดย ปกติจะทนความรอนไดดกี วาวิตามินในกลุม ที่ละลายน้ํา แตมักจะเกิดออกซิเดชั่นเมือ่ ไดรับอุณหภูมิสูงและมี ออกซิเจนอยูด ว ย จะทําปฏิกิริยากับสารทีไ่ ดจากการออกซิเดชั่นลิปด ฉะนั้นถามีการปองกันไมใหไขมันเกิด การออกซิเดชัน้ ก็จะปองกันวิตามินกลุมนีไ้ มใหสูญเสียได วิตามินกลุมนี้ประกอบดวยวิตามินเอ ดี อี และเค รางกายเก็บวิตามินกลุมนี้ไวคอนขางมาก การขาดวิตามินกลุมนี้ในระยะสั้น ๆ จึงไมมีผลตอรางกายมากนัก สํารับวิตามินกลุมที่สองมีคุณสมบัติหลายอยางที่คลาย ๆ กัน มักพบในแหลงเดียวกัน ถารางกายขาดตัวใดตัว หนึ่งก็มกั จะทําใหขาดวิตามินตัวอื่น ๆ ดวย รางกายสะสมไวไมมากนัก ทําใหตองรับประทานทุกวัน วิตามิน
64
กลุมนี้ประกอบดวยวิตามินบีหนึ่ง บีสอง ไนอาซีน บีหก กรดแพนโททีนิก ไบโอติน กรดโฟลิก บีสิบสอง และวิตามินซี บทบาทของวิตามินในอาหาร วิตามินมีบทบาทในการประกอบอาหารไมมากนัก อยางไรก็ตามก็มีผูนําวิตามินหลายชนิดมาใชใน การประกอบอาหาร โดยใหทําหนาที่ใหสี ปองกันการหืนของน้ํามัน ปองกันการเปลี่ยนสีของผัก รักษาสี ของเนื้อหมักและใหรสกับอาหาร 2.5.1 การใหสีกับอาหาร วิตามินหลายชนิดมีสีแตจะมีแตวิตามินเอเทานั้นทีจ่ ะใหสีได โดยเฉพาะเมื่ออยูในรูปของแคโรทีนอย เนื่องจากมีปริมาณมากในอาหาร แตแคโรทีนอยจะใหสีเหลืองซึ่งจะ เห็นไดชัดเจนเมื่อผักยังออนหรือเมื่อผลไมสุก เมื่อนําเอาผักหรือผลไมที่มีแคโรทีนมาประกอบอาหารอาจมี การเปลี่ยนสีบา ง โดยเฉพาะเมื่อนําไปทําเปนอาหารแหง เนื่องจากแคโรทีนอยไดถูกออกซิไดซและสลายตัว การใหสีอกี แบบหนึ่งที่เกิดจากวิตามินคือการเกิดปฏิกิรยิ าเคมีกับสารอาหารบางชนิด เชน กรดอมิโน การเกิด สีผิดปกติเชนนี้มักพบในอาหารจําพวกน้ําสม ผลิตภัณฑจําพวกนี้เมื่อเก็บไวนานจะมีสีเขมมากขึ้น สันนิษฐาน วาเกิดจากวิตามินซีเปลี่ยนไปเปนกรดไฮโดรแคสคอบิกเมื่อทําปฏิกิริยากับออกซิเจนที่หลงเหลืออยูใ นกระปอง หรือในขวด หลังจากนัน้ กรดชนิดนีจ้ ะทําปฏิกิริยากับกรดอมิโน ใหสารประกอบสีดํา การเปลีย่ นแปลงเชนนี้ จะเกิดขึ้นเร็วมากถามีทองแดงอยูดวย ในสภาวะที่ไมมีออกซิเจนหรือหลังจากที่ออกซิเจนหมดไปแลว วิตามินซีก็ทําใหเกิดสีคล้ําได แตจะเกิดขึ้นอยางชา ๆ โดยวิตามินซีจะถูกเปลี่ยนไปเปนสารเฟอเฟอราล (furfural) ซึง่ จะเปลี่ยนเปนสีดําเมื่อมีกรดอมิโนอยูดว ย ปฏิกิรยิ านี้จะเกิดขึ้นเร็วมากถามีโลหะจําพวกตะกัว่ สังกะสี หรืออลูมิเนียมอยูด ว ย นอกจากนีย้ ังพบวาน้ําตาลฟรุคโตสก็มีผลทําใหเกิดปฏิกิริยาเร็วขึ้น 2.5.2 การปองกันการหืนของลิปด วิตามินอีมีคณ ุ สมบัติที่จะจับตัวกับมูลสารไดดี ดังกลาวมาแลวในเรื่องของลิปด ทําใหมลู สารของกรดไขมันที่เกิดจากการออกซิเดชั่นถูกทําลายไป การหืนจึง ไมเกิดขึน้ ถึงแมวิตามินอีจะมีถึง 8 แบบแตแบบที่ทําหนาที่ปองกันการหืนไดดีที่สุดคือ เดลตาโตโคเฟอรอล เปนสารที่ใชไดดีสําหรับไขมันจากพืช แตก็มีผูนํามาใชกันคอนขางนอย เนื่องจากการทํางานยังใหผลไมดีเทา สารกันหืนจากกลุมฟนอล 2.5.3 การปองกันการเปลี่ยนสีของอาหาร วิตามินซีที่อยูในรูปของกรดเออริทอรเบตมี
65
คุณสมบัติเปนสารรีดิวซิ่งเอเจนทที่ดี เมื่อนําไปใชกบั อาหารที่บรรจุอยูใ นภาชนะที่ปด สนิทจะทําลายออกซิเจน ที่เหลืออยูใหหมดไป การเปลี่ยนแปลงของสารฟนอลจึงไมเกิดขึน้ ในการเตรียมอาหารกระปองหลายชนิด นิยมใสวิตามินซีรวมกับโซเดียมเออริทอรเบต เชน การบรรจุเห็ดกระปอง ทําใหเห็ดไมเกิดการเปลี่ยนสี 2.5.4 การรักษาสีของเนื้อหมัก ในการผลิตเนื้อหมักนอกจากจะใชเกลือบางชนิดแลวยังมี การผสมวิตามินซี หรือโซเดียมเออริทอรเบตลงไปดวย โดยวิตามินซีจะทําปฏิกิริยากับไนไตรตใหสารดีโพลี แซคคาไรดโดรแอสคอรบิกและไนติกออกไซด ซึ่งสารไนตริกออกไซดจะทําปฏิกริ ิยากับไมโอโกลบินตอไป ใหสารไนโตรโซไมโอโกลบิน ทําใหเนื้อสัตวมีสีแดง ดวยเหตุนวี้ ิตามินซีจึงชวยใหเนื้อสัตวมสี ีแดงเร็วขึน้ เปนสีที่สม่ําเสมอ และคงทน ไมซีดจางถึงแมจะเก็บไวนาน 2.6 เกลือแร โดยปกติแลวเกลือแรในอาหารจะมาจากวัตถุดบิ และอีกสวนหนึ่งไดจากการใสลง ไป เกลือแรที่ใสลงไปในอาหารมักอยูใ นรูปของเกลือจากกรดอินทรีย เชน กรดอาเซติก กรดซิตริก หรืออยู ในรูปของกรดอนินทรีย เชน กรดเกลือ กรดฟอสฟอริก กรดกํามะถัน นอกจากนี้ยังอยูใ นรูปของเกลือของ กรดอมิโน กรดไขมัน และอื่น ๆ บทบาทของเกลือแรในอาหาร เกลือแรนอกจากจะมีบทบาททางโภชนาการแลว ยังมีบทบาทในการประกอบอาหารดวย บทบาท สวนหนึ่งเกิดจากเกลือแรที่มอี ยูแลวในวัตถุดิบที่ใชประกอบอาหาร อีกสวนหนึ่งเกิดจากเกลือแรที่มีการ ปนเปอน และอีกสวนหนึ่งเกิดจากเกลือแรที่เติมลงไปในรูปของสารเจือปนในการประกอบอาหาร เกลือแรที่ มีอยูในวัตถุดบิ มักจะไมมีบทบาทมากนัก ไมทําใหคุณภาพอาหารเปลี่ยนแปลงถามีการประกอบอาหารอยาง ถูกวิธี เกลือแรที่มีอยูในสภานะสารปนเปอ นมักจะกอใหเกิดปญหามากขึ้น เชน เปนสารเรงปฏิกิริยาเคมี ทํา ใหอาหารมีกลิ่นหืน สวนเกลือแรที่เติมลงไปในรูปของสารเจือปนมีบทบาทมาก สวนใหญเกี่ยวกับการปรุง แตงและถนอมอาหาร 2.6.1 การถนอมอาหาร เกลือแรที่ใชเพื่อการถนอมอาหารอาจแบงเปน 2 กลุม คือกลุมที่ ชวยปองกันการเนาเสียของอาหารและกลุมที่ชวยปองกันการเปลี่ยนสี สารกลุมแรกใชในการถนอมอาหาร โดยเฉพาะการปองกันการเนาเสียที่เกิดจากจุลินทรีย สารบางชนิด เชน เกลือแกง ไนไตรต และซัลไฟต มนุษยรูจกั ใชในการถนมอมอาหารมานานแลว ในปจจุบันมีการนําเอาสารชนิดใหม ๆ มาใชกนั มาก สาร เหลานี้คือโซเดียมเบนโซเอต โปรแตสเซียมหรือโซเดียมซอรเบต โซเดียมหรือแคลเซียมโปรปโอเนต
66
โซเดียมหรือโปรแตสเซียมไนไตรต โซเดียมซัลไฟต โซเดียมเมตาไบซัลไฟต โซเดียมคลอไรด และเกลือ ฟอสเฟตชนิดตาง ๆ สําหรับการปองกันปฏิกิริยาสีนา้ํ ตาลจะใชพวกโซเดียมซัลไฟต และโซเดียมเมตาไบ ซัลไฟต พวกนี้ใชกนั มากในผักหรือผลไมแหง 2.6.2 การใหกลิ่นรสและการชูรส เกลือแรที่ใหกลิ่นรสมากมาย สวนหนึ่งเปนสารที่ได จากธรรมชาติ และอีกสวนหนึ่งเปนสารสังเคราะหสวนใหญเปนสารประกอบของกรดอินทรีย และมักใช รวมกับกรด โดยสารบางชนิดใหรสไดโดยตรง เชน โซเดียมคลอไรด บางชนิดทําใหอาหารมีรสกลมกลอม ขึ้น นอกจากนี้ยังมีเกลือบางชนิดทําหนาที่เปนสารโปรงฟูดวย เกลือที่ใชกันมากไดแกแคลเซียมอาซิเตต โซเดียมอาซิเตต แคลเซียมซิเตรต โปแตสเซียมซิเตรต โซเดียมซิเตรต ฯลฯ สําหรับเกลือแรที่ทําหนาที่ชูรส อาหารก็มีหลายชนิดที่รูจกั กันดีคือโมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG) นอกจากนี้กย็ ังมีเกลือของกรดอะดีไนลิก และกรดกัวไนลิกอีกหลายชนิด 2.6.3 การปรับปรุงลักษณะเนื้อ เกลือแรทําหนาที่ปรับปรุงลักษณะเนื้อของอาหารมี จํานวนมากเมือ่ เปรียบเทียบกับสารเจือปนอื่น ๆ โดยไดนําไปใชกบั เนือ้ สัตว แปง ผักและผลไม เกลือแรที่ใช กับเนื้อสัตวประกอบดวยโซเดียมไตรโพลีฟอสเฟต โซเดียมอะซิดไพโรฟอสเฟต เตตะโซเดียมไพโรฟอสเฟต โมโนโซเดียมออรโทฟอสเฟต ไดโซเดียมออรโทฟอสเฟต และโซเดียมแฮกซาเมตาฟอสเฟต การใสเกลือแร เหลานี้จะทําใหผลิตภัณฑเนือ้ สัตวมีความนุมมากขึ้น เนื่องจากทําใหแอคโตไมโอซินแตกตัวทั้งแอคตินและไม โอซินจึงจับตัวกับน้ําไดมากขึ้น ทําใหชิ้นเนื้อจับตัวกันเปนกอน เนื่องจากสารฟอสเฟตทําใหโปรตีนไมโอซิน ละลายน้ําไดมาก เมื่อไดรับความรอนโปรตีนชนิดนี้จึงแข็งตัวและเชื่อมชิ้นเนื้อเขาดวยกัน โดยเฉพาะสารที่ใช เปนพวกโซเดียมไตรโพลีฟอสเฟต สําหรับผลิตภัณฑจากแปงก็มีการใสเกลือแรกันมาก โดยเฉพาะแปงสาลี เกลือแรที่ใช ประกอบดวยโปแตสเซียมโบรเมต แอมโมเนียมซัลเฟต โปรแตสเซียมเปอรซัลเฟต ฯลฯ สวนหนึง่ ของเกลือ แรเหลานี้ใชเปนอาหารของยีสต และอีกสวนหนึ่งใหทําหนาที่เพิ่มความแข็งของกลูเตน พืชจําพวกผักและผลไมโดยทั่วไปจะมีเพ็คตินไมมากก็นอย สวนใหญเปนเพ็คตินที่มีกลุม เมทอกซิลในโมเลกุลนอย โมเลกุลเพ็คตินในพืฃเหลานั้นจึงทนตอการแตกตัวในอาหารที่เปนกรด ถึงแมจะ ไดรับความรอน แตจะพองตัวและละลายน้ําไดดีมาก ทําใหผักผลไมมีเนื้อนุมเมื่อนําไปประกอบอาหาร การ ใสเกลือบางชนิดลงไปจะทําใหการพองตัวและการละลายของพ็คตินนอยลง เนื้อผักหรือผลไมจะแข็งมากขึน้
67
ถึงแมจะไดรับความรอนก็ไมออนนุม การปฏิบัติเชนนี้จะพบเสมอในการทําผลไมแชอิ่ม ฟกทองแกงบวด มะมวงดอง มะเขือเทศกระปองถั่วพีกระปอง ฯลฯ 2.6.4 การปองกันการจับตัวเปนกอน ผลิตภัณฑบางชนิด เชน เกลือโตะ น้าํ ตาลไอซิ่ง กระเทียมผง ฯลฯ มักมีปญ หาการจับตัวเปนกอนเมื่อสัมผัสกับความชื้นในอากาศ ทําใหไมสะดวกในการ นําไปใช การปองกันอาจทําไดโดยการผสมเกลือที่ไมละลายน้ําลงไป เชน อลูมิเนียมซัลเฟต ไตรแคลเซียม ออรโทฟอสเฟต ไดแคลเซียมออรโทหอสเฟต ฯลฯ เกลือเหลานี้เมือ่ นํามาบดใหละเอียดจะสามารถเคลือบผิว และปองกันการจับตัวเปนกอนไดเปนอยางดี 2.6.5 การปรับและรักษาความเปนกรด อาหารหลายชนิดจําเปนตองปรับหรือรักษา ความเปนกรดไว เชนขนมอบมักใชผงฟูเพือ่ เปนแหลงของแกสคารบอนไดออกไซด ทําใหโปรงฟู เบา และมี รสอรอย การทําใหเกิดแกสคารบอนไดออกไซดจะตองอาศัยปฏิกิริยาเคมีระหวางกรดกับสารที่เปนแหลงของ แกสคารบอนไดออกไซด แหลงของกรดไดจากเกลือหลายชนิด เชน โปแตสเซียมอะซิเตรต โซเดียมอลูมิ เนี่ยมฟอสเฟต โมโนแคลเซี่ยมฟอสเฟต โซเดียมอะซิดไพโรฟอสเฟต เกลือแรตาง ๆ เหลานี้จะเปลี่ยนไปเปน กรดเมื่อสัมผัสกับความชื้นหรือความรอน สวนแหลงของแกสคารบอนไดออกไซดคือโซเดียมไบคารบอเนต อาหารจําพวกเนื้อสัตวจะมีปญ หามีสีคล้ําเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนเปนเวลานาน เนื่องจากเกิด สารสีน้ําตาลของ metmyoglobin ขึ้น ทําใหดูเหมือนเนือ้ ที่ขาดความสด ผูบริโภคจึงไมยอมรับ การเปลี่ยนสี ของเนื้อสัตวขนึ้ อยูกับปจจัย 5 ประการ คือ pH สารรีดิวซิ่งเอเจนต เกลือ (เกลือแกง โซเดียมไนเตรต โซเดียมไนไตรด ฯลฯ) โลหะ และออกซิเจน จากากรทดลองพบวาการปรับ pH ของเนื้อสัตวใหอยูในเกณฑ 6.0-6.6 จะรักษาสีของเนื้อสัตวไวไดนาน เกลือที่นิยมใชกันคือโซเดียมโพลีฟอสเฟต 2.6.6 การเรงปฏิกิรยิ าเคมี เปนทีท่ ราบกันดีอยูแ ลววาปฏิกิรยิ าเคมีตาง ๆ มักจะเกิดขึน้ เร็ว ถามีสารแปลกปลอมรวมอยูด วย สารแปลกปลอมที่ทําใหปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วขึ้นหรือดําเนินไปอยางรวดเร็วนี้ เรียกวา “สารเรงปฏิกิริยา” ในอาหารมีเกลือแรหลายชนิดที่ทําหนาทีเ่ ปนสารเรงปฏิกิริยา ซึ่งบางชนิดก็ใหผลดี แกอาหาร แตบางชนิดก็ทาํ ใหเกิดปญหา เชน ปฏิกิรยิ าสีน้ําตาลที่เกิดจากวิตามินซีทําใหเกิดปญหากับน้ําสม ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นและดําเนินไปอยางรวดเร็วถามีทองแดงปนเปอนอยูเล็กนอย น้ํามันจะหืนเร็วถามีทองแดง เหล็ก ตะกั่ว หรือสังกะสีปนเปอนอยูเ ล็กนอย 2.6.7 การกําจัดความกระดางของน้ํา เกลือแรหลายชนิดสามารถทําลายความกระดางของ
68
น้ําได ทั้งกระดางชัว่ คราวและกระดางถาวร โดยการตกตะกอนหรือรวมตัวกันเปนสารประกอบที่ละลายน้ํา ได สําหรับเกลือแรที่ใชประกอบดวย แคลเซียมไฮดรอกไซด โซเดียมคารบอเนต โซเดียมไฮดรอกไซด สารสม ฯลฯ เกลือแรเหลานีจ้ ะทําปฏิกริยากับแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และโลหะอัลคาไลนเอิตรที่ปะปน อยูในน้ําและตกตะกอนออกไป เกลือแรบางชนิดจะเหมาะสมสําหรับการกําจัดความกระดางของน้ําที่ใช ประกอบอาหาร บางชนิดจะเหมาะสมสําหรับน้ําที่ใชในหมอทําไอน้าํ และบางชนิดจะเหมาะสําหรับทํา น้ําแข็ง 2.6.8 การทําใหอาหารเปลี่ยนสี การเปลี่ยนสีอาจเกิดขึน้ ไดถาสารอาหารทําปฏิกิริยากับ โลหะบางชนิด โดยที่โลหะนั้นอาจมาจากวัตถุดิบ น้ํา เครื่องมือที่ใชในการเตรียม ภาชนะบรรจุ สายพาน ขนสงอาหาร สารเคมีตกคาง ฯลฯ โลหะจําพวกเหล็กจะทําปฏิกิริยากับสารแทนนินในผักหรือผลไม ใหสารสี น้ําเงินดํา ทําปฏิกิริยากับกํามะถันที่ไดจากการสลายตัวของกรดอมิโน ใหสารประกอบสีดําของเหล็กซัลไฟต จุลินทรียบางชนิดสามารถใชเหล็กในการสรางสารประกอบสีดํา (เมลานิน) ในอาหารบางชนิด เชน เบียรถามี ดีบุกอยูเล็กนอยจะมีลกั ษณะขุน ถามีดีบุกมากจะมีสีน้ําตาลมีลักษณะเหมือนนมสด เมื่อทําปฏิกิริยากับสาร แอนโทซัยยานินจะใหสารประกอบสีมวง หรือทําปฏิกิริยากับกํามะถันใหสารประกอบสีดําและเกาะอยูก บั ภาชนะบรรจุ .
บรรณานุกรรม ณรงค นิยมวิทย. 2538. องคประกอบและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีกายภาพของอาหาร. พิมพที่บริษัท ฟอรแมทพริ้นติ้ง จํากัด, กรุงเทพฯ. 237 น. ณรงค นิยมวิทย และอัญชนีย อุทัยพัฒนาชีพ. ม.ป.ป. เอกสารประกอบการสอนวิชาวิทยาศาสตรการ ประกอบอาหาร, ภาควิชาคหกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร บางเขน. 441 น. นิธิยา รัตนาปนนท. 2548. วิทยาศาสตรการอาหารของไขมันและน้าํ มัน. สํานักพิมพโอเดียนสโตร, กรุงเทพ ฯ. 244 น. อบเชย วงศทอง และขนิษฐา พูนผลกุล. 2544. หลักการประกอบอาหาร. สํานักพิมพมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร, กรุงเทพ ฯ. 163 น.
บทที่ 4 1. การเลือกซื้อวัตถุดิบ
วัตถุดิบที่ใชประกอบอาหารไทย คือสิ่งที่หาไดในทองถิ่นรวมกับภูมิปญญาของคนไทยนํามาทําเปน อาหารตาง ๆ โดยมีความสอดคลองกับวิถชี ีวิต และวัฒนธรรมประเพณีไทย สิ่งตาง ๆ ที่นํามาใชมหี ลายชนิด มี รูปแบบการนําไปใชประโยชนดานอาหาร มีการเลือกซื้อ ดังตอไปนี ้ 1.1 ขาว ควรเลือกซื้อขาวที่เพิ่งสีมาใหม แหง เมล็ดยาวเต็ม มีนํา้ หนัก เมล็ดสีขาวสะอาด มันแวว เมล็ดควรอวบสมบูรณตลอดเมล็ด ไมควรมีขาวเมล็ดสีเหลืองหรือขาวเปลือกปน ไมมีเมล็ดขาวหักปนมากนัก ไมเปนฝุน ไมมีเชื้อรา ตัวมอดหรือแมลงเปนรัง ไมมีขี้แมลงสาบหรือกรวดทรายสิง่ แปลกปลอมปนอยู ไมควร ซื้อขาวที่มีกลิ่นอับเมล็ดชื้น 1.2 แปง ควรเลือกแปงใหม เมือ่ ดมไมมีกลิ่นอับ ตองไมมีไขแมลง ตัวมอด หรือสิ่งสกปรกเจือปน ภาชนะบรรจุไมฉีกขาด ไมมีรอยรั่ว ไมสกปรก แปงตองแหง เนื้อควรละเอียดเนียน มีสีขาวตามชนิดของแปง แปงสาลีสีออกนวล 1.3 ขนมจีน เลือกซื้อขนมจีนเสนเล็ก สีขาวนวล เสนไมขาด เหนียวนุม สะอาด ไมเหม็นบูด ภาชนะใสสะอาด ควรเลือกซื้อตอนเชาจะไดของใหม สด 1.4 กวยเตี๋ยว ถาเปนเสนกวยเตีย๋ วชนิดแหงควรเลือกที่แหงสนิท เสนไมหัก ไมเกา อานฉลากดูวนั ผลิตหรือวันหมดอายุ กวยเตี๋ยวเสนสด เชนเสนเล็ก ควรเลือกที่ไมแหงจนเกินไป เสนขาวมัน ไมขาด ไมมีรา ขึ้น ไมมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เหม็นหืน ไมสกปรก 1.5 กะป กะปที่ดคี วรทําจากตัวเคย จะเห็นจุดดําเล็ก ๆ ของตาเคยปนอยูในเนื้อกะป ไมควรเติมสี ควรเปนสีตามธรรมชาติ อาจมีสีเทาปนชมพู หรือมวงเทาจนถึงน้ําตาล ขึ้นกับชนิดของเคยที่ทาํ ควรมีเนื้อ เนียนเหนียว ไมเค็มจัด เมื่อนํากะปไปละลายน้ํายังเหลือเนื้อของกะปอยูเห็นเปนตะกอน ถาละลายไปหมด แสดงวาทําจากแปง 1.6 กุงแหง เลือกที่ไมยอมสี แหงสะอาด ใหม ไมมีรา ไมเปนผง 1.7 ปลาแหง ควรเลือกที่ใหม ดมกลิ่นไมมีกลิน่ เหม็น ไมควรมีหนอนขึ้น ไมมีสิ่งสกปรก ไมยอม
70
หรือชุบสี ไมมีราขึ้น 1.8 เนื้อเค็ม เลือกที่แหงไมมเี มือก สีแดงไมคล้าํ จัด ไมเค็มจัด คือ เกลือขาวไมจับมาก ไมมีกลิ่น เหม็นเนา ควรใหม สะอาด 1.9 หอยเค็มแหง ปลาหมึกแหง เลือกที่แหงสนิท ไมเค็มจัด เนื้อใส ไมเปนผง ไมมีรา ไมเหม็น หืน ไมมกี ลิ่นอับ 1.10 ปลา มีความสด สีสดใส เหงือกแดงสด เกล็ดติดแนนเปนเงามีนวาว ตาใสนูน ตาดําดําสนิท เนื้อแนนกดเนือ้ ไมมีเกล็ดผิวหนังมันวาวคลายสีรุง มีเมือกใสคลุมบาง ๆ เนื้อปลาดานในมองดูโปรง ใสเปนมัน ไมขุน ไมมีกลิ่นเหม็นเนาหรือกลิ่นคาวจัด ไมควรซื้อปลาที่มีเหงือกสีซีดปนเทา มีสีคล้ําผิวหนังแหง เมือกขุน ตาขุนจมลงในเบาตา มีกลิ่นแอมโมเนีย เนื้อนิ่มเละ มีรอยช้ําหรือตุมบนผิว 1.11 กุง กุงสดเปลือกเปนมันวาว มีสีสดใสตามธรรมชาติของกุงชนิดนั้น ๆ ตากลมใสไมเหี่ยวยน สวนหัวตัวติดแนนกับลําตัว สีแดงของมันกุงเห็นไดชัด สวนหาง ขาไมเปอยยุย ขาดหายไป ควรอยูในสภาพที่ สมบูรณไมมีจดุ สีดําตามลําตัว ไมมีกลิ่นเหม็นเนา เนื้อไมขุน สีไมซีดจาง หรือเขียวคล้ําผิดปกติ 1.12 หอย หอยสดเปลือกจะปดสนิท จะเปดอาบางเวลา เมือ่ แตะจะหุบได ฝาหอยไมแตกหักหรือ บิ่นเมื่อนําไปแชน้ําซักพักจะอาฝาคายสิ่งสกปรกออกมา ไมมีกลิ่นเนาหรือคาวจัด ถาหอยลอยน้ําขึ้นมาแสดงวา หอยตายแลว หรือมีลักษณะหนักผิดปกติสีดําคล้ําภายในมีแตโคลน หอยที่แกะเปลือกแลวมีแตเนื้อควรเลือก หอยที่อยูใ นสภาพไมขาดรุงริ่งมีสีสดใส น้ําที่แชหอยไมขุน ไมมีเมือก ดมกลิ่นไมเหม็นเนาหรือคาวจัด 1.13 ปู ควรเลือกเนื้อแนน ตัวหนัก ตาใส กามใหญ เปลือกบาง กรรเชียงเนื้อแนนเมื่อใชนิ้วดีด กระดองมีเสียงแนนทึบ ปูตัวผูเนื้อมากกวาปูมัวเมีย ตัวผูมีฝาปดอกเรียวเล็ก ปูตวั เมียฝาปดออกกวางปานมีไข ถาเปนไปไดเลือกปูเปนเนื้อจะหวานกวา 1.14 ปลาหมึก ปลาหมึกสดผิวเปนมันเงา สดใสเนื้อแนนแข็งไมออนเละ ตาใส ไมมีเมือก ในทอง ไมควรมีเศษอาหารเพราะจะเพิ่มน้ําหนัก สวนหัวควรติดกับลําตัว ไสไมแตก ปลาหมึกเกาคางจะมีลําตัวเปนสี แดงเนื้อขาวขุน 1.15 ไข ไขสดมีนวลเคลือบ ถาไขเกานวลลดลงเปลือกไขดูมัน โพรงอากาศเล็ก ไขแดงอยูกลาง
71
ฟองไขคอนขางหนักเมื่อใสน้ําจะจม เปลือกไขควรสะอาดไมมีมูลสัตว สิ่งสกปรก ไมควรมีรอยราว บุบ เพราะเชื้อโรคและสิ่งสกปรกอาจซึมเขาทางรูเปลือกไขไดทําใหไขเสียเร็ว ควรเลือกซื้อไขฟองใหญเพราะขนาด ตางกันจะขายในราคาไมตางกันมากนัก ไขฟองใหญจะใหปริมาณมากกวาเมื่อเทียบกับราคาไขฟองเล็ก 1.16 ผักและผลไม ควรคํานึงถึงความออนแก ซึ่งขึ้นอยูกับขนาด รูปรางของผักและผลไมแตละ ชนิดและการใชประโยชน อยางไรก็ตามการเลือกควรเลือกที่สด ใหม ไมมีตําหนิ ไมเนา ไมช้ํา ผิวเตงตึง ไม เหี่ยว มีน้ําหนัก สีสดใส 1.17 น้ําปลา ควรมีสีน้ําตาลแดง หรือน้ําตาลเหลือง ใสสะอาด ไมมีสิ่งเจือปนหรือตะกอนขุน มี กลิ่นหอมของปลา เปนน้ําปลาแท หรือน้ําปลาชั้นหนึ่ง จะมีคณ ุ ภาพดีที่สุด ควรอานฉลากดูวนั ผลิตวัน หมดอายุควรแจงตราหรือเครื่องหมายการคา ระบุผูผลิตชัดเจน 1.18 เกลือ เลือกเกลือที่มีเม็ดขาว สะอาด แหง ไมมีสิ่งสกปรกเจือปน เลือกใชตามความตองการ เชน ปรุงอาหารใชเกลือปน เกลือหยาบเม็ดใหญใชหมักดองอาหาร หรือผสมน้ําแข็งใชปนไอศกรีม 1.19 น้ําตาลทราย เลือกผลึกละเอียด ไมมีสิ่งปนเปอน แหง สะอาด ภาชนะบรรจุเรียบรอย ไม ฉีกขาด 1.20 น้ําตาลทรายแดง เลือกที่มกี ลิ่นหอม ไมแฉะ ไมรว นแหง ไมมีรา สะอาด ไมมีสิ่งเจือปน ภาชนะบรรจุเรียบรอย 1.21 น้ําตาลปก เลือกที่ไมฟอกสี เนื้อละเอียด นิ่ม มีกลิ่นหอม ไมเยิ้มเหลว ไมมีรา ไมมี สิ่งเจือปน สะอาด บรรจุในภาชนะสะอาดปดมิดชิด 1.22 น้ํามันพืช สังเกตจากสีของน้ํามัน ควรมีสีออน โปรงใส ไมมีสิ่งเจือปน ควรอานฉลากวาผลิต จากวัตถุดิบใด ควรแจงรายละเอียดการผลิต เชน เปนน้ํามันพืชที่ผา นกรรมวิธี หมายถึง กําจัดกลิ่น รส สิ่งเจือปนอื่น หากไมระบุเชนนี้ไมควรซื้อ 2. เทคนิคการเตรียมสวนประกอบอาหารไทยประเภทผัดและทอด ในการประกอบอาหารจําเปนอยางยิ่งทีจ่ ะตองเรียนรูเทคนิคตาง ๆ เพือ่ จะไดเตรียมขั้นตอนในการปรุง อาหารไดอยางถูกตอง อาหารนี้จะตองสะอาดและปลอดภัยและทีส่ ําคัญการประกอบอาหารควรจะมีความรู เกี่ยวกับการชั่ง การตวง ซึ่งเปนสิ่งที่จาํ เปนเพื่อจะทําใหอาหารนัน้ รสชาติอรอยอยางสม่ําเสมอ และเวลาก็
72
เชนเดียวกัน อาหารชนิดไหนจะตองทําใหสุกเร็ว เพื่อสงวนคุณคาทางดานโภชนาการอีกดวย สมัยนี้ผูบริโภค ทุกคนมีความสนใจและมีความรูทางดานคุณคาอาหารใหถูกหลักโภชนาการเพราะมีสื่อนําเสนอมากมายไมวา จะเปนทางดานตําราอาหารซึ่งมีขายทั่วไปทางโทรทัศนและวิทยุ หนังสือพิมพทําใหผูที่จะประกอบอาหารตอง ใหความสนใจอยางยิ่งเพื่อการแขงขันและเปนผูนําทางดานอาหารโดยตรงมีหลายประเภท มีทั้งผัก ผลไม เนื้อสัตวตาง ๆ 3. การปรุงและการประกอบอาหาร ผักที่มีคุณภาพดีตองสดและแกพอดี ถาผักแกเกินไปก็จะไมอรอยและมีเสนใยมากมีแตกากและควรจัด เมนูอาหารใหใชผักตามฤดูกาล เพราะผักสดจะรสดี ราคาถูก และควรเตรียมผักใหพอใชใหหมดไปเปนวัน ๆ แมแตการเตรียมผักเพื่อประกอบอาหารก็ควรจะมีเทคนิคตาง ๆ เชน ควรลางเพื่อที่จะปรุงอาหารเทานั้น 4. ขั้นตอนการลางผักกอนทีจ่ ะปรุงและประกอบอาหาร การลางผักกอนนําไปประกอบอาหารตองนําผักไปลางใหโคลน ดิน ปุย ละอองดินที่ติดมากับผักหลุด ไปแลว ยังตองลางใหปลอดภัยจากสารพิษตกคาง กอนจะลางผักควรใชมีดตัดสวนที่เนา ช้ํา หรือสวนที่กนิ ไมไดทิ้งไป เชน พวกใบแก กานแก ราก ผักประเภทใบ เชน คะนา ผักกาด เด็ดใบออกจากตน กะหล่ําปอก ออกเปนกาบ ๆ แลวนําไปลางเพื่อใหดินโคลนที่ติดอยูตามซอกใบหลุดออกไดงายขณะลางใหเอามือถูเบา ๆ หลักการลางผักที่ถูกตอง - ลางกอนปอกหรือหั่น การปอก คือการตัดหรือเอาสวนที่ไมไดใชออก เชน มะละกอ มะมวง ฟกเขียว ฟกทอง หัวผักกาด หนอไม บวบ สวนผักที่รับประทานไดทั้งเปลือก เชนแตงกวา ไมควรปอก เปลือก - ตัดสวนที่ไมไดรับประทานออกกอน ผักบางชนิดมีราก ใหตัดรากและสวนที่รับประทานไมได ออก กอนแลวจึงลางน้ํา เชน ผักบุง ผักกระเฉด ขึ้นฉาย - ควรลางกอนเด็ดขั้วสําหรับผักที่มีขั้ว เชน มะเขือชนิดตาง ๆ มะเขือเทศ พริก - ลางเปนพิเศษสําหรับผักที่มีการใชสารกําจัดแมลง เชน ถั่วฝกยาว สวนมากมักจะใชสารกําจัด แมลงระหวางการปลูก สารที่ใชฉีดสวนใหญจะเปนประเภทดูดซับมาก ดังนั้นการลางตามปกติจะไมสามารถ ลางใหสารตกคางหมดไป ดังนั้นควรตมถั่วฝกยาวในน้ําเดือดนาน 1 นาที สามารถลดปริมาณสารพิษใน ถั่วฝกยาวไดถงึ รอยละ 84.8
73
5. การเตรียมเนื้อสัตวกอนปรุงและประกอบอาหาร เนื้อสัตวถาเก็บไวในตูแชแข็งถาจะนํามาปรุงประกอบอาหารควรปลอยใหละลาย โดยนําออกจากชอง แข็งมาไวในตูเย็นชั้นธรรมดาแลวจึงนํามาประกอบอาหารไดและไมควรนําเนื้อแชแข็ง แลวมาละลาย ใชไม หมดนํากลับเขาไปแชแข็งใหมจะทําใหเนือ้ สัตวนั้นคุณภาพไมดีรสชาติไมอรอย และทําใหเนื้อสัตวนั้นมีจุลินท รียเพิ่มขึ้น เพราะขณะที่ปลอยใหเนื้อคลายความเย็นนั้นจุลินทรียจะเจริญเติบโตไดอีก 6. การเตรียมปลากอนการประกอบอาหาร ปลามี 2 พวก คือ ปลามีเกร็ด และไมมีเกร็ด ดังนัน้ วิธกี ารเตรียมกอนการปรุงจะมีวิธีแตกตางกัน 6.1 ปลาพวกมีเกล็ด ไมควรลางน้ํากอนขอดเกล็ดเพราะจะทําใหลื่นจับไมอยู แตถา ปลาถูกลมจนตัว แหงใหชุบน้ํานิดหนอยแลวจึงขอดเกล็ด เสร็จแลวใชมดี ขูดเมือกจนหมด ดึงเหงือก ควักไส ตัดครีบ ตัดหาง แลวลางน้ํา 6.2 ปลาพวกไมมีเกล็ด เอาตัวปลาจุมน้ําแลวหาของทีม่ ีลักษณะสากขูดเมือก ดึงเหงือก ควักไส ตัด ครีบ ตัดหาง ลางใหสะอาด การตัดแบงในการนํามาปรุงประกอบอาหารมีการตัดแตงแบบตาง ๆ ดังนี้ 6.2.1 Whole หมายถึงปลาทั้งตัวที่ยังไมไดตัดสวนใดสวนหนึ่งออก 6.2.2 Dressed หมายถึง ปลาที่ขอดเกล็ด ควักไส ตัดหัว ตัดครีบ ตัดหาง ออกแลว 6.2.3 Fillet หมายถึงปลาที่มีการตัดแบบ Dressed แลวแลหนังออกแลว เอาเฉพาะเนื้อโดยแล แนวกระดูกกลางหลังลงไปขางละชิ้น 6.2.4 Steak หมายถึง ปลาที่มีการตัดแบบ Dressed แลว นํามาหั่นเปนแวนหนา 5/8 - 1 นิ้ว 6.2.5 Butterfly หมายถึง ปลาที่มีการตัดแบบ Dressed แลว แลหนังออก แลวเอาเฉพาะเนื้อ โดยแลจากแนวกระดูกกลางหลังทั้งสองขางลงไป โดยใหเนื้อสวนทองติดกัน 6.2.6 Stick หมายถึง ปลาที่มีการตัดแบบ Fillet แลวหั่นเปนชิน้ หนาประมาณ 3/8 นิ้ว
7. การเตรียมสัตวน้ําชนิดอืน่ กอนการหุงตม
74
7.1 ปูสด ลางน้ําหรือลางน้าํ เกลือ เอาสิ่งสกปรกที่ติดมากับตัวปูออก เอาสวนที่เปนกระเพาะอาหาร ออกไปเพราะจะเปนสวนทีม่ ีแบคทีเรียอยูม ากกวาสวนอืน่ และอาจจะมีพยาธิอยูดว ย การแกะเนื้อปูทําใหสะดวก ในการรับประทานอาจนํากระดองปูมาตกแตงใหม ลางใหสะอาด แลวทําเปนภาชนะสําหรับวางเนือ้ ปู 7.2 กุงสด กุง กอนปอกเปลือกตองลางใหสะอาด ถาใชกุงทั้งตัวควรปอกสวนหัวกอน ระวังไมใหหัว หลุดจากตัวโดยใชหวั แมมือแทรกไปที่แกมทั้ง 2 ขาง ระหวางเปลือกใหเปลือกหลุดใหใชมือหนึ่งจับหนวด มือหนึ่งจับกรีและฉีกออก ถาตองการเอาหางไวใหเด็ดเฉพาะกรีออก การปอกทั้งตัวหลังจากปอกเปลือกแลว ใหใชไมปลายแหลมดึงเสนดําออกตามแนวหลังตัว ถารีดมันกุงจะติดอยูทางหัวเอานิ้วเขีย่ ออกใสจาน ถาเปนกุง ตัวเล็กสําหรับทอดเทมปุระจะตองตัดขากุง หนวดกุงโดยใชกรรไกรตัด ตัดกรีกุง แลวตัดหัวระหวางใตตาออก ใหงอตัวกุงใชไมแหลมดึงเสนดําออก สวนใตทองกุงตองกรีดตามตัวกุง หรือ ตามขวาง 2-3 ที แลวยืดตัวกุง เพื่อไมใหกุงตัวงอเวลาทอด 7.3 หอย เปนสัตวที่มีเปลือกการเตรียมกอนการประกอบอาหารมีความสําคัญมากตองลางใหสะอาด กอนนําไปประกอบอาหาร โดยใชแปรงขัด หรือลางน้ําหลาย ๆ ครั้ง หอยจะมีโคลน ทราย อยูข างในควรแช น้ําเกลือทิ้งไว หอยจะคายโคลนออกมา หากน้ําสกปรกก็เปลี่ยนน้ําเสียครั้งหนึ่ง ถาเปนหอยแมลงภูมีขอควร แนะนําวาใหโรยแปงหรือขาวโอตปนลงไปเล็กนอย เพราะจะเปนอาหารของหอยแมลงภู หอยจะอาปากจะ คลายสิ่งสกปรกออกมาดวย จากนั้นใชมดี กระเทาะหินปูนที่ติดตามเปลือกหอยออก ในกรณีทตี่ องการเสิรฟ หอยทั้งกาบใหดึงหนวดออกดวย 7.4 ปลาหมึกสด มีทั้งปลาหมึกกลวยและปลาหมึกสาย ปลาหมึกกลวย ดึงแผนใส ๆ ภายในลําตัวออกแลวดึงสวนหัวซึ่งมีหนวดใหหลุดจากลําตัว ใช นิ้วหัวแมมือแทรกสวนหัวเขาไปในหนังปลาหมึก ลอกหนังออกจะเห็นเนื้อปลาหมึกสีขาว สวนที่เปนหัวใหดึง เอาถุงหมึกและใชมีดตัดลูกตาและจงอยปากออก ควักไสพุงออกแลวลางน้ําใหสะอาด ปลาหมึกสาย ทําความสะอาดโดยใชมีดตัดหนวดออก แลวผาตัวปลาหมึกออก ควักไสพุงทิ้งไป รวมถึงจงอยปากดวย จากนัน้ ลอกหนังโดยนําไปลวกใหครึ่งสุกครึ่งดิบ หนังจะลอกหลุดออกไดงาย การหั่นปลาหมึก ปลาหมึกกลวยจะตัวเล็กมักจะหั่นครึ่งตัว แลวนําไปผัดหรือสอดไสหมูสับทํา แกงจืด ถาเปนปลาหนึกตัวใหญใหแลผาเปนแผนใชมีดกรีดขวางกากบาทแบบเฉียง รอยกรีดไวจะทําให สวยงามและปลาหมึกจะมวนเปนวงนอกจากนี้จะชวยใหเคี้ยวงายไมเหนียว 8. การเตรียมเนื้อสัตวประเภทเนื้อหมู เนื้อไก
75
การเตรียมเนื้อสัตวเพื่อนําไปประกอบอาหารขึ้นอยูกับลักษณะอาหารทีต่ องการ เชน จะนําไปผัด ทอด ตม หรือตุน เปนตน วิธีเตรียมดังนี้ 8.1 การทําความสะอาดเนื้อสัตว กอนนําไปประกอบอาหารควรทําความสะอาดดวยการลางน้าํ ทั้งชิ้น ไมควรหั่นเนื้อเปนชิ้นเล็ก ๆ แลวนําไปลางหรือลางโดยแชน้ํานาน เพราะรสชาติและสารอาหารที่มีประโยชน จะละลายไปกับน้ํา หลังจากลางควรผึงใหสะเด็ดน้ํา 8.2 การหั่นหรือการตัดแตง การหั่นเนื้อสัตวมีสวนชวยในการหุงตมมาก ถาตองการใหสุกเร็ว จะหั่น ชิ้นขนาดเล็ก เชน การนําไปผัดหรือแกง แตถาเนื้อเหนียวมากควรใชวิธีทับหรือบด จะชวยใหบริโภคไดงาย การหั่นตองหัน่ ตามขวางเสนใยกลามเนื้อใหมีขนาดสั้นลง จะชวยใหเนื้อเหนียวนอยลง ถาชิ้นเนื้อมีเอ็นและ พังผืดติดมาควรแลออกกอน
9. เทคนิคในการประกอบอาหารไทยประเภทผัดและทอด ในการประกอบอาหารประเภทผัดและทอดนั้นสามารถใชทั้งเนื้อสัตว ผัก และวัตถุดิบประเภทแปง เปนวัตถุดิบหลักในการประกอบ ซึ่งวัตถุดิบแตละประเภทจะมีเทคนิคและวิธีการประกอบที่แตกตางกันเพื่อให ไดลักษณะทีด่ ขี องอาหารนั้น ๆ ซึ่งจะทําใหนารับประทานมากยิ่งขึน้ ในการประกอบอาหารประเภทผัดและ ทอดมีเทคนิคที่แตกตางกันออกไปดังนี ้ 9.1 เทคนิคการผัด การผัดถึงแมจะมีเทคนิคอยางงาย ๆ แตก็มีขอปฏิบตั ิหลายประการที่ผูประกอบ อาหารควรทราบ และปฏิบัติใหถูกตอง ใหอาหารที่ประกอบมีคุณภาพดีสมความมุง หมาย 9.1.1 ใชน้ํามันเล็กนอย น้ํามันที่ใชจะตองไมเปนไขเมือ่ เย็นตัว อาจเปนน้ํามันถั่วเหลือง หรือน้ํามันสลัดก็ได น้ํามันที่ใชตองรอนจัดในกรณีที่ผัดไฟแดง โดยสังเกตดูไอน้ํามัน น้ํามันที่รอนจัดจะมีไอ น้ําเล็กนอย สวนการผัดธรรมดาใชไฟออนกวานั้นเพียงใหน้ํามันรอนจัดเพียงพอแลว 9.1.2 อาจเติมกลิ่นลงในน้าํ มันกอนการผัด โดยใสกระเทียมลงไปเจียวใหหอม การ เจียวกระเทียมตองทําอยางระมัดระวัง อยาเจียวจนเหลืองแกหรือดํา เพราะจะทําใหอาหารที่ผัดมีรสขม ไมนา รับประทาน การเจียวกระเทียมจะตองทราบวากําลังจะผัดอะไร ตองใชความรอนมากนอยเพียงใด ถาตองการ ผัดไฟแดงไมควรใสกระเทียมลงไปผัดกอน เพราะไฟรอนจัดกระเทียมจะไหม ควรใสกระเทียม ผัก น้ํา เครื่องปรุงรสและเครี่องปรุงกลิ่นลงไปพรอมกันแลวผัดเร็ว ๆ รีบตักขึ้น ถาเปนผัดธรรมดาใหใสกระเทียมลงไป
76
เจียวกอน พอกระเทียมหอมจึงใสเนื้อสัตวและผักลงไป ตามดวยน้ําซุป เครื่องปรุงรส อาจตองมีการรอคอยให เนื้อสัตวหรือผักสุกยากสุกจนหมดโดยการครอบอาหารไวจึงตักขึ้น 9.1.3 เติมน้ําขณะที่ผัด น้ําสตอก หรือไวนลงไปเล็กนอย น้ําหรือน้ําสตอกควรอุนใหมี อุณหภูมิใกลจดุ เดือดมากที่สุด (เพราะจะไมทําใหอณ ุ หภูมิลดลง) และจะกลายเปนไอทันทีเมื่อสัมผัสกับภาชนะ รอน เปนการเพิ่มความรอนใหกับอาหาร ทําใหอาหารไดรับความรอนอยางสม่ําเสมอ และทําใหอาหารมีความ ชุมขึ้นดวย 9.1.4 ใสผักหรือเนื้อสัตวที่สุกยากลงไปผัดกอน ถาอาหารเปนผักหรือเนื้อสัตวหลาย ชนิด ระยะเวลาที่ใชทําใหสุกแตกตางกัน ควรใสผักหรือเนื้อสัตวที่สุกยากลงไปกอนแลวตามดวยผักหรือ เนื้อสัตวที่สุกงายลงไปตามลําดับ หรือลวกผักแตละชนิดกอนนําไปผัด 9.1.5 เติมรสชาติของการผัด รสที่นิยมใชกันคือรสเค็มและรสหวาน รสเค็มนิยมใชเกลือ น้ําปลา ซีอิ้วขาว ซีอิ้วญี่ปุน เตาเจี้ยว น้ํามันหอย ซอสแม็กกี้ ซอสบารบีคิว น้ํามันงา จิกโฉว ฯลฯ สวนพวก รสหวานนิยมใสน้ําตาลหรือผงชูรส ปริมาณที่ใชไมควรมากเกินไปจนเกิดรสหวาน เพียงแตตัดรสอื่น ๆ ของ เนื้อสัตวหรือผักและชวงดึงรสหวานใหเดนชัดขึ้นเทานัน้ ถาเปนผงชูรสควรใชปริมาณรอยละ 0.02 ผัดผัก 1 จาน สําหรับ 4 คน ควรใชน้ําตาลหรือผงชูรส ¼ ชอนชา 9.1.6 จัดวางเครื่องปรุงรสทุกชนิดไวใกลมือสามารถหยิบจับไดสะดวก และเร็วขึ้น การผัดอาหารบางครั้งตองปฏิบัติอยางรวดเร็ว โดยเฉพาะเนื้อสัตวไมควรสุกมากเกินไป เนื้อจะแข็งกระดาง ไม นุมนวลและผักจะเปลี่ยนเปนสีเขียวขี้มา ไมนารับประทาน 9.1.7 อาจเติมแปง อาหารผัดหลายชนิดตองมีการเติมแปงลงไปดวย อาจเปนแปงมัน สําปะหลังหรือแปงขาวโพดก็ได แปงทําใหอาหารมีความหนืดเพิ่มขึ้น แปงจะชวยรักษากลิ่นรสของเนื้อสัตวไว ดวย ทําใหออกรสอรอยมากขึ้น การเติมแปงเริ่มดวยการละลายแปงในน้ําเย็น หรือน้ําซุปก็ได แลวเทลงใน กระทะทีก่ ําลังทําอาหารคนใหท่วั เมื่ออาหารมีอุณหภูมปิ ระมาณ 950C แปงเริ่มขนเหนียว ใหเพิ่มอุณหภูมิ สูงขึ้นจนกระทั่งเดือด หรือแปงสุกจึงตักขึ้น 9.2 เทคนิดการทอด ทอดคือการทําอาหารใหสุกโดยใชน้ํามันเปนสื่อความรอน และอาหารที่สุก ดวยการทอดจะมีน้ํามันซึมซับแทรกอยูใ นอาหารนั้น ๆ ดวย น้ํามันทีแ่ ทรกเขาไปในเนื้ออาหาร หากซึมเขาไป แตเหมาะก็จะทําใหอาหารนัน้ อรอยยิ่งขึ้น แตหากซึมเขาไปมากเกินไปเรียกวา “อมน้ํามัน” จะทําใหอาหารมี
77
ความเลี่ยนเกิดขึ้น เปนการทําลายความอรอยของอาหารใหลดลง ดังนั้นการทอดอาหารจึงมีความเขาใจ ธรรมชาติของน้ํามันที่ใชทอดดวย ตามทฤษฏีกลาววา น้ํามันที่ใชทอดอาหารไดไมวาจะเปนน้าํ มันหมู น้ํามัน ไก น้ํามันมะพราว น้ํามันมะกอก น้ํามันถั่วเหลือง น้าํ มันถั่วลิสง น้ํามันรําขาว ฯลฯ แตคุณสมบัติในการทอด ของน้ํามันเหลานั้นจะมีไมเทากัน น้ํามันที่เหมาะในการทอดแบบใชน้ํามันมากควรเลือกน้ํามันทีม่ ีจุดเปนควัน สูง (เปนควันชา) และผูชํานาญการบางรายจะใชน้ํามันหลายชนิดปนกัน เพื่อใหไดลักษณะของอาหารที่ทอด เสร็จแลวดีดังตองการ เชน พอครัวเทมปุระชาวญี่ปุนจะใชใหไดลักษณะเฉพาะตัวดีที่สุด น้ํามันยิ่งทอดซ้ํายิ่ง เปนควันเร็วขึน้ อุณหภูมิที่ใชทอดอาหารตางชนิดกันจะใชอุณหภูมิในการทอดไมเทากัน อาหารบางชนิดตองทอด ในอุณหภูมิทคี่ อนขางต่ํา เชน ขาวเกรียบกุง หนังหมูตากแหง ปลาตัวโต ฯลฯ สวนขาวตัง ปลาชิงชัง ปลาหมึกแหง ฯลฯ ตองทอดในอุณหภูมทิ ี่คอนขางสูงจึงจะพองแลวกรอบรวน เปนตน กลิ่นของน้ํามันจะมีผลตอกลิ่นของอาหารที่ทอดเสร็จแลวดวย จึงควรเลือกน้ํามันที่ไมมีกลิ่น อาหารไทยทัว่ ไปนิยมปรุงแตงกลิ่นรสกลบกลิ่นรสตามธรรมชาติอยูแลวจึงไมคอยเกิดปญหาในเรือ่ งกลิ่นของ น้ํามันกับอาหารไทยมากนัก 9.2.1 อาหารทอดในน้ํามันมาก มีอาหารไทยหลายชนิดที่ตองทอดในน้ํามันมากจนทวมชิ้น อาหาร ในขณะทีใ่ สอาหารลงในน้ํามันครั้งแรก แตเมื่ออาหารนัน้ สุกจะลอยขึน้ มาอยูที่ผิวหนาของน้ํามัน อาหารทอดทีน่ ิยมมีหลายอยางเชน ทอดมัน ปลาทอด ไกทอด ไขทอด ฯลฯ ปลาทอด หลักในการทอดปลา คือตองเลือกปลาสด ทําเสร็จแลวเคลาเกลือนิด หนอย ตังกระทะใหรอ นกอนจึงใสน้ํามัน เมื่อน้าํ มันรอนจึงใสปลาลงทอด ใสปลาแลวไมขยับ หรือกลับชิ้นปลารอ จนกวาจะสุกเกรียมตามตองการเสียกอน จึงกลับอีกดานหนึ่งลงทอดตอ ตักขึ้นใหสะเด็ดน้ํามัน เสิรฟทันที 1)
1.1 ทอดแบบธรรมดา ใชปลาทัง้ ตัว เชน ปลาจะระเม็ด ปลาสําลี ปลาเกา ปลาทู ฯลฯ ขอดเกล็ดควักเหงือกและไสลางใหสะอาด ผึงใหน้ําแหง (ครีบและหัวยังคงอยู) ทาดวยเกลือปนใหทวั่ (จะชวยไมใหติดกระทะเวลาทอด) พักไวใหเนื้อแข็งสัก 15 นาที จึงนําลงทอดจนผิวกรอบขางในนุม ใชปลาที่ แลออกเปน fillet เชน ปลาชอน ปลาแดง เคลาเกลือแลวทอด 1.2 ทอดแบบชุบไขและเกร็ดขนมปง หรือคลุกแปงแหง ใชปลาที่แลออกเปนซีก
78
ปรุงรสดวยเกลือ และพริกไทย ชุบไข (ตีใหแตกเขากัน) เกลือลงในเกร็ดขนมปงหรือแปงสาลี (แหง) นําลง ทอดจนผิวเหลือง ทอดวิธีนี้เนื้อปลาจะนิม่ และฉ่ําน้ํารสหวานของเนื้อปลายังเหลืออยูมากกวาวิธีแรก ปลาที่ ทอดวิธีนี้ควรเลาะหนังออกดวย และควรเก็บหรือเซาะกางออกใหหมด มีปลาหลายชนิดที่ควรทอดวิธีนี้ เชน ปลาทู ปลาตาเดียว ปลาแดง ปลากะพง ฯลฯ 1.3 ทอดทั้งตัวโดยบั้งขางตัวใหถี่ ปลาบางชนิดที่มีกางแทรกในเนื้อสามารถทอดได แตตองบั้งตามขวางใหถี่ ๆ รอยบั้งหางกันประมาณ 0.5 เซนติเมตร ใหลึกถึงกระดูกกลางทั้ง 2 ดาน ทาเกลือ ใหเนื้อแข็งแลวทอดใหกรอบ กางแทรกจะกรอบทั้งหมดกินไดทั้งกาง (กางแทรก) เชน ปลาตะเพียน ปลา นวลจันทร ฯลฯ 1.4 ชุบแปงทอด จะตองแลเอาแตเนื้อ เก็บกางออกใหหมดเคลาเกลือ พริกไทยพอ มีรส ชุบลงในแปง (batter) เหมือนแปงที่ใชในการทํากุง-ปูชุบแปงทอดแพ เหมาะสําหรับปลาตัวเล็ก ๆ เชน ปลาทรายที่แลเปนแบบ fillet และปลาตัวโต ๆ ที่แลเปน fillet แลวนํามาหั่นเปนชิน้ หนาประมาณ 1 เซนติเมตร 1.5 ปงแลวทอด ปลาบางชนิด เชน ปลาดุก นํามาปงใหสุกตะกุยเนื้อใหฟเู ปนปุย หรือสับใหละเอียดแลวทอดใหกรอบจะไดปลาทอดที่เรียกวา ปลาฟู หรือปลาดุดฟู ปลาอื่น ๆ เชน ปลานิล ปลาสวาย ทําปลาฟูได 1.6 นึ่งแลวทอด นําปลาสดมาทําใหสะอาด (ควักเหงือกและไสลางสะอาด ผึ่งให สะเด็ดน้ํา) แชในน้ําเกลือพอมีรสเค็มนําขึ้นนึ่งพอสุก เมื่อจะรับประทานนํามาทอดใหผิวเหลืองเสียกอนจะ อรอยขึ้น เชน ปลาทูนึ่ง ปลาจวด ปลาหลังเขียว ปลาแมคเคอรอล ยังมีปลาอีกกลุมหนึ่งที่นึ่งใหสุก นํามายีให เนื้อฟูแลวทอดกรอบเปนปลาฟู เชน ปลาสวาย ปลาแดง ปลานิล 2) ไกทอดและเนื้อสัตวอื่น ๆ เชน เนื้อและหมู การทอดไกจะมีวิธีการเหมือนการทอด ปลา คือ ทอดโดยไมเคลือบผิว ทอดโดยเคลือบผิวดวยขนมปงปน แปงแหง หรือแปงผสม (batter) 3) ไขทอดหรือไขดาว ทอดในน้ํามันมากและคอนขางรอน (แบบไทย) ไขขาวจะฟองฟู มีโพรงอากาศแทรกอยูมาก มีความเหนียวเกิดขึ้น
79
9.2.2 การทอดอาหารในน้าํ มันนอย อาหารไทยหลายอยางที่ไมจําเปนตองทอดในน้ํามันมาก เชน หมู ไก กุง ปลาหมึกทอดกระเทียม พริกไทย ควรใชน้ํามันพอควร แตไมทวมชิ้นของเนื้อสัตว ใชความ รอนพอผิวดานลางเกรียมก็พลิกกลับเอาดานบนลงใหเกรียมเทากันแลวตักขึ้น การทอดไฟแรงผิวจะเกรียม โดยเร็ว แตขา งในจะสุกนุมและฉ่ํา (น้ําหวานในชิ้นเนื้อ) จึงเลือกเนื้อสัตวสวนที่นุมหมักหรือปรุงรสใหพรอม แลวทอด หรือทอดพอสุกเกรียมทั้ง 2 ดาน แลวราดดวยน้าํ ปลา ซีอิ้วขาว หรือซอสปรุงรส เชน ปลาอินทรีย (ปลาหั่นแบบ steak) ทอดราดน้ําปลา เปนตน น้ํามันทีใ่ ชทอดจะรวมเขาไปในอาหารนั้น ๆ ทั้งหมด 10. สุขอนามัยของผูป ระกอบการ มารยาทในการใหบริการอาหารไทยประเภทผัดและทอด บุคคลที่ทําหนาที่เกี่ยวของกับอาหารทุกขัน้ ตอนควรมีความรู ความเขาใจในการปฏิบัติตัวอยางถูกตอง ทั้งในเรื่องอนามัยสวนบุคคล และสุขนิสัยที่ดีในการประกอบและปรุงอาหาร โดยยึดหลักวาจะตองไมให อาหารเกิดการปนเปอนทุกกรณีในทุกขั้นตอน เริ่มจากกอนเขาครัว ระหวางการประกอบอาหาร และหลังเสร็จ สิ้นงานจึงควรทราบถึงขอควรปฏิบัติตาง ๆ เพื่อใหอาหารสะอาดปลอดภัย และการปองกันอันตรายตาง ๆ ที่ อาจเกิดขึน้ ในขณะประกอบอาหารดวย 10.1 ผูสัมผัสอาหาร คือ บุคคลที่เกี่ยวของกับกระบวนการปรุง ประกอบ และจําหนายอาหาร ไดแก คนเตรียมปรุง และประกอบอาหาร คนเสิรฟอาหาร คนจําหนายอาหาร ผูสัมผัสอาหารควรมีสุขภาพดี ไม แพรกระจายโรค ดังนั้นจึงควรใหผูทํางานเกี่ยวของกับอาหารไดตรวจสุขภาพเปนประจําทุกป อยางนอยปละ ครั้ง และมีใบรับรองแพทยเพื่อแสดงวาผานการตรวจสุขภาพรางกายแลว เปนผูที่มีรา งกานและสุขภาพสมบูรณ สามารถปฏิบัติงานในฐานะผูสัมผัสอาหารได โดยปราศจากโรค ดังนี้ 10.1.1 โรคไทฟอยด 10.1.2 โรคตับอักเสบชนิดเอ ระยะติดตอ 10.1.3 โรคพิษสุราเรื้อรัง 10.1.4 วัณโรคในระยะอันตราย 10.1.5 โรคติดยาเสพติดใหโทษ 10.1.6 โรคเอดส 10.1.7 โรคเทาชาง ในระยะที่ปรากฏอาการอันเปนที่นารังเกียจแกสังคม 10.1.8 โรคเรื้อนในระยะติดตอ หรือในระยะที่ปรากฏอาการเปนที่นารังเกียจแกสังคม
10.2 การดูแลรักษาสุขภาพและความสะอาดของรางกาย
80
ผูสัมผัสอาหารควรสังเกตสุขภาพของตนเอง ถามีอาการผิดปกติ หรือเจ็บปวย ควรหยุดปฏิบัติงาน หรือเปลี่ยนหนาที่ไมทํางานสัมผัสกับอาหาร ไดแก เจ็บคอ มีไข ทองเสีย อาเจียน ตัวเหลือง ตาเหลือง เปน แผลมีหนองอักเสบ เพราะอาจแพรเชื้อโรคลงสูอาหารได นอกจากการดูแลสุขภาพแลวยังควรมีการปฏิบัติเพื่อ รักษาความสะอาดของรางกายใหถูกตองควรทําเปนประจําดังตอไปนี้ 10.2.1 อาบน้ําชําระลาง ทําความสะอาดรางกายทุกสวน อยางนอยวันละ 2 ครั้ง 10.2.2 สระผมอยางนอยสัปดาหละ 2 ครั้ง ไมควรไวผมยาว ไมเปนโรครังแคหรือโรคเกี่ยวกับ หนังศีรษะ 10.2.3 แปรงฟนใหถูกวิธี ในตอนเชาและกอนนอนทุกวัน และหลังรับประทานอาหารแลวควร บวนปากดวยน้ําสะอาดทุกครั้ง รักษาอนามัยของปากและฟนเปนประจํา อยาปลอยใหฟนผุ คออักเสบ 10.2.4 รักษาความสะอาดของมือ โดยการตัดเล็บสั้น ไมทาเล็บ ไมสวมนาฬิกา เครื่องประดับ หรือสิ่งใดที่ขอ มือ ถามีบาดแผลเล็กนอยที่มือควรใสยาและปดดวยพลาสเตอรกันน้าํ สวมถุงมือทับอีกครั้งเมื่อ ปฏิบัติงานสัมผัสอาหาร 10.3 สุขนิสัยที่ดีในการประกอบและปรุงอาหาร การปฏิบัติตนของผูสัมผัสอาหารที่ถูกสุขลักษณะในการปฏิบัติงาน เริ่มกอนจากทําหนาที่ ระหวางการ ปรุงและประกอบอาหาร จนถึงการวางจําหนายและเสิรฟอาหารควรปฏิบัติดังนี้ 10.3.1 การเตรียมพรอมกอนปฏิบตั ิงาน 1) การแตงกาย ตองแตงใหสะอาดถูกตอง ไดแก สวมหมวกคลุมผม และเก็บผมใหเรียบรอยมิดชิด เพราะเชื้อโรคหลายชนิดพบไดที่หนัง ศีรษะ และเสนผม จึงอาจจะรวงหลนลงสูอาหารถาผูสัมผัสอาหารเกาศีรษะในระหวางปฏิบัติงาน เชื้อโรคจะ ติดอยูที่มือและอาจติดไปกับอาหารจากการหยิบจับอาหารโดยไมลางมือใหสะอาด ควรสวมหมวกคลุมผมกอน สวมเสื้อคลุม เพื่อไมใหเสนผมหลนอยูบนเสื้อ ใสเสื้อผาที่สะอาด ควรเปนเสื้อมีแขน และควรเปลี่ยนไปใชผาที่ใชเฉพาะในการปฏิบัติงาน เพราะเสื้อผาที่ไมสะอาดจะเปนแหลงสะสมเชื้อโรค และถาใชมือสัมผัสเสื้อผาสกปรกแลวหยิบจับอาหารก็เปน การแพรเชื้อโรคได เสื้อผาที่สะอาดจะชวยปองกันความสกปรก เหงือ่ ไคลลงปนเปอนกับอาหารได หลังจาก สวมเสื้อคลุมแลวอาจมีการใชลูกกลิ้ง เก็บเสนผมที่เสื้อผาดานนอกออก
81
ผูกผากันเปอนเต็มตัวที่สะอาด เพื่อปองกันสิ่งสกปรกจากผูประกอบอาหารปนเปอ นลงสู อาหารและหมัน่ นําไปซักทําความสะอาดเปนประจํา เพือ่ ไมใหเปนแหลงสะสมเชื้อโรคสิ่งสกปรก ควรถอดผา กันเปอนออกชั่วคราวเมื่อเขาหองน้ํา สวมรองเทาสะอาด กอนปฏิบัติงานควรลางเทาและเปลีย่ นใชรองเทาเฉพาะการทํางาน ควร เปนรองเทาหุม สน พื้นรองเทาไมลื่น และไมทําใหเกิดการกระเด็นของน้ําจากพืน้ ขึน้ มา ไมควรใชรองเทาแตะ เพราะจะดีดน้าํ รองเทาจะเปนสวนที่สัมผัสกับสิ่งสกปรกตาง ๆ จากภายในและภายนอกครัว แลวนํามา แพรกระจายภายในครัว และอาจแพรไปสูอาหารไดตอ ไป ควรเปลี่ยนรองเทาเมื้อตองใชหองน้ําเพราะเปน แหลงสะสมเชือ้ โรค 2) การลางมือ ตองลางมือใหสะอาดกอนและหลังการปฏิบัติงานที่เกี่ยวของกับอาหารทุก ครั้ง โดยลางมือดวยสบูใ หสะอาดทุกสวน เพราะเชื้อโรคจะติดอยูตามมือและเล็บ ควรลางมือหลังจากสัมผัส สิ่งสกปรก เชน อาหารดิบ ผาขี้ริ้ว ขยะ สารเคมี ยาฆาแมลง หลังจากการใชหองน้ํา การใชแกะเการางกาย การใชมือปดปาก จมูก ขณะไอจาม ฯลฯ มือจึงเปนแหลงสะสมและกระจายเชื้อโรคได โดยเฉพาะผูที่มีเล็บ ยาว หรือมีการอักเสบบริเวณมือและเล็บ การลางมือที่มีประสิทธิภาพ ควรทําตามขั้นตอนตาง ๆ ทุกขั้นตอน ทํา 5 ครั้ง สลับกันทัง้ 2 ขาง ดังนี้ 1.ฝามือถูกัน 2.ฝามือถูหลังมือ และถูซอกนิ้ว 3.ฝามือถูฝามือ และนิว้ ถูซอกนิ้ว 4.หลังนิ้วมือ ถูฝามือ 5.ถูหัวแมมือโดยรวม ดวยฝามือ 6.ปลายนิ้วถูทางฝามือ 7.ถูรอบขอมือแลวลางดวยน้ําสะอาด ควรใชเวลาในการลางมือดวยสบูอยางนอย 20-30 วินาที แลวลางดวยน้ําสะอาดทีไ่ หลผาน จนหมดสบู การลางมือควรทําความสะอาดตั้งแตสวนมือจนถึงขอศอก หลังจากลางมือแลวควรใชกระดาษเช็ดมือชนิดใชครั้งเดียว เช็ดใหแหงหรือเปาดวยลมรอน หามเช็ดมือกับผากันเปอน หรือเสื้อผา หรือผาที่ไมสะอาด 10.4 ขณะปฏิบัติงาน
82
ผูปฏิบัติงานดานอาหารควรคํานึงถึงความสะอาดปลอดภัยของอาหาร ปองกันการปนเปอนขาม (cross contamination) มาสูอาหารที่ปรุงสุกแลว และควรระมัดระวังการทํางานใหปลอดภัยจากอันตราย และอุบัติเหตุตา ง ๆ ดวย 10.4.1 ความสะอาดปลอดภัยของอาหาร ควรมีวิธีการปฏิบัติโดยคํานึงถึงสิ่งตอไปนี้ 1) ประกอบอาหารใหสูงจากพื้นอยางนอย 60 ซ.ม. ไมควรทํางานบนพื้นเพื่อปองกันสิ่ง สกปรกและการปนเปอนจากพื้นสูอาหาร โดยทั่วไปโตะประกอบอาหารจะสูงประมาณ 80 ซ.ม. จึงสามารถ ปองกันการกระเด็นของน้ํา และการฟุงกระจายของฝุนละอองและเชือ้ โรคจากพื้นหองได ไมควรเตรียมและ ปรุงอาหารบริเวณหนา หรือในหองน้ํา เพราะเปนแหลงสะสมเชื้อโรค 2) การลางเตรียมอาหารใหถูกวิธี อาหารสดมีการลางสะอาดอยางถูกวิธี เพื่อชวยลดสารพิษ ตกคางในผักผลไม มีการเตรียมเนื้อสัตวอยางเหมาะสมแลวบรรจุแยกประเภทเปนสัดสวนเพื่อใหอาหารอยูใ น สภาพที่สะอาดกอนนําไปประกอบ และชวยปองกันการปนเปอนขามของวัตถุดิบ 3) แยกเขียงสําหรับใชงานกับอาหารตางประเภทกัน คือ เนือ้ สัตวดิบ ผักผลไม อาหารสุก โดยใชเขียงสีตางกัน และควรแยกมีดดวยเพื่อไมใหสิ่งสกปรก และเชื้อโรคจากอาหารชนิดหนึ่ง ไปสูอาหารอื่น เขียงและมีดควรมีสภาพดีไมเปนสนิม ไมชํารุด สกปรกเปนรา มีการลางทําความสะอาดดวย น้ําสบูและน้ํายาฆาเชื้อ ผึ่งใหแหง เก็บอยางเหมาะสมหลังการใชงาน 4) การชิมอาหาร ควรใชชอนชิมแยกเฉพาะ ไมควรนําชอนชิมตักอาหารโดยตรง เพราะ เชื่อโรคและน้าํ ลายในปากจะปนเปอนลงอาหารได หากเปนอาหารรอนอาจตักใสถวยแบงกอนชิม 5) การใชอุปกรณกับอาหารที่ปรุงสุกแลว เชน ใชปากคีบ ทัพพี ชอน หรือตะเกียบ คีบ ตามความเหมาะสมของอาหาร โดยจะตองรักษาอุปกรณที่ใชใหสะอาดอยูเสมอ และวางในที่เหมาะสม เชน มีภาชนะรองรับเพื่อไมใหอุปกรณเหลานั้นสกปรก นําเชื้อโรคสูอาหารไดหากจําเปนตองใชมือสะอาด สัมผัสอาหารได 6) การใชถุงมือ ถุงมือมีประโยชนในการปองกันมือจากการถูกมีดบาด จากสิ่งสกปรก เชื้อโรคปองกันการแพน้ํายาจากสารทําความสะอาด จึงควรเลือกใชถงุ มือที่เหมาะสมในการปฏิบตั ิงาน และใช อยางถูกวิธี ดังนี้ ก. ถุงมือยาง อาจยาวถึงขอศอก คอนขางหนา ใชสําหรับงานลางทําความสะอาด
83
ภาชนะ มีความทนทาน ใชงานไดหลายครั้ง เมื่อใชแลวลางใหสะอาดทั้งดานนอกดานใน กลับดานในออก ผึ่งใหแหง ข. ถุงมือแพทย ทําจากยาง เลือกใชใหเหมาะกับขนาดมือจะกระชับมือ ใชสําหรับงาน ทําอาหารสด การผสมเครื่องปรุง ใชเพียงครั้งเดียวไมควรลางแลวนํากลับมาใชใหม ค. ถุงมือพลาสติก ไมคอยกระชับมือ ใชงานไดชั่วคราว เชน การบรรจุอาหาร 7) รักษาความสะอาดของมือเสมอขณะประกอบอาหาร สวนใหญจะตองใชมือจับ ตองอาหารหรือหยิบจับสิ่งสกปรก เชน อาหารดิบ เศษอาหาร ขยะ จึงตองลางมือดวยสบู และน้ําสะอาดบอย ๆ และลางทุกครั้งหลังสัมผัสสิ่งสกปรก หลังจากถายอุจจาระใชหองน้ํา ไมใชนวิ้ มือแคะจมูก แคะฟน ตองลาง มือใหสะอาดทุกครั้งกอนหยิบจับอาหารปรุงสุก 10.4.2 ความปลอดภัยในการปฏิบัตงิ าน การทํางานในครัวมีโอกาสเสื่ยงตออุบัติเหตุที่เกิดจากการ ปฏิบัติงานไดตลอดเวลา ตัง้ แตอุบัติเหตุเล็กนอย เชน มีดบาด ไฟลวก ลื่นลม กลามเนื้ออักเสบ ไปจนถึง อุบัติเหตุรุนแรง เชน แกสระเบิด ไฟไหม เพราะงานในครัวมีการใชอุปกรณเครื่องมือที่มีทั้งความรอนสูง กําลังแรงหรือความเร็วสูง ประกอบกับงานที่บางเวลามีความวุนวาย การเรงรีบใหเสร็จทันเวลา จึงมีโอกาสเกิด อุบัติเหตุอันมักเกิดจากขาดความระมัดระวัง ความประมาทหรือเพิกเฉยละเลย ซึ่งสวนใหญสามารถปองกันได ดังนั้นจึงจําเปนที่ผูปฏิบัติงานทุกคนควรมีความระมัดระวังในการทํางานอยูเสมอ และใหความเอาใจใสตอการ ปองกันอุบัติเหตุตาง ๆ 10.5 คุณสมบัติของพนักงานบริการที่ดี คุณสมบัติและบุคลิกภาพที่ดขี องพนักงานบริการมีความจําเปนอยางยิ่งในการประกอบอาชีพบริการ อาหาร ผูทปี่ ระสงคจะประกอบอาชีพดานนี้ควรพิจารณาตนเองวาเหมาะสมในการปฏิบัติงานในหนาที่บริการ อาหารหรือไม หรือพยายามปรับปรุงแกไขตนเองเพื่อใหมีบุคลิกภาพที่ดียิ่งขึ้น คุณสมบัติและบุคลิกภาพที่ดี ของพนักงานบริการมีดังนี้ 1. การมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไมมีโรคภัยไขเจ็บ 2. การมีทัศนคติที่ดีตออาชีพ ตองเขาใจและยอมรับในอาชีพ 3. การมีรางกายปกติ คือ ไมพิการ สายตาดี ฯลฯ 4. การมีบุคลิกภาพที่ดี หมายถึง การแตงตัว เครื่องแบบ ทรงผม 5. การแสดงออก การพูดจา สีหนา ทาทางตาง ๆ ควรสุภาพออนนอม พูดจาคลองแคลว 6. การมีความสูง น้ําหนักสมดุล 7. การมีความอดทน
84
8. การมีความรูภาษาตางประเทศ 9. การมีความซื่อสัตย 10. การมีพื้นฐานการศึกษาในวิชาชีพ บุคลิกภาพที่ดปี ระกอบดวย บุคลิกภายนอกและภายใน กลาวคือ บุคลิกภายนอก ชาย 1. ผมตัดสั้น เรียบรอยไมมีชายผมปรกหนา ชายผมดานหลังสั้น พนปกเสื้อคอวีให เรียบรอย 2. ใสน้ํามันใสผมหรือเจลได แตอยามากเกินไป 3. หามยอมผม กัดสีผม 4. หามแตงหนา แตอาจใชแปงฝุนเล็กนอย 5. หามไวหนวด เครา จอน ตองตัดและโกนใหเรียบรอย 6. ตัดขนจมูกไมใหยาวเกินออกมา 7. หากมีปญหาทางสายตาอาจใชคอนแทคเลนส แตตองเปนสีธรรมชาติ 8. รักษาไมใหมีกลิ่นปาก และลมหายใจ 9. ปากแหงควรใชลิปมันทา 10. เล็บตัดสั้นไมมีขี้เล็บ 11. หามทาเล็บ 12. หลีกเลี่ยงการใชน้ําหอมที่มีกลิ่นฉุน 13. ระวังไมใหมีกลิ่นตัว 14. ควรใชยาระงับกลิ่นตัว 15. สวมเครื่องแบบที่รานกําหนด 16. รีดใหเรียบรอยไมมีรอยสกปรกหรือรอยยับ 17. ติดกระดุมทุกเม็ดใหเรียบรอย 18. ติดปายชื่อ ตลอดเวลาทีท่ ํางาน 19. รักษาปายชื่อใหสะอาดอยูเสมอ 20. ตางหู หามใสเด็ดขาด 21. นาฬิกา แบบสุภาพไมเปนแบบแฟนซีไมมีการตั้งเวลาปลุก 22. แหวน กําไล หามใสเวลาปฏิบัติงาน 23. สรอยคอ ถาใสใหใสเสนเล็ก และไวในเสื้อ 24. รองเทาตามแบบที่กําหนด 25. หากเปนรองเทาหนัง ตองขัดมันอยูเสมอ 26. ถุงเทาสะอาดและเปลีย่ นทุกวัน
85
27. ลักษณะทาทางสงางาม สดชื่น ไมหงุดหงิด 28. มีความมั่นใจในการเดิน เคลื่อนไหวดวยความกระฉับกระเฉง หญิง 1. ผมยาวตองรัดใหเรียบรอย ถาใหดีควรใสเน็ทคลุมผมดวย 2. ผมสั้นใชกบิ๊ สีดําไมมีลวดลาย ตัดผมไมใหปรกหนา 3. หามยอมหรือกัดสีผม 4. ควรแตงหนาพองาม สีไมฉูดฉาด 5. หากมีปญหาทางสายตาอาจใชคอนแทคเลนส แตตองเปนสีธรรมชาติ 6. ทาปากสีสภุ าพ ไมฉูดฉาด 7. เล็บตัดสั้นลางใหสะอาด 8. หามทาเล็บสีฉุดฉาด ควรใชสีเคลือบเทานั้น 9. หลีกเลี่ยงการใชน้ําหอมทีม่ ีกลิ่นฉุน 10. ระวังไมใหมีกลิ่นตัว 11. ควรใชยาระงับกลิ่นตัว 12. สวมเครื่องแบบที่รานกําหนด 13. รีดใหเรียบรอยไมมีรอยสกปรกหรือรอยยับ 14. ติดกระดุมทุกเม็ดใหเรียบรอย 15. ติดปายชื่อ ตลอดเวลาทีท่ ํางาน 16. รักษาปายชื่อใหสะอาดอยูเสมอ 17. ตางหู ใสไดที่เปนแบบเรียบรอย เล็ก ๆ ติดใบหูตางหูที่เปนพวงหรือหอยลงมาไม ควรใสเด็ดขาด 18. แหวน กําไล หามใสเวลาปฏิบัติงาน 19. สรอยคอ ถาใสใหใสเสนเล็ก และไวในเสื้อ 20. รองเทาตามแบบที่กําหนด 21. หากเปนรองเทาหนัง ตองขัดมันอยูเสมอ 22. ถุงเทาสะอาดและเปลีย่ นทุกวัน 23. ลักษณะทาทางสงางาม สดชื่น ไมหงุดหงิด 24. มีความมั่นใจในการเดิน เคลื่อนไหวดวยความกระฉับกระเฉง บุคลิกภาพภายใน 1. ฉลาดมีไหวพริบ 2. ชางสังเกต จดจํา 3. สํารวม นอบนอม รูจักกาลเทศะ
86
4. ซื่อสัตย สุจริต 5. ปรับปรุงตนเองใหทันตอเหตุการณ และสิ่งแวดลอม ความสําคัญของรูปลักษณและบุคลิกภาพที่มีผลตอการปฏิบตั ิงาน การบริการ ที่มีประสิทธิภาพเกิดจากความมั่นใจของพนักงานเสิรฟขณะเมื่อเขาไปใหบริการแก ลูกคา ความมัน่ ใจนีเ้ กิดจากรูปลักษณและบุลิกภาพของพนักงานบริการนั่นเอง 1. การพูด พูดดวยความมั่นใจและดวยทาทีที่เปนมิตรซึ่งจะกอใหเกิดบุคลิกที่ดีและ แสดงความมีประสิทธิภาพ 2. การมองผูที่กําลังพูดดวย สายตาจับอยูที่ผทู ี่กําลังพูดดวยเสมอ เพื่อแสดงวาเรา สนใจในขอความที่เขาพูด ถาไมมองดูผูพูดจะดูไมสุภาพและแสดงความไมสนใจ 3. การแสดงสีหนา เปนสิ่งสําคัญมาก จําไวเสมอวาการยิ้มสามารถชวยแกปญหาตาง ๆ ได 4. ผมตองสะอาด หวีใหเรียบรอย และรูปทรงดี 5. เล็บมือตองรักษาใหสะอาดอยูเสมอ และไมไวยาวจนเกินไป 6. ไมรับเคี้ยวหมากฝรั่งในที่เปดเผย 7. ไมสูบบุหรี่ นอกจากในเวลาและถานที่ที่อนุญาตไว 8. ตองรักษาเครือ่ งแบบใหสะอาด และเรียบรอยอยูเสมอ 9. สวมเฉพาะเครื่องแบบที่ถูกตองเทานั้น 10. รองเทาตองเหมาะสมและสวมใสสบาย 11. ใหความสนใจตอความสะอาดของรางกายเปนพิเศษ ถาจําเปนควรใชยาระงับกลิ่นตัว ดวย
11. การคิดตนทุนและการกําหนดราคาขาย การประกอบธุรกิจดานอาหารเริ่มตนจากอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่ใชแรงงานไมมากนัก ตอมา พัฒนาขึ้นเปนอุตสาหกรรมขนาดกลาง โดยผลิตและบริการอาหารและเครื่องดื่ม ในรานอาหาร ภัตตาคาร โรงแรมและอุตสาหกรรมบริการอาหารตามลําดับ การดําเนินธุรกิจตองใชคนที่มีความรู ความชํานาญงานเฉพาะ ทาง เพื่อผลิตอาหารและเครือ่ งดื่ม มีเครื่องจักรเครื่องทุนแรงขนาดตางๆ ใชในการผลิตทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ
87
การผลิตอาหาร หมายถึงการนําเอาวัตถุดบิ ตาง ๆ มาแปรสภาพตามกรรมวิธีการผลิต ดวยแรงงานคน หรือเครื่องจักร เปนอาหารสําเร็จรูป เพือ่ บริการและจําหนายแกผูบริโภค การผลิตและการบริการอาหารเปน ธุรกิจที่มีโอกาสรับใชสังคม ชวยพัฒนาสังคมใหมีชีวติ ความเปนอยูด ีขึ้น เปนอาชีพอิสระและใหผลกําไรที่ งดงามจากการประกอบการผลิต การจัดจําหนายและการบริการจึงมีความสําคัญที่ตอเนื่องกัน การกําหนดราคาขายจะขึ้นอยูกับราคาตนทุน คาดําเนินธุรกิจ ซึ่งเปนปจจัยที่สําคัญในการผลิต ใน ขั้นตอนของการแปรทรัพยากรใหเปนผลผลิตจะประกอบดวยสวนสําคัญ ดังนี้ 1. ที่ดิน ไดแก ที่ตั้งโรงงาน 2. แรงงาน หมายถึงคนทํางาน 3. เงินทุน หมายถึง เงินที่นํามาลงทุน มูลคาของอาคารที่ดิน เครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องใช สวนประกอบตาง ๆ ในการผลิตและบริการ 4. ผูประกอบการ คือผูริเริ่มดําเนินการ กอตั้งประกอบกิจการ ปจจัยในการผลิตสินคาและบริการก็คือตนทุนในการดําเนินธุรกิจ ตนทุนในการผลิตทุกชนิด เมื่อเริ่มผลิต สินคาหนวยแรกจะมีตน ทุนสูงมากและตนทุนจะต่ําลงเรื่อย ๆ ถามีการผลิตมากขึ้น การควบคุมตนทุนในการผลิตอาหารขึ้นอยูกับตํารับ (Standardization) การเลือกซื้อและการรูจักเก็บ อาหารนํามาใชใหเกิดประโยชนสูงสุดในการผลิตอาหาร ตํารับอาหารแตละตํารับจะตองทดลองทําหลายครั้ง จนไดรสชาติตามที่ตองการ จึงกําหนดลงไปเปนตํารับ การปรุงอาหารจะตองปฏิบัติตามตํารับ จึงจะสามารถ ควบคุมตนทุนการผลิตไดไมเกิดการสูญเสียโดยไรประโยชน
12. ราคา ราคา หมายถึง จํานวนเงินที่ผูซื้อจายสําหรับสินคาและบริการ ราคาเปนองคประกอบหนึ่งของสวน ประสมการตลาด ราคาที่จะประสบความสําเร็จจะตองเปนราคาที่ไดรับการยอมรับจากผูบริโภคและผูที่เกี่ยวของ ความสําคัญของราคาแยกพิจารณาเปน 2 ประเด็น คือ 1. ความสําคัญของราคาตอธุรกิจ ราคาเปนปจจัยหลักในการกําหนดความตองการซื้อของมนุษย
88
ดังนั้นราคาทําใหรายไดจากการขาย โดยนําเอาราคาคูณกับปริมาณของสินคาที่ขายจะเทากับราคาขายทั้งหมด และเมื่อนํารายไดจากการขายลบดวยตนทุนและคาใชจายทั้งสิ้นแลว ผลลัพธก็คือกําไร ราคาจึงมีความสําคัญตอ ความอยูรอดของธุรกิจ เปนเครื่องมือที่ใชในการแขงขันและไดมาซึ่งสวนครองตลาดของธุรกิจดวย 2. ความสําคัญของราคาตอระบบเศรษฐกิจ ราคาในระบบเศรษฐกิจจะเปนราคาตลาด (Market Price) ราคาของสินคาใดกําหนดโดยผูซื้อและผูขาย ราคาจึงเปนตัวกําหนดพืน้ ฐานของระบบเศรษฐกิจทีม่ ีอิทธิพลตอ การจัดสรรปจจัยการผลิตและทรัพยากรตางๆ เชน แรงงาน ที่ดิน ทุน ผูประกอบการ ซึ่งจะมีอิทธิพลตอผูผลิตใน การตัดสินใจซือ้ และลงทุนในการผลิตสินคานั้นๆ 13. วิธีการกําหนดราคาขาย การกําหนดราคาขายมีวิธีการพิจารณาหลายแนวทาง แตละวิธีอาจจะเหมาะสมกับอาหารหลายชนิด ซึ่ง ผูกําหนดราคาจะตองพิจารณานําไปใชใหเหมาะสมกับรานอาหารของตน และอาจมีการผสานวิธีการทั้งหมด เขาดวยกัน เพือ่ ใหมีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น วิธีการกําหนดราคาที่จะกลาวในทีน่ ี้คอื 1. การกําหนดราคาขายจากตนทุนอาหาร 2. การกําหนดราคาขายจากกําไรสวนเกิน 3. การกําหนดราคาขายจากตนทุนอาหารและตนทุนแรงงาน 13.1 การกําหนดราราขายจากตนทุนอาหาร การกําหนดราคาขายมีหลักการที่จะกําหนดราคาใหสูง เพียงพอสําหรับตนทุนและคาใชจายตาง ๆ และยังมีสวนเหลือใหผลเปนกําไร ตนทุนผันแปรที่นับวามี ความสําคัญมาก คือ ตนทุนอาหารและตนทุนแรงงาน โดยมากถือเปนแนวปฏิบัติวาในการที่จะทําให รานอาหารมีกาํ ไร ตนทุนทั้ง 2 สวนรวมกันไมควรเกินรอยละ 70-75 ของรายรับ โดยตนทุนอาหารมี คาประมาณรอยละ 30-40 ทั้งนี้ขึ้นอยูกับรูปแบบของรานอาหารภาวะตลาดของราคาอาหาร และอัตรา คาแรงงาน เนื่องจากตนทุนอาหารเปนตนทุนที่ผันแปรโดยตรงกับการผลิต รวมทั้งภาวะการตลาดที่กําหนดให สินคามีราคาสูงขึ้น การกําหนดราคาขายทัว่ ไปจึงนิยมพิจารณาจากตนทุนอาหารที่เรียกวา “คารอยละของตนทุน อาหาร” (food cost percentage) ซึ่งมีสูตรดังนี้ ตนทุนอาหาร X 100 ราคาขาย หรือ รายรับ
รอยละของตนทุนอาหาร =
89
ตัวอยาง เชน 1. รานอาหารใชตนทุนการผลิต 90,000 บาท และมียอดขาย 200,000 บาท ดังนั้น รานอาหารจะมี % ตนทุนอาหารเทากับ 90,000 X 100 = 45 % % ตนทุน = 200,000 จากสูตรเดียวกันเราสามารถปรับเปลี่ยนสูตรตามหลักการคํานวณ คือ 2. สมมติเรามีตนทุนอาหารที่ 3.60 และ % ของตนทุนเทากับ 30 % ดังนั้นยอดขาย = 3.6 = 3.6 = 30 % = 0.3
12 บาท
3. สมมติวา ผูจัดการฝายจัดเลีย้ ง ติดกับลูกคาซึ่งมีคาใชจายจัดงานที่ 150 บาท/คน และทาง ผูจัดการตองควบคุมตนทุนอาหารใหอยูที่ 30 %
ฉะนั้น ตนทุนตอหนึ่งคนจะเทากับ 45 บาท ยอดขาย X % ตนทุน = ตนทุน = 150 บาท X 30 % 45 บาท จากสูตรการวิเคราะหคารอยละของตนทุนอาหาร สามารถคํานวณยอนกลับเพื่อกําหนดราคาขายได เชน รายการอาหารหนึ่งมีตน ทุนอาหารเทากับ 50 บาท และคารอยละของตนทุนอาหารที่ผูประกอบการได กําหนดไวสําหรับรานอาหาร / ภัตตาคารเทากับรอยละ 35 ดังนั้น ราคาขายจะเทากับ 142.86 บาท จากการ คํานวณตอไปนี้ คารอยละของตนทุนอาหาร
=
35
=
ราคาขาย
=
ตนทุนอาหาร X 100 ราคาขาย 50 บาท X 100 ราคาขาย 50 X100 = 142.86 บาท
90
35 =
หรือปดเปนเลขเต็ม
143 บาท
การกําหนดราคาขายสําหรับอาหารแตละชนิดใชวิธีการคํานวณเหมือนกันและโดยมากหากเปน รานอาหารหรือภัตตาคารเดียวกันมักกําหนดคารอยละของตนทุนอาหารมักแยกกันระหวางกลุมอาหารคาว อาหารหวาน อาหารเรียกน้าํ ยอย และเครื่องดื่ม โดยอาจใชตัวเลขเฉลี่ยสําหรับอาหารแตละกลุมหรือในกรณี ของอาหารคาว อาจใชตวั เลขสําหรับอาหารแตละชนิดในกลุม สําหรับอาหารที่อาจมีตนทุนแตกตางไปมาก จากการคํานวณขางตน สําหรับอาหารที่ใชคารอยละของตนทุนอาหารเปนตัวเลขเดียวกันเชน เปนรอย ละ 35 ตัวเลข 100/35 จะเปนตัวเลขเดียวกันสําหรับนําไปคูณกับตนทุนของอาหารแตละชนิดเรียกวา “ตัวรวม กําหนดราคาขาย” หรือ “ปจจัยกําหนดราคาขาย” (pricing factor) และมักนิยมทอนใหเปนตัวเลขงาย ๆ และ นําไปคูณกับตนทุนอาหารซึง่ มักนิยมมากกวาการนําคารอยละของตนทุนอาหารไปหาร
ราคาขาย
= =
ตนทุนอาหาร X 100 คารอยละของตนทุนอาหาร ตนทุนอาหาร X ปจจัยกําหนดราคาขาย
จากตัวอยางการกําหนดราคาขายขางตน
= ตัวรวมกําหนดราคาขาย = ดังนั้น ราคาขาย
= = =
100 คารอยละของตนทุนอาหาร 100 = 2.86 35
ตนทุนอาหาร X ปจจัยกําหนด ราคาขาย 50 X 2.86 143 บาท
91
นอกจากนี้สิ่งที่ผูประกอบการจะตองตระหนักดวยวาตนทุนที่นํามาพิจารณานี้เปนเพียงตนทุนอาหารแต เพียงอยางเดียว ไมไดพิจารณาตนทุนทัง้ หมด โดยมากมักนิยมใชในการกําหนดราคาเบื้องตน เพื่อนําไป พิจารณาวาควรมีการปรับเพิ่มขึ้นอยางไร โดยในการปรับอาจอาศัยวิธกี ําหนดราคาวิธีอื่น ที่จะกลาวตอไป 13.2 การกําหนดราคาขายจากกําไรสวนเกิน (contribution margin หรือ contribution to profit) การ กําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหาร แมวาจะเปนทีน่ ิยมกันทั่วไป แตสําหรับอาหารบางชนิดอาจ ยังไมเหมาะสมนัก ดวยเหตุตอไปนี้ 13.2.1 รายการอาหารมีตน ทุนสูงมากเมื่อกําหนดแลวจะมีราคาขายที่สูงจนอาจไมจูงใจใหมีผูซื้อ 13.2.2 รายการอาหารทีม่ ีตนทุนต่ําเมือ่ กําหนดราคาขายแลวไมใชวาจะใหผลกําไรเปนจํานวน เงินที่มากกวา เชน รายการอาหารที่มีคารอยละของตนทุนอาหารเทากับ 50 ใหผลกําไร 20 บาท ในขณะที่ รายการอาหารอีกรายการหนึง่ มีคารอยละของตนทุนอาหาร เทากับ 35 ใหผลกําไร 10 บาท ซึ่งสําหรับธุรกิจ ยอมตองการกําไรที่เปนมูลคาจํานวนเงินมากกวาทีเ่ ปนตัวเลขสัดสวน 13.2.3 การกําหนดราคาตองพิจารณาในแงจิตวิทยาของการขายที่เปนที่จะตองปรับใหเหมาะสม กับความรูสึกหรือเจตคติของผูบริโภคที่จะชวยใหขายไดมาก ดวยเหตุนี้จึงไดมีการเสนอกําหนดราคาขายจากกําไรสวนเกินหรือ CM (contribution margin) วา ผูประกอบการตองการหรือเห็นวาควรเปนเทาใดกอนแลวนํากําไรสวนเกินที่ตองการไปรวมกับตนทุนอาหาร ผลลัพธที่ได คือ ราคาขาย หรืออาจใชราคาเบื้องตนที่ไดจากคารอยละของตนทุนอาหาร และปรับให เหมาะสมโดยพิจารณากําไรสวนเกินที่ไดและผลที่จะมีตอการขายหรือนโยบายของธุรกิจบริการอาหาร กําไรสวนเกิน = ราคาขาย – ตนทุนอาหาร ตัวอยางการกําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหารในตารางที่ 1 จะเห็นวาราคาขายที่คํานวณ จากคารอยละของตนทุนอาหารมีมูลคาตั้งแต 57.14 – 136.36 บาท ไดถูกนํามาใชในการปรับใหเหมาะสมใน การขายและกําไรสวนเกิน เชน อาหารชนิดแรกไดปรับใหเหมาะสมในการขายใหสูงขึ้น เพราะเปนอาหารที่ ลูกคาใหทัศนะวา เปนอาหารที่มีคุณคา มีระดับการยอมรับราคาที่สูงได สวนอาหารชนิดที่ 2 มีตนทุนอาหาร สูงหากกําหนดราคาขายตามตนทุนอาหารก็อาจทําใหอาหารนั้นขายไดนอยลง จึงไดมีการปรับราคาใหต่ําลง โดยคาดหวังวาอาจจะชวยดึงลูกคาไดมากขึ้น และปริมาณที่ขายไดมากจะชวยลดตนทุนอาหารลง และชวยเพิ่ม รายรับรวมทั้งกําไรที่จะไดดว ย สวนอาหารชนิดที่ 3 นั้น เมื่อพิจารณาจากยอดขายพบวาขายไดดีและลูกคา ยอมรับราคาที่สูงได ดังนั้นจึงยังคงราคาไวตามที่คํานวณจากคารอยละของตนทุนอาหาร
92
ตารางที่ 1 ตัวอยางการกําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหารและกําไรสวนเกินทีเ่ กิดขึน้ (5) (6) = (5) – (2) (1) (2) (3) (4) = (2) X 100/(3) อาหาร ตนทุนอาหาร คารอยละของตนทุนอาหาร ราคาขายเบื้องตน ราคาขาย กําไรสวนเกิน บาท บาท บาท บาท 57.14 90.00 70.00 1 20 35 125.00 100.00 50.00 2 50 40 136.36 139.00 94.00 3 45 33 หมายเหตุ ชองที่ (5) เปนราคาขายที่ปรับจากราคาขายเบือ้ งตนที่คํานวณจากคารอยละของตนทุนอาหารเพื่อให ไดกําไรสวนเกินที่ตองการ ที่มา : อําพร, 2548 แรงงาน วิธีการคํานวณราคาขายขางตน พิจารณาจากคารอยละของตนทุนอาหารและกําไร โดยมีสมมติฐานวา อาหารดังกลาวมีตนทุนหรือคาใชจายในเรือ่ งอื่นใกลเคียงกันอยางไรก็ตาม อาหารบางชนิดตองการการ จัดเตรียมเปนพิเศษ เชน การจัดเตรียมสวนผสม การลาง หั่น สับ ผสม หรือในการผลิตที่ตองใชเวลานานที่ ตองอาศัยแรงงานในการเฝาระวัง อาหารเหลานี้จะตองมีทุนแรงงานสูงกวาอาหารชนิดอื่น ทําใหการกําหนด ราคาขายจากสมมติฐานขางตนยังไมเหมาะสมเพียงพอจึงจําเปนตองมีการพิจารณา จากตนทุนอาหารและ แรงงานรวมกัน (prime cost) จากตัวอยางเปรียบเทียบราคาขายที่กําหนดจากคารอยละของตนทุนอาหารและตนทุนอาหารและ แรงงาน (ตารางที่ 2 ) จะเห็นวาราคาขายของกระทงทองจะมีราคาเพียง 0.55 เหรียญสหรัฐอเมริกา เมื่อ พิจารณาจากตนทุนอาหารรอยละ 40 แตเมื่อพิจารณาตนทุนแรงงานดวย ซึ่งโดยทัว่ ไปตนทุนแรงงานตรงที่ใช ในการผลิตจะมีคาประมาณรอยละ 10 จากตนทุนแรงงานทั้งหมดรอยละ 30 ดวยเหตุนี้ ตนทุนอาหารรวมกับ ตนทุนแรงงานทางตรงเทากับรอยละ 50 (40+10) ทําใหปจจัยกําหนดราคาขายจะลดจาก 2.5 เปน 2.0 (100/50) ตารางที่ 2 ตัวอยางเปรียบเทียบการกําหนดราคาขายจากคารอยละของตนทุนอาหารกับตนทุนอาหารและ แรงงาน รายการ แกงเขียวหวาน กระทงทอง เหรียญสหรัฐอเมริกา เหรียญสหรัฐอเมริกา
93
1. กําหนดราคาขายจากตนทุนอาหาร (40 %) ตนทุนอาหาร ราคาขาย (ตนทุน X 2.5) 2. กําหนดราคาขายจากตนทุนอาหาร และแรงงาน (50 %) ตนทุนอาหาร ตนทุนแรงงานทางตรง ตนทุนอาหาร + แรงงาน ราคาขาย (ตนทุน X 2) ที่มา : อําพร, 2548
0.32 0.8 0.32
0.22 0.55 0.22
0.00 0.32 0.64
0.10 0.32 0.64
13.3 แนวทางการกําหนดราคาขายสําหรับอาหารจัดเลี้ยงหรืออาหารบริการแบบบุฟเฟต ในการ กําหนดราคาขายสําหรับงานเลี้ยงหรืองานบริการจํานวนมาก เชน การบริการอาหารแบบบุฟเฟต เปนการ จัดบริการที่ใหลูกคาชวยเหลือตนเองเลือกตักอาหารที่ชอบในปริมาณทีต่ องการ ลูกคาแตละคนจึงรับประทาน อาหารไมเหมือนกันและมีผลทําใหตนทุนของอาหารที่รับประทานนั้นไมเทากัน การกําหนดราคาขายสําหรับการบริการแบบบุฟเฟตมักนิยมกําหนดราคาเดียว (flat price) โดยวิธีการ กําหนดราคาขายสามารถใชหลักการทํานองเดียวกับการกําหนดราคาสําหรับอาหารทั่วไป เพียงแตตองอาศัย วิธีการที่แตกตางกันออกไปบาง ในการหาตนทุนอาหารและวิธีการจัดการที่จะควบคุมตนทุนอาหาร โดยมี แนวทางดังตอไปนี้ 13.3.1 การคํานวณตนทุนอาหารของลูกคาแตละราย โดยพิจารณาจากตนทุนของอาหารทั้งหมด แลวหารดวยจํานวนลูกคา ก็จะทราบวาตนทุนตออาหารของผูใชบริการแตละรายเทากับเทาไร ในบางครั้งไดมี ผูเสนอใหวเิ คราะหตน ทุนทีแ่ ทจริงโดยการนําตนทุนของอาหารที่เหลือมาหักออก อยางไรก็ตามในทางปฏิบตั ิ ทั่วไป อาหารที่เหลือมักไมอยูในสภาพที่เหมาะสมกับการนําไปใชประโยชนตอ จึงเปนการไมถกู ตองที่จะนํา ตนทุนอาหารเหลือมาหักออก ยกเวนการบริการในรูปแบบ เชน ลักษณะที่เปนซุมอาหาร ที่มพี นักงานคอย เสิรฟอาหารหรือปรุงอาหารสุกใหม ๆ ใหอาหารที่เหลือยังเปนอาหารดิบที่ยังไมไดผสมปะปนกับอาหารชนิด อื่น ทําใหสามารถที่จะเก็บไวใชประโยชนตอได ตนทุนอาหารสําหรับลูกคาแตละราย
=
ตนทุนอาหารทั้งหมด ราคาขาย
94
13.3.2 การกําหนดราคาขาย ราคาขายสําหรับลูกคาแตละรายใชหลักการเชนเดียวกับการ กําหนดราคาขายสําหรับอาหารทั่วไป คือการใชคารอยละของตนทุนอาหารที่รานอาหารหรือภัตตาคารตองการ หรืออาจใชกําไรสวนเกิน หรืออาจนําตนทุนแรงงานมาพิจารณาประกอบกันไปดวย เชน ราคาขาย = ตนทุนอาหารสําหรับลูกคาแตละราย X ปจจัยกําหนดราคาขาย ในกรณีที่เปนการจัดเลี้ยง ก็สามารถนําราคาขาย ที่คํานวณตอลูกคาแตละราย คูณดวยจํานวน แขกที่ประมาณการไวก็จะเปนราคาขายของอาหารทั้งหมด การคิดผลกําไรที่ตองการควรพิจารณาถึงวาถาตนทุนของอาหารสูงมากผลกําไรที่ตองการก็ควร จะต่ํา การกําหนดราคาของอาหารในรายการอาหารใหเหมาะสมจําเปนตองพิจารณาถึงผลกําไรที่ตองการให พอเหมาะตามประเภทของอาหาร ดังตารางที่ 3
ตารางที่ 3 การกําหนดราคาของอาหารตามประเภทของอาหาร ประเภทของอาหาร อาหารเรียกน้ํายอย สลัด อาหารหลัก ผัก เครื่องดื่มและขนมปง ของหวาน ที่มา : อําพร, 2548
ชวงผลกําไรทีค่ วรพิจารณา (รอยละ) 20-50 10-40 10-25 15-50 10-20 10-35
95
ดังนั้นหลักในการจัดอาหารเพื่อควบคุมตนทุนมีผูเสนอวิธีการที่เรียกวา การจัดอาหารคละกันระหวาง อาหารที่มีตนทุนสูงที่มีระดับกลาง และต่ําใหเหมาะสม เพื่อใหอาหารมีความหลากหลายแตไมมีตนทุนสูงกวา ที่กําหนดไวให โดยอาศัยแนวคิดที่เรียกวา เอบีซี (ABC Inventory Approach) โดย เอ (A) หมายถึงอาหารที่ มีตนทุน บี (B) หมายถึง อาหารที่มีตนทุนปานกลาง สวน ซี (C) หมายถึง อาหารที่มีตนทุนต่ําโดยใช หลักการจัดอาหารกลุมเอ บีและซี ดังนี้คอื อาหารที่มีตนทุนสูง เชน อาหารประเภทเนื้อสัตว อาหารทะเล จัดไวในปริมาณรอยละ 20 ของอาหารทั้งหมด สวนอาหารที่มีตนทุนต่ํา เชน อาหารประเภทผักหรือผลไมจัด ไวหลากหลายชนิด ใหมีปริมาณมากไดถึงรอยละ 50 เพือ่ ชวยใหดวู ามีอาหารมาก ก็ให หลังจากที่ไดคํานวณราคาขายที่จะระบุลงในรายการอาหารตามวิธีการขางตนนี้แลว พิจารณาตอไปวาตองการเพิ่มราคาขายจากที่ไดคํานวณไวแลวหรือไม โดยพิจารณาจากผูรับบริการวาจะยอม จายในราคาที่สูงขึ้น หรือตองลดราคาลงจากที่ไดคํานวณไวแลว และถาตองการลดราคาลง ราคานั้นใหผล กําไรเพียงพอกับแรงงานของการลงทุนและการดําเนินงานหรือไม ถาลดราคาแลวไมคุมกับการลงทุน ควรตัด อาหารนั้นออกไปจากรายการอาหารและพิจารณาอาหารชนิดอื่นที่สามารถใหผลกําไรตามที่ตองการ 14. ปจจัยที่มีอิทธิพลตอการตั้งราคา ปจจัยทีจ่ ําเปนตองนํามาพิจารณาในการตั้งราคา คือ 14.1 ตนทุน (Cost) เนื่องจากราคาประกอบดวยตนทุนบวกดวยกําไร ดังนั้นตนทุนจึงเปนเกณฑขั้นต่ํา ในการตั้งราคา ราคาจะสูงหรือต่ําขึ้นอยูกบั ตนทุนวาสูงหรือต่ํา 14.2 ลักษณะความตองการซื้อผลิตภัณฑ ในทีน่ ี้ราคาสินคาใดจะสูงหรือต่ําขึ้นอยูกับปริมาณความ ตองการซื้อสินคาของลูกคาที่มีตอสินคาของบริษัท โดยปกติจะเปนไปตามกฏของดีมานด กลาวคือ ถาราคา สินคาใดสูงขึ้น ปริมาณความตองการซือ้ สินคานั้นจะลดลง ถาราคาสินคาใดลดต่าํ ลง จะทําใหปริมาณความ ตองการซื้อเพิ่มขึ้น 14.3 เปาหมายสวนครองตลาดที่ตองการ เปนการพิจารณาวาผูผ ลิตตองการอัตรายอดขาย เมื่อ เปรียบเทียบกับยอดขายของคูแขงขันเปนจํานวนเทาใด และสวนครองตลาดนี้ก็จะมีอิทธิพลตอการตั้งราคา ถา ตองการเพิ่มสวนครองตลาดก็มักจะตั้งราคาต่ํากวาคูแ ขงขันที่ตองการรักษาสวนครองตลาดเทาเดิม 14.4 การแขงขันในปจจุบนั และแนวโนมในอนาคต การแขงขันทั้งในปจจุบนั และแนวโนมทีจ่ ะเขามา ในอนาคตเปนปจจัยสําคัญทีม่ ีอิทธิพลตอการตั้งราคา โดยเฉพาะถาเปนผลิตภัณฑที่คูแขงเขามาแขงขันไดงาย
96
รวมทั้งธุรกิจทีม่ ีกําไรสูงก็จะจูงใจใหมีคูแขงขันเขามาแขงนั้น ถาคูแขงขันมีมากจะมีแนวโนมตั้งราคาเทากัน หรือต่ํากวาคูแ ขง ดังนั้นสภาพการแขงขันในปจจุบันและแนวโนมในอนาคต จึงเปนสิ่งสําคัญในการกําหนด ราคาพื้นฐานสินคาทั่วไป 14.5 สวนประกอบทางการตลาดอืน่ ๆ ราคาจะเปนเทาใด จะไดรับอิทธิพลจากสวนประสมทาง การตลาดอื่น ๆ เชน ผลิตภัณฑ ชองทางการจัดจําหนายและวิธีการสงเสริมตลาด กลาวคือ การตั้งราคาตอง คํานึงถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑการอํานวยประโยชนใหกับผูบริโภค การเลือกวิธกี ารจัดจําหนาย การตั้งราคา จะตองครอบคลุมผลประโยชนที่จะใหกับคนกลางซึ่งจะเปนคาใชจายที่แตกตางในแตละชองทางการจัดจําหนาย สวนการสงเสริมการตลาดที่แตกตางกันจะมีผลกระทบตอคาใชจายทีแ่ ตกตาง ซึ่งราคาจะตองคํานึงถึงคาใชจาย ในสวนนี้ดว ย 15. การบรรจุหีบหอและการจัดจําหนาย การบรรจุหีบหอไดเริม่ โดยในระยะแรกเพื่อการหยิบ ถือเคลื่อนยาย และขนสงอาหาร ตอมาเมื่อมนุษย รูจักวิธีการปรุงอาหารและการแปรรูปอาหาร ภาชนะบรรจุอาหารจึงเริ่มมีความสําคัญ ภาชนะบรรจุอาหารได จากใบไม เปลือกไม หอย กอนหินกลวง ตอมาไดคิดคนใชวัตถุดิบจากธรรมชาติ มาจักสานเปนตะกรา กระจาด รูจักการถักทอ เปนถุง เปนผา และอื่น ๆ
16. วัตถุประสงคในการใชภาชนะบรรจุอาหาร การใชภาชนะบรรจุอาหารเพื่อทําหนาที่สําคัญดังนี้ 1.การบรรจุ 2.การปองกัน 3.การอํานวยความสะดวก 4.การสื่อสาร 17. วัสดุที่ใชทําภาชนะบรรจุอาหาร วัสดุทนี่ ิยมใชในการทําภาชนะบรรจุอาหาร อาหารไทย เดิมนิยมใชใบตอง ใบมะพราว ใบจาก ใบลาน ใบบัว ใบกะพอ และใบไมอนื่ ๆ นํามาหออาหาร หรือทําเปนใบตอง ทั้งสดและแหง รูปแบบไดพัฒนาเรื่อยมา มี
97
การเย็บถาดใบตองเพื่อรองรับอาหารแลวบรรจุในตะกราจักสาน จัดบนพานเครื่องทองเหลือง จัดใสจานหรือ ถาดในลักษณะตาง ๆ เพื่อใชในการจัดเลีย้ งหรือจัดจําหนาย เมื่อธุรกิจดานการผลิตและบริการอาหารไดขยายตัวและพัฒนามากขึ้น ความตองการของผูบริโภค การ แขงขันดานการตลาด การบรรจุหีบหอเพื่อการจัดเลี้ยงและจัดจําหนายจึงมีความจําเปนสําหรับธุรกิจดานการผลิตและบริการ การใชวัสดุในการทําภาชนะบรรจุไดมีการคิดคนและพัฒนาใหมีความสวยงาม สะดวกสบาย และดึงดูดใจ ผูบริโภค วัสดุที่นิยมใชนอกจากวัสดุจากธรรมชาติแลว กระดาษ พลาสติก และโลหะก็มกี ารนํามาพัฒนา รูปแบบเพื่อใชทําภาชนะบรรจุ เชน 1. กระดาษ เปนวัสดุที่นิยมใชมากที่สุด ใชผลิตเปนภาชนะบรรจุประเภทตาง ๆ เชน กลอง ถุง ถวย ซอง เนื่องจากมีราคาถูก น้ําหนักเบา สะดวกตอการบรรจุและการขนยายเมื่ออยูในรูปของภาชนะบรรจุ ไมกอใหเกิด ปญหามลภาวะและสามารถออกแบบไหสวยงามไดหลายรูปแบบ 2. พลาสติก เปนสารสังเคราะหพวกพอลิเมอร (POLYMER) ที่นิยมใชในการทําภาชนะบรรจุอาหาร คือ 2.1 โพลีเอทิลีน (POLYETHELENE) มีหลายชนิด เชน ชนิดที่มีความหนาแนนต่ําจะมี ลักษณะใส เหนียว ปองกันการซึมผานของไอน้ําไดดี ทนความรอนสูง ใชทําถุงเย็นตาง ๆ ทําฟลมหด (SHRINK FILM) สําหรับหออาหาร สวนชนิดความหนาแนนสูง มีลักษณะใสนอยกวามีความเหนียวและเนื้อแข็งกวา ใช ทําถุงรอน ถุงบรรจุอาหาร ขนมขบเคี้ยว ใชประกบกับวัสดุอื่นทําภาชนะคงรูป เชน ขวดนม ลังบรรจุน้ําอัดลม 2.2 โพลีโพรพิลีน (POLYPROPYLENE, PP) ทนความรอนไดสูงและเข็งแรงกวา โพลิเอทิลีน มักใชในรูปฟลมพลาสติก ทําเปนถุงรอน ใชทําถุงอาหารแหง และถุงอาหารที่บรรจุดว ยระบบสุญญากาศ 2.3 โพลีไวนิลคลอไรด (POLYVINYL CHLORIDE, PVC) มีลักษณะใสแข็งแตบางชนิดมี คุณสมบัติออนตัว มักใชในรูปฟลมพลาสติกและภาชนะคงรูป เชน ขวดบรรจุ น้าํ ผลไม น้ํามันพืช ใชทําถาด หรือกลองบรรจุอาหาร 2.4 โพลิสไตรีน (POLYSTYRENE, PS) มีลักษณะใสคงรูปปองกันการซึมของน้ํามันไดดี
98
อาจใชในลักษณะฟลมพลาสติกหอทําบรรจุอาหาร หรือผลิตเปนถาดบรรจุอาหาร เชน ขนมอบ ถวยไอศกรีม โยเกิรต หรือทําถาดโฟมบรรจุอาหาร ฯลฯ 3. โลหะ เปนวัสดุอีกชนิดที่นยิ มใชผลิตเปนภาชนะบรรจุอาหาร โดยมีปริมาณการใชสูงรองลงมาจาก กระดาษและพลาสติก โลหะที่ใชในการผลิตภาชนะบรรจุอาหาร ไดแก 3.1 แผนเหล็กเคลือบดีบกุ ใชในการผลิตกระปอง และปบบรรจุอาหาร 3.2 แผนเหล็ก (TIN FREE STEEL) เปนแผนเหล็กดําทีน่ ํามาเคลือบผิวดวยสารอื่นแทน ดีบุกใชในการผลิตเปนกระปองบรรจุอาหารที่ไมมีความเปนกรดหรือดาง 3.3 อะลูมิเนียม (ALUMINIUM) ใชผลิตเปนภาชนะบรรจุอาหารจําแนกตามลักษณะและ กรรมวิธีในการผลิต เชน แผนอะลูมิเนียมผสมโลหะ ทําใหมีความแข็งแรง น้ําหนักเบา ตานทานตอการกัดกรอน ปองกันอากาศ ความชื้น และแสงสวาง มีความคงทนใชผลิตเปนกระปอง สวนอะลูมิเนียมฟอลย (ALUMINIUM FOIL) มีลักษณะเปนแผนบาง มีน้ําหนักเบา ทึบแสงเปนตัวนําความรอนไดดี ใชหอ อาหาร และขนม เมื่อผนึก กับวัสดุอื่น เชน กระดาษหรือฟลมพลาสติก ใชทําถุงบรรจุอาหาร แผนอะลูมิเนียมบางที่มีความหนา 30-150 ไมครอน อาจขึ้นรูปเปนภาชนะบรรจุ เชน ถาดบรรจุอาหารอบพรอมบริโภค และแชแข็งตาง ๆ 4. โฟม เปนผลิตภัณฑจากพลาสติกที่ไดรับความนิยมอยางมากในการนํามาบรรจุอาหาร เพราะ สะดวก น้ําหนักเบา และสามารถเก็บรักษาอุณหภูมิของอาหารได ซึง่ รูปแบบของโฟมมีหลากหลาย ขึ้นอยูกับ ความตองการในการใชสอย คุณสมบัติที่สําคัญของบรรจุภัณฑประเภทโฟม คือ 1. สามารถใชกับเตาไมโครเวฟได เพราะโฟมจะไมทําปฏิกิริยากับคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งทําให สะดวกและประหยัดเวลาในการทําอาหาร 2. ไมดูดกลิ่น หรือซับน้ํามัน ทําใหเหมาะสมสําหรับการบรรจุอาหารที่มีกลิ่นคาว 3. ชวยในการจัดเก็บอาหารใหมีความเปนระเบียบเรียบรอย อีกทั้งชวยประหยัดพื้นที่ในการ จัดเก็บ 4. เหมาะสําหรับบรรจุอาหารที่ตองการคงสภาพเดิมไว เชน ไอศกรีม เพราะสามารถเก็บ รักษาอุณหภูมอิ าหารไดในระดับหนึ่ง 5. มีความปลอดภัยในการบรรจุอาหาร เพราะโฟมผลิตจากเม็ดพลาสติกชนิด PS ซึ่ง PS ที่ ใชผลิตโฟมสําหรับบรรจุอาหารสามารถขยายตัวไดประมาณ 20 เทา และเม็ด PS ที่ใชในกระบวนการผลิต
99
จะตองเปนชนิดบริสุทธิ์ ไดรับอนุญาตจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และตองไมเคยผานการใช งานมากอน 14. ภาชนะบรรจุอาหารเพื่อการจัดจําหนาย ภาชนะบรรจุอาหารเพื่อการจัดจําหนายสามารถจัดแบงตามประเภทของอาหาร เชน ประเภทของ อาหารแหง อาหารแชแข็ง อาหารหมักดอง การเลือกภาชนะที่เหมาะสมในการบรรจุอาหารจะทําใหมีน้ําหนัก เบา ไมเปลืองเนื้อที่ในการจัดเก็บ เสียคาขนสงนอยและสามารถเก็บไวไดนาน จึงควรเลือกภาชนะใหเหมาะสม กับลักษณะของอาหาร 15. ประโยชนของการบรรจุหีบหอ การบรรจุอาหาร มีประโยชนหลายประการดังนี้ 1. ทําใหสะอาดถูกสุขลักษณะ 2. ทําใหอาหารมีลักษณะดี สะดวกตอการขนสงหรือเคลื่อนยาย 3. ทําใหอาหารสดเก็บไวไดนาน 4. ไมเปลืองเนื้อที่ในการจัดเก็บ และจัดขึ้นชัน้ เพื่อการจัดจําหนาย 5. ผูซื้อสามารถมองเห็นลักษณะของอาหาร สะดวกตอการจับถือและการเก็บรักษา 16. การจัดจําหนาย การจัดจําหนาย คือ งานที่เกีย่ วของกับการนําผลิตภัณฑออกสูตลาดเปาหมาย ซึ่งเปนงานที่เกี่ยวกับชอง ทางการจัดจําหนาย และการกระจายตัวสินคา ลักษณะของการจัดจําหนายมีดังนี้ 1. เปนกิจกรรมการนําผลิตภัณฑออกสูตลาดเปาหมาย 2. เปนโครงสรางของชองทางซึ่งประกอบดวยสถาบันการตลาด ประกอบดวยคนกลาง ธุรกิจการ กระจายสินคา ธุรกิจใหบริการทางการตลาด รวมทั้งสถาบันทางการเงิน 17. ชองทางการจัดจําหนาย ลักษณะของการจัดจําหนาย เปนการนําผลิตภัณฑออกสูตลาดเปาหมาย ซึ่งตองผานชองทางการจัด จําหนาย ชองทางการจัดจําหนาย หมายถึง เสนทางที่ผลิตภัณฑหรือกรรมสิทธิ์ของผลิตภัณฑเคลื่อนยายไปยัง
100
ตลาด ชองทางการจัดจําหนาย ประกอบดวย ผูผลิตคนกลางที่เกี่ยวของในชองทางการจัดจําหนายและผูบริโภค 18. ชองทางการจัดจําหนายสินคาบริโภค ชองทางการจัดจําหนายสินคาบริโภค หมายถึง เสนทางที่สนิ คาเคลื่อนยายจากผูผลิตไปยังผูบริโภคคน สุดทายสามารถใชเปนชองทางการจัดจําหนายทางตรง หรือใชชองทางออมโดยใชคนกลาง มีทางเลือกในการ จัดจําหนายดังนี้ 1. ผูผลิตถึงผูบ ริโภค ถือวาเปนชองทางตรง เปนชองทางที่ขายสินคาโดยตรงใหกับผูบริโภค เหมาะกับ สินคาที่ผลิตแลวบริโภคไดทันที เชน อาหารและเครื่องดื่ม 2. ผูผลิต – ผูคาปลีก – ผูบริโภค เปนผูคาปลีกเหมาะสําหรับสินคาที่ไมเนาเสีย ผูผลิตมีฐานะ การเงินดี และสามารถจัดจําหนายโดยผานรานคาปลีกได 3. ผูผลิต – ผูคาสง - ผูคาปลีก – ผูบริโภค ตองผานคนกลางสองระดับ คือผูคาสงและผูคาปลีก เหมาะสําหรับสินคาที่อาศัยการขายผานรานคาปลีกที่มีจาํ นวนมาก และเปนสินคาที่ไมเสียงาย เชน ผลิตภัณฑ อาหารกระปอง 4. ผูผลิต – ตัวแทน - ผูคาปลีก – ผูบริโภค มีลักษณะและเงื่อนไขการใชคือผานคนกลางสองระดับ คือ ตัวแทน และผูคาปลีก ตัวแทนเปนผูไ ดรับการแตงตั้งจากผูผลิตใหเปนตัวแทนจําหนายสินคาบางสวนหรือ ทั้งหมดของผูผลิต แตไมมีกรรมสิทธิ์ในสินคาเหตุผลที่ผานตัวแทน เพราะผูผลิตไมสะดวกที่จะจัดจําหนาย อาจ ขาดความชํานาญงาน หรือตองการตัดปญหา หรือเปนการทําธุรกิจระหวางประเทศ วิธีนี้เหมาะสําหรับสินคาที่ ผูผลิตมีเปาหมายที่ตลาดตางประเทศ 5. ผูผลิต – ตัวแทน – ผูคาสง - ผูคาปลีก – ผูบ ริโภค มีลักษณะและเงื่อนไขดังนี้ คือ ผานคนกลาง 3 ระดับ คือ ตัวแทน ผูคาสง ผูคาปลีก เหตุผลที่ตองผานตัวแทนเพราะไมสะดวกที่จะจัดจําหนายเอง เหมาะกับ สินคาที่ไมเสียงาย มักจะใชกบั ผูผลิตขนาดเล็กมีผลิตภัณฑนอยและฐานะทางการเงินไมเขมแข็งพอ จึงตองอาศัย ตัวแทนและผูค าสงชวยแบงเบาภาระดานการคลังสินคา การขนสง การเก็บรักษาสินคา การเงินและการจัด จําหนาย การจัดจําหนายผลิตภัณฑดานอาหารและเครื่องดืม่ สามารถเลือกชองทางการจัดจําหนายใหเหมาะสมกับ กลุมเปาหมาย อาจจัดจําหนายทางตรงจากผูผลิตสูผูบริโภค หรือจัดจําหนายทางออมโดยผานผูคาปลีก ผูคาสง
101
หรือมีตัวแทน ทั้งนี้ขึ้นอยูกบั ความพรอมของผูดําเนินธุรกิจ เชน เวลา แรงงาน วัตถุดิบ ความพึงพอใจของ ผูบริโภคตลอดจนความสามารถในการจัดการเพื่อใหธุรกิจดําเนินไปสูค วามสําเร็จ
บรรณานุกรม ขนิษฐา พูนผลกุล. 2548. วัตถุดิบสําหรับการประกอบอาหารไทย ใน คูมือการประกอบธุรกิจ รานอาหารไทยในตางประเทศ เลม 1 การประกอบอาหารไทย. พิมพที่ หางหุน สวนจํากัด อักษรสยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 73-93. . 2548. อนามัยสวนบุคคลและขอควรปฏิบัติในการประกอบอาหารไทย ใน คูมือ การประกอบธุรกิจรานอาหารไทยในตางประเทศ เลม 1 การประกอบอาหารไทย. พิมพที่ หางหุนสวนจํากัด อักษรสยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 151-163. บุญมา นิยมวิทย. 2548. อาหารประเภทผัด ใน คูมือการประกอบธุรกิจรานอาหารไทยใน ตางประเทศ เลม 2 ตํารับอาหารไทย. พิมพที่ หางหุน สวนจํากัด อักษรสยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 117-138. พิสมัย ปโชติการ. 3537. งานบริการอาหารและเครื่องดื่ม. สํานักพิมพศึกษาพร, กทม. มัณฑนา รวมรักษ. 2548. เทคนิกการเตรียมสวนประกอบอาหารไทย ใน คูมือการประกอบธุรกิจ รานอาหารไทยในตางประเทศ เลม 2 ตํารับอาหารไทย. พิมพที่ หางหุนสวนจํากัด อักษร สยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 39-59. ศุภร เสรีรัตน และศิริวรรณ เสรีรัตน. 2534. นโยบายผลิตภัณฑและราคา. ไทยวัฒนาพานิชย, กทม. สุวิมล ตันฑศุภศิริ. 2526. อาหารหลักและกําหนดรายการอาหาร. มหาวิทยาลัยมหิดล, กทม. อบเชย วงศทอง และพิสมัย ปโชติการ. 2548. เทคนิคการบริการอาหารไทย ใน คูม ือการประกอบธุรกิจ รานอาหารไทยในตางประเทศ เลม 3 การจัดการธุรกิจรานอาหารไทยอยามืออาชีพ. พิมพที่ หางหุน สวนจํากัด อักษรสยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 119-137.
102
อําพร แจมผล. 2548. ตํารับมาตรฐานและการกําหนดราคาขาย ใน คูม ือการประกอบธุรกิจ รานอาหารไทยในตางประเทศ เลม 2 ตํารับอาหารไทย. พิมพที่ หางหุนสวนจํากัด อักษร สยามการพิมพ, กรุงเทพฯ. น. 9-23.
103
ภาคผนวก
104
ทําไมตองเปนผัดไทย……… อ. พรดารา เขตตทองคํา กอนหนานั้นฝรั่งจะรูจักตมยํากุง ตามมาดวยตมขาไก แกงเขียวหวาน สมตํา ฯลฯ สวน กวยเตี๋ยวผัดไทยตามมาเปนที่นิยมของฝรั่งเมื่อไมนานมานี้ แตรสชาติของกวยเตี๋ยวผัดไทยในเมือง ฝรั่งบางที่จะไมเหมือนกับในเมืองไทย เพราะกวยเตี๋ยวมีเครื่องไมครบเหมือนผัดไทยบานเรา เชน น้ํา มะขามเปยก น้ําตาลปบ หัวไชโป กุงแหง น้ําปลาดี ซึ่งเปนสวนสําคัญในการผัดกวยเตี๋ยว และทีส่ ําคัญ ที่สดุ ก็คือ เสนกวยเตี๋ยวจะตองเหนียวนุมไมแฉะและไมกระดาง ทําไมตองเปนผัดไทย เพราะผัดไทยเปนของไทย ผัดไทยเกิดขึน้ เมื่อสมัยจอมพล ป. พิบูล สงคราม เมื่อประมาณหาสิบกวาปทแี่ ลว รัฐบาล จอมพล ป. พิบลู สงคราม ไดบริหารประเทศ ในชวงระหวางป พ.ศ.2482-2489 และชวงสงครามโลก ครั้งที่ 2 บานเมืองไทยนั้น แตเดิมเรียกกันวา ประเทศสยาม ทานผูนํา จอมพล ป. ก็ใหเปลี่ยนชื่อ ในป 2484 จึงกลายเปน ประเทศไทย ตั้งแตนั้นมา เมื่อมีชาติไทยแลว ก็จําเปนตองมีอาหารประจําชาติไทย ผัดไทยจึงไดรับเลือกใหเปนพระเอก สําหรับคราวนี้อาหารที่เปนเสน ๆ นั้นถูกมองวาเปนจีนไปหมด ทั้งกวยเตี๋ยว บะหมี่ แมแตขนมจีนยัง เปนจีน อาหารชนิดใหมจึงไดรับ การประดิษฐขึ้นมา เริ่มตนนําเสนเล็กมาผัด ใสเตาหูเหลืองซอยให เล็ก ๆ เติมกุงแหง ใสใบกระเทียม (ไมใชใบกุยชาย) แลวตอกไขลงไป ยีใหทั่ว สุดทายก็ใสถั่วงอก ดิบ (เพราะสมัยนั้นมีชวงที่น้ําทวม แลวมีถั่วงอกลนตลาด ลนเมืองจนไมรูจะเอาไปทําอะไร จอมพล ป. ทานจึงใหนํามาใสผัดไทย) แลวจึงตักขึ้นใสจาน อาจจะประดับตนกระเทียม ไวกินเคียง ถาใสกุง ใหญประดับหนา ก็จะไดผัดไทยกุงสด ผัดไทยของแทตองไมใสหมู เพราะการสรางอาหารชนิดนี้ให มีสัญชาติไทยโดยแท เพราะในชวงเวลาที่ผัดไทยไดรับการประดิษฐขึ้นมานั้น หมูถูกมองวาเปน อาหารของคนจีน คนไทยนั้นนาน ๆ ทีจึงกินหมู กินเฉพาะเวลางานฉลอง ที่สาํ คัญตองฆาหมูมากิน กัน คนไทยแตเดิมนั้นกินไก กินปลาเปนหลัก เมื่อผัดไทยไดชื่อวาผัดไทย หมูจึงไมอาจมาอยูในจาน ผัดไทย ทําใหกวยเตี๋ยวผัดเปนอาหารไทยที่เดนในบรรดาอาหารไทยสูอาหารโลก กวยเตี๋ยวผัดไทยนั้น เราผัดกินกันมาหลายสิบปแลวสวนประกอบมีไมมาก มีเพียงกุงแหง หัวไชโป เตาหู สวนไขใสก็ไดไมใสก็ได ปรุงรสใหเปรี้ยวหวานมันเค็ม ไสถั่วงอกและกุยชาย (ระยะหลัง เปลี่ยนจากใบกระเทียมมาเปนใบกุยชาย) เปนผักก็เทานั้นเอง เจาไหนลวกเสนไดเหนียวนุมไมแฉะ ไม กระดาง ผัดกับเครื่องเขากันทั่วถึงก็เปนผัดไทยที่เรากินกันมาแตดั้งเดิม ในตอนหลังมีผูผดั กวยเตี๋ยว ผัดไทยโดยใชกุงแมน้ํา อยางเชน กวยเตี๋ยวผัดไทยนายเที่ยงที่ราชวงศ มันกุงมีผัดกับเสนกวยเตี๋ยว จะทําใหผัดไทยอยางนี้เพิ่มความแปลกและอรอยขึ้นจนเปนที่เลื่องลือ ตอมากุงแมน้ํามีราคาแพง กวยเตี๋ยวผัดไทยทิพยสมัยที่สําราญราษฎรก็เอากุงทะเลอยางกุงแชบวยหรือกุงขนาดเล็กมาผัดแทน กุงแมน้ํา สวนจันทบุรีมีกวยเตี๋ยวเสนจันทผดั ปูมาเปนเอกลักษณของกวยเตี๋ยวผัดไทยจันทบุรี เพราะเขาไดเปรียบดวยการทําเสนกวยเตี๋ยวจากบางกะจะที่เหนียวนุมนากินเปนอยางมาก ใชปูมา แทนกุง เปนกวยเตี๋ยวผัดไทยอีกแบบหนึ่ง สวนทางภาคใต เขาผัดกวยเตี๋ยวโดยมีน้ําพริกแกงแบบ ปกษใตเปนเครื่งปรุง รสชาติแปลกไปอีกอยางเรียกกันวา กวยเตี๋ยวผัดไชยา จะเห็นไดวากวยเตี๋ยว ผัดไทยมีหลายตํารับดวยกัน แตที่ขึ้นชื่อในตางประเทศตองเปนกวยเตี๋ยวผัดไทยตํารับดั้งเดิม สวน จะเพิ่มอะไรเขาไปนั้นก็ยิ่งทําใหผัดไทยนีอ้ รอยจนถูกปากฝรั่งไปตาม ๆ กัน สวนผัดไทยที่ตักใสจาน
105
แลวก็มีกุงตัวใหญใสทั้งเปลือกวางมาดวยนั้น ไมเขากันกับผัดไทย ขอยืนยันวาผิด ผิดหลักการของ การผัดไทย ผัดไทยนัน้ เหมือนกับขาวผัดที่เครื่องของที่ใสลงไปผัดนั้นตองเปนชิ้นเล็ก ผัดไทยนี่ รสชาติตองออกกลาง ๆ เค็มหวานเปรี้ยวเผ็ดเสมอกัน มะนาวซีกหนึ่งที่เขาใสใหมานั้นเพื่อเนนรส เปรี้ยวใหจัดขึ้น เขาไมใสน้ํามะนาวตอนผัด และดวยความนิยมกวยเตี๋ยวผัดไทยมีผูคิดทําน้ําปรุง สําเร็จนําเอาไปผัดโดยทีไ่ มตองคํานึงถึงสัดสวนในการปรุงรส แตยังไมแพรหลายมาก เพราะวายังมี ขั้นตอนอีกหลายอยาง เชน หาเสน กวยเตี๋ยว ซื้อถัว่ งอก กุยชาย กุงแหง หัวไชโป เตาหู ซึ่งเปน สวนประกอบสําคัญ
บรรณานุกรม ถนัดศอ. กวยเตี๋ยวผัดไทยรสสยาม. www.matichon.co.th วาณิช จรุงกิจอนันต. www.astarlink.exteen.com สุวพงศ สุขวิบูลย. กวยเตี๋ยวผัดไทยกับวัฒนธรรมไทย. www.xaap.com
106
ประวัติความเปนมาของ “หมี่กรอบ ร.5”, “หมี่จนี หลี”
ประวัติ หมี่ ร.5 อยูที่ตรงทาน้ําตลาดพลู ตําบลตลาดพลูเปนชุมชนที่มีผูคนหนาแนนมาตั้งแต โบราณสวนใหญคนแถบนั้นจะเปนคนจีน หมี่นี้คนที่ทําขึ้นตั่งแตแรกและมีชอื่ เสียง เรียกวาถามี เชลลชวนชิมตั้งแตสมัยนัน้ ก็คงจะไดแลว แตเผอิญหมอบลัดเลยก็ไมไดมาชิม เพราะวาตอนนั้นหมอบ ลัดเลมีหนังสือ และมีโรงพิมพ ถาเปดหนาบลัดเลยชวนชิมก็คงจะมีหมีจ่ ีนหลีเจานี้ชื่อวา จีนหลี อยู ที่ทาน้ําตลาดพลูเดี๋ยวนีล้ ูกหลานวานเครือของเขาก็ยังอยูที่นั้นและก็ยังผัดหมี่อยู หมี่จีนหลีนั้นกะทะ ใหญมากเทาใบบัว สามารถเลี้ยงขาวคนไดสักรอยคนและเอามาผัดมีทลี ะจาน และการผัดของเขานั้น ใชฟน และการตวงอะไรใชเปลือกไข เชน ตวงเตาเจี้ยว ฯลฯ หมี่จนี หรือหมี่ตลาดพลู เขาเรียกตัวเองวา “หมี่ ร. 5” ซึ่งเขามีสิทธิท์ ี่จะเรียกได เลากันวาในวันหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว เสด็จโดยเรือในการเสด็จเยี่ยมเยือนราษฎร ไดเสด็จมาทางคลอง ผานตลาดพลู ขบวนพระที่นั่งก็ หยุดเทียบตลิง่ และก็มมี หาดเล็กเดินมาที่รานหมี่จีนหลี ใหจีนผัดหมี่ จีนหลีก็ไมรูคิดวาเปนขบวนขุน นาง ก็ผดั อยางสุดฝมอื ตามธรรมดาเขาฝมือคงที่อยูแลว ก็เลยทําไป มหาดเล็กที่มาซื้อก็นําไปตัง้ เครื่องเสวย ทรงโปรดหมีน่ ี้มาก และจีนหลีนั้นก็ไดเงินพระราชทานเปนคากํานันฝมือ นับตั้งแตนั้นมา กิตติศัพทกล็ า่ํ ลือวา ทรงโปรดหมี่รานนี้ ถาเปนสมัยนี้คงเรียกวา หมี่เสวย และเจาของรานใชพระ นามของพระองค เรียก หมี่กรอบ ร. 5 มาจนถึงปจจุบัน สวนผสมหมี่กรอบ ร. 5 น้ําตาล, มะนาว, น้ําปลา, ไข, เนื้อหมู กุง, น้ําสม, กระเทียม, หอมแดง เครื่องปรุง วิธีทํา เอาเสนหมี่แชน้ําแลวนําไปทอด พอหมี่ไดทกี่ ็ใสเครื่องปรุงที่เตรียมแลวลงไปแลว ก็ใสถั่วงอก ใสขึ้นฉาย กุยฉาย เครื่องเคียงของหมี่กรอบ พริกสด กระเทียมดอง สมซา เปดมาได 100 กวาป แตที่ตลาดพลูนี้เปดมาได 40 กวาปแลว
ที่มา: รานหมี่กรอบ ร.5 อยูที่ตลาดพลู 31/8/46
107
ภาพที่ 1 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว ที่มา : www.wikimedia.org
ภาพที่ 2 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว ที่มา : www.arrowfarmshop.co.uk
108
ภาพที่ 3 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของเนื้อวัว
ภาพที่ 4 การเรียกชื่อสวนตาง ๆ ของไก ที่มา : www.ams.usda.gov
109
ภาพที่ 5 การเตรียมปลาสําหรับประกอบอาหาร ที่มา : www.portlandonline.com
ภาพที่ 6 การบั้งปลา ที่มา : www.dwimages.com
ภาพที่ 7 การแลปลาตัวแบน ที่มา : www.hsc.csu.edu.au
110
ภาพที่ 8 การแลปลาตัวแบนแบบ บน butterfly ลาง fillet ที่มา : www.seafoodtaining.org
ภาพที่ 9 การแลปลาตัวกลมแบบ กลาง steak ที่มา : www.seafoodtaining.org
111
บทปฏิบัติการ อาหารไทยประเภทผัดและทอด
112
113
บทปฏิบัติการครั้งที่ 1 หอยลายผัดฉา ผัดกะเพราไก ปลากะพงผัดผงกะหรี่ วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวัตถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
114 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : หอยลายผัดฉา
ประเภท : ผัดเผ็ด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 10 กรัม 5 กรัม 10 กรัม 30 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 50 กรัม 400 กรัม 30 กรัม 2 กรัม 40 กรัม 30 กรัม 15 กรัม
กระเทียม รากผักชี พริกขี้หนูแดงสดซอย น้ํามันพืช น้ําปลา น้ําตาลทราย น้ําเปลา หอยลาย กระชายหั่นเสน ใบมะกรูดฉีก พริกไทยออนหั่นทอนสั้น ๆ ใบโหระพา พริกชี้ฟาแดง หั่นเฉียง บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. โขลกกระเทียม รากผักชี พริก ใหละเอียด 2. นําน้ํามันพืชใสกระทะตั้งไฟใหรอน ใสเครื่องที่โขลก ลงผัดจนหอม 3. นําหอยลายลงผัด พอหอยเริ่มเปลือกอา เติม น้ําปลา น้ําตาลทราย และน้ําเปลา ชิมรสตามชอบ 4. ใสกระชาย ใบมะกรูด พริกไทยออน ใบโหระพา และพริกชี้ฟาหั่นเฉียง ดับไฟ ผัดจนเขากัน ตักใสจาน เสิรฟ อาจตกแตงดวยยอดใบโหระพา และพริกชี้ฟา หั่นเฉียง
วัสดุ / อุปกรณ
115 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดกะเพราไก
ประเภท : ผัดเผ็ด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 8 กรัม 10 กรัม 20 กรัม 300กรัม 4 กรัม 8 กรัม 8 กรัม 10 กรัม 50 กรัม 20 กรัม 1 เม็ด
พริกขี้หนูแดง กระเทียมหั่นหยาบ ๆ น้ํามันพืช ไกสับหยาบ น้ําปลา ซอสปรุงรส น้ําตาลทราย น้ํามันหอย น้ําเปลา/น้ําซุป ใบกะเพรา พริกชี้ฟาแดงหั่นเฉียง บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. โขลกพริกขี้หนูกบั กระเทียมหยาบ ๆ 2. ตั้งน้ํามันใหรอน ใสเครื่องที่โขลกลงผัดใหหอม ใสไกสับ ลงไป ปรุงรสดวยน้ําปลา ซอสปรุงรส และน้ําตาลทราย น้ํามันหอย น้ําซุป ผัดใหสุก ชิมรสเค็มนําหวาน ดับไฟ ใส ใบกะเพรา ผัดพอเขากัน ตักใสจาน ตกแตงดวยพริกชี้ฟา และยอดใบกระเพรา
วัสดุ / อุปกรณ
116 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ปลากะพงผัดผงกะหรี่
สวนผสม (Ingredients) ปลากะพงขาวแลเอาแตเนื้อ แปงขาวโพด น้ํามันพืชสําหรับทอด พริกขี้หนูแดงเม็ดใหญซอยหยาบ กระเทียมหั่นหยาบ ผงกะหรี่ น้ําตาลทราย น้ําปลา ซีอิ้วขาว ขึ้นฉายหั่นทอนยาว 1 ½ นิ้ว หอมใหญหั่นเสี้ยวตามยาวบาง ๆ ตนหอมหั่นทอนยาว 1 ½ นิ้ว พริกชี้ฟาแดงหั่นเฉียง น้ําเปลา บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัด/ทอด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 400 กรัม 50 กรัม 10 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 10 กรัม 20 กรัม 4 ชอนชา 50 กรัม 20 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 50 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. หั่นปลาเปนชิ้นหนาประมาณ 1 cm. นําไปคลุกกับแปง ขาวโพดใหทั่วนําไปทอดในน้ํามันทวม พอสุกเหลืองตักขึ้นพัก ไว 2. โขลกกระเทียมกับพริกชี้หนูพอหยาบ ๆ 3. นําสวนผสมขอ 2 ลงผัดใหหอม ใสหอมใหญ ปรุงรสดวย น้ําตาลทราย น้ําปลา ซีอิ้วขาว เติมน้ําเล็กนอยชิมรส ใสผง กะหรี่ ใสปลา ตนหอม และขึ้นฉาย ผัดใหเขากัน ตักขึ้นใส จานเสิรฟ ตกแตงดวยพริกชี้ฟาแดง
วัสดุ / อุปกรณ
117
บทปฏิบัติการครั้งที่ 2 ทอดมันปลากราย ปลานิลทอด ลาบทอด วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวัตถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
118 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ทอดมันปลากราย
ประเภท : ทอดแบบ deep-fry
สวนผสม (Ingredients) เนื้อปลากรายขูด ถั่วฝกยาวซอย น้ําพริกแกงเผ็ด ไขไก ใบมะกรูดซอยฝอย น้ําตาลทราย น้ํามันสําหรับทอด สวนผสมน้ําจิ้ม พริกแดงโขลก เกลือปน น้ําตาลทราย น้ําสมสายชู ถั่วลิสงปน แตงกวา ผักชีเด็ดเปนใบ ๆ ใบโหระพา
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 500 กรัม 100 กรัม 80 กรัม 1 ฟอง 5 ใบ 10 กรัม
10 กรัม 4 กรัม 115 กรัม 250 กรัม 20 กรัม 30 กรัม 5 กรัม 30 กรัม บันทึก : ชิมน้ําพริกแกงกอน ถาไมเค็มเติมเกลือปน ½ ชอนชา
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 3 ที่ วิธีทํา (Method of Work) 1. ผสมเนื้อปลากราย น้ําตาลทราย น้ําพริกแกง และไขไก เขาดวยกันคนใหเขากัน ใชมือนวดใหเหนียว 2. ใสถั่วฝกยาว ใบมะกรูดลงไปนวดตอจนเหนียว 3. ปนสวนผสมเปนกอนกลม ๆ แลวกดใหแบนพอประมาณ ทอดในน้ํามันทวมไฟออน พอสุกพักใหสะเด็ดน้ํามัน จัด เสิรฟคูกับน้ําจิ้ม และใบโหระพาทอดกรอบ น้ําจิ้ม ผสมน้ําสมสายชู น้ําตาลทราย เกลือ นําไปตั้งไฟ เคี่ยวใหเหนียวขน ใสพริกแดงโขลก ถั่วลิสงคั่วปน คนใหเขา กันยกลง เวลาเสิรฟใสแตงกวาหั่นบาง ๆ วิธีทอดใบโหระพา ลางใบโหระพาใหสะอาด เด็ดเอาแตใบ ผึ่งใหแหง นํา ลงทอดในน้ํามันรอน ๆ รอใหสุกใสตักขึ้น พักใหสะเด็ดน้ํามัน (ทอดครั้งละนอย ๆ)
วัสดุ / อุปกรณ
119 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ปลานิลทอด
ประเภท : ทอดแบบ deep-fry
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 2 ตัว 50 กรัม 2 กรัม 2 กรัม
ปลานิล แปงสาลีอเนกประสงค พริกไทยปน เกลือปน น้ํามันสําหรับทอด
บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ขอดเกล็ดปลา ควักไส ตัดหัว หางและครีบ ออกใหเหลือ ครึ่งหนึ่ง 2. ลางใหสะอาด บั้งประมาณ 3 บั้ง แลวผึ่งใหหมาด 3. นําแปงสาลี พริกไทย และเกลือปน ผสมใหเขากัน 4. นําปลาคลุกในสวนผสมของแปงใหทั่ว แลวนําทอดใน น้ํามันรอนจนกระทั่งเหลือง จึงกลับปลาอีกดานหนึ่ง 5. จัดเสิรฟคูกับน้ําจิ้มหรือซอสมะเขือเทศ วัสดุ / อุปกรณ
120 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ลาบทอด
ประเภท : ทอด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight)
เครื่องโขลก ตะไครซอยคั่วพอหอม ขาหั่นแวนคั่ว กระเทียมคั่ว หอมแดงคั่ว เครื่องปรุง หมูสับ น้ําปลา น้ํามะนาว พริกปน ขาวคั่วปน แปงขาวโพด น้ํามันพืชสําหรับทอด หอมแดงซอยตามยาว ใบสะระแหน ผักชีฝรั่งหั่นหยาบ ถั่วฝกยาว กะหล่ําปลี ตนหอม
10 กรัม 4 กรัม 4 กรัม 4 กรัม 300 กรัม 30 กรัม 30 กรัม 15 กรัม 10 กรัม 30 กรัม
20 กรัม 10 กรัม 10 กรัม 50 กรัม 200 กรัม 30 กรัม บันทึก : ถาใสขาวคั่วมากเวลาทอดจะทําใหแตกออกจากกัน ถาใสมะนาวลงในเนื้อหมูโดยตรงเนื้อหมูจะไมเกาะกัน อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. โขลกสวนผสมเครื่องโขลกใหละเอียด 2. ผสมหมูสับ เครื่องที่โขลก พริกปน ขาวคั่ว น้ําปลากับน้ํา มะนาว(ที่ผสมไวแลว) ใสแปงขาวโพด คลุกเคลาใหเขากัน ปนเปนกอนกลม หรือบี้ใหแบนเล็กนอย คลายทอดมัน 3. นําไปทอดในน้ํามันทวม ใชไฟกลาง ทอดจนสุกเหลือง ตัก ขึ้น จัดเสิรฟโรยดวยหอมแดงซอย ผักชีฝรั่ง ใบสะระแหน เสิรฟคูกับ ถั่วฝกยาว ตนหอม และกะหล่ําปลี
วัสดุ / อุปกรณ
121
บทปฏิบัติการครั้งที่ 3 กวยเตีย๋ วผัดไทย ผัดซีอิ้ว กวยเตีย๋ วคั่วไก วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวัตถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
122 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : กวยเตี๋ยวผัดไทย
ประเภท : ผัด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight)
น้ําซอสผัดไทย น้ําตาลปบ น้ําปลา น้ํามะขามเปยกขน ๆ พริกปน เครื่องปรุง เสนจันทรแหงแชน้ํา ถั่วงอกเด็ดหาง กุงกุลาดํา เตาหูเหลืองหั่นชิ้นเล็ก ๆ ใบกุยชายหั่น 1 นิ้ว ไชโปหวานสับ ถั่วลิสงคั่วปน กุงแหง ไขไก หอมแดงสับละเอียด น้ํามันพืช น้ําเปลา หัวปลี มะนาว
60 กรัม 40 กรัม 45 กรัม 6 กรัม
130 กรัม 160 กรัม 250 กรัม 80 กรัม 20 กรัม 30 กรัม 30 กรัม 20 กรัม 2 ฟอง 10 กรัม 60 กรัม 120 กรัม 50 กรัม 1 ผล บันทึก : ถาผัดเสนยังไมนิ่มอยาราดซอสเพราะเสนจะแข็ง
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. แชเสนจันทรในน้ําประมาณ 15 นาที (พอนิ่ม) 2. กุงลางใหสะอาด แกะเปลือก ผาหลังเอาเสนดําออก 3. นําสวนผสมซอสทั้งหมดเทใสหมอเคี่ยวจนเขากัน พอ เดือดใสกุงสด พอกุงสุกตักกุงขึ้น เคี่ยวน้ําซอสตอใหขน พักไว 4. ใสน้ํามันพืชครึ่งหนึ่งในกระทะทอดเตาหูพอสุก ใส หอมแดงสับและไชโปสับ ผัดจนหอม 6. ใสเสนจันทรที่แชน้ําลงในกระทะ คอย ๆ พรมน้ํา(อยา เทครั้งเดียวหมดเสนจะกอดกันเปนกอน) ผัดจนเสนนิ่ม (ถาเสนไมนิ่มหามราดน้ําซอสเด็ดขาด) ราดซอสบนเสนผัด ใหเขากัน กันเสนไปดานใดดานหนึ่งของกระทะใสน้ํามัน เล็กนอยตอยไขไกยีพอสุกผัดใหเขากับเสน ใสถั่วลิสง กุง แหง ผัดใหเขากัน ใสถั่วงอก ใบกุยชาย ผัดใหเขากัน 7. ตักใสจานเสิรฟกับถั่วงอก ใบกุยชายและหัวปลี มะนาวฝาน
วัสดุ / อุปกรณ
123 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดซีอิ้ว
สวนผสม (Ingredients) กวยเตี๋ยวเสนใหญ เนื้อหมูหั่นขวางเสนใย ผักคะนาตนใหญ ซีอิ้วดํา ซีอิ้วขาว น้ําปลา น้ําตาลทราย น้ํามันพืช กระเทียมสับละเอียด พริกไทยปน ไขไก
บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัด (แปง)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 300 กรัม 120 กรัม 160 กรัม 5 กรัม 6 กรัม 20 กรัม 12 กรัม 40 กรัม 10 กรัม 1/8 ชอนชา 2 ฟอง
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. หั่นคะนายาว ประมาณ 1 ½ นิ่ว แยกสวนใบ กับสวนกาน ลวกในน้ําเดือด+เกลือ จนสีเขม (สุก ประมาณ 40 %) นําขึ้นแชน้ําเย็น พักใหสะเด็ด น้ํา 2. ยีเสนใหญอยาใหซอนกันและอยาใหขาด นํา ซีอิ้วดํามาคลุกใหทั่ว 3. ผสมน้ําตาล น้ําปลา ซีอิ้วขาว ใหเขากันพักไว 4. น้ํากระทะตั้งไฟกลางเทน้ํามันใส ½ หนึ่ง ใส กระเทียมเจียวใหหอม นําเนื้อหมูลงผัดใหสุก ใส เสนลงผัดพยายามอยาใหเสนขาด 5. นําผักที่ลวกไวใส กันสวนผสมไวขางกระทะ เท น้ํามันที่เหลือใส ตอยไขใส ยีใหไขใหกระจาย ใส เครื่องปรึงที่ผสมไวผัดใหทั่ว พอไขสุกตัดใสจาน เสิรฟ โรยพริกไทยปน 6. อาจเสิรฟคูกับพริกปน พริกชี้ฟาดองน้ําสม วัสดุ / อุปกรณ
124 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : กวยเตี๋ยวคั่วไก
สวนผสม (Ingredients) เสนใหญ อกไกหั่นชิ้นขาวงเสนใย ไขไก ไชโปหวานสับ น้ํามันพืช ซอสปรุงรส ซีอิ้วดํา น้ําปลา น้ําตาลทราย กระเทียมสับละเอียด ตนหอมหั่นยาว ½ cm. ผักกาดหอม พริกไทยปน ซอสมะเขือเทศ บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัด (แปง)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 340 กรัม 120 กรัม 2 ฟอง 20 กรัม 50 กรัม 15 กรัม 4 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 5 กรัม 2 กรัม 50 กรัม 1 กรัม 30 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ผสมน้ําตาลทราย น้ําปลา ซีอิ้วดํา ซอสปรุงรส ใหเขากัน 2. นําน้ํามันประมาณ 25 กรัม ใสกระทะ ใส กระเทียมลงเจียวใหหอม ใสไกลงผัดจนสุก ใสไช โปสับ ผัดใหหอม ใสเสนลงผัดใชไฟออน (พยายามอยาใหเสนขาด) ใสเครื่องปรุงที่ผสมไว ผัดใหเขากัน 3. กันเสนไวขางกระทะ ใสน้ํามันที่เหลือใหหมด ใสไขตีใหไขกระจาย พอไขเกือบสุกตักเสนมาวาง ทับคนใหไขกระจายทั่วเสน ผัดจนหอม ตักใสจาน ที่วางรองดวยผักกาดหอม โรยตนหอม พริกไทย เสิรฟคูกับซอสพริก
วัสดุ / อุปกรณ
125
บทปฏิบัติการครั้งที่ 4 หมี่กรอบ ไกผัดเมล็ดมะมวงหิมพานต ผัดเปรี้ยวหวาน
วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวัตถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
126 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : หมี่ กรอบ
ประเภท : ผัด/ทอด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight)
น้ําซอส เตาเจี้ยว น้ําตาลปบ น้ํามะขามเปยกขน ๆ ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ํากระเทียมดอง น้ําสมซา เครื่องปรุง เสนหมี่ เนื้ออกไกหั่นลูกเตา กุงกุลาดําหั่นเตา เตาหูเหลืองหั่นแทงบางๆ หอมแดงสับละเอียด กระเทียมสับละเอียด ผิวสมซาซอยบางๆ สั้นๆ เนื้อกระเทียมดองหั่นแวน พริกชี้ฟาแดงหั่นเสน ถั่วงอกเด็ดหาง ใบกุยชายหั่นทอน 1 นิ้ว น้ํามันพืช
20 กรัม 150 กรัม 10 กรัม 30 กรัม 20 กรัม 15 กรัม 30 กรัม 100 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 5 กรัม 5 กรัม 10 กรัม 15 กรัม 5 กรัม 30 กรัม 15 กรัม สําหรับตกแตง สําหรับทอดเสนหมี่
บันทึก : อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 3 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. นําสวนผสมน้ําซอสรวมกันในหมอ นําไปตั้งไฟ เคี่ยวใหขน ๆ ยกลง 2. นําเสนหมี่ผานน้ํา (อยาแชน้ําเด็ดขาด) แยกเสนออกใหบาง ๆ ผึ่งลมใหหมาดเกือบแหง 3. เทน้ํามันใสกระทะครึ่งกระทะ ตั้งไฟใหน้ํามันรอนจัด แยกเสน หมี่ใหกระจายแตอยาใหเสนขาดจากกัน ใสเสนลงในกระทะ พอ เสนฟูตักขึ้นซับนํามันไว 4. ทอดไก เนื้อกุง และเตาหูใหสุกเหลือง ตักขึ้นซับน้ํามันเอาไว 5. ใสน้ํามันพืชในกระทะประมาณ 1 ชอนโตะพอรอนใสหอมสับ กระเทียมสับลงผัดใหหอม ลดไฟออน ใสน้ําซอสเอาเสนหมี่ที่ทอด ไวลงคลุกเคลาใหเขากับน้ําซอส ตามดวยไกทอด กุงทอดและเตาหู ทอด ดับไฟ ใสกระเทียมดอง ผิวสมซา พริกชี้ฟาหั่นเสน เคลาเบา ๆ 6. ตักเสิรฟ โรยดวยพริกชี้ฟาหั่นเสนเล็กนอย ตกแตงขางจานดวย ถั่วงอก ตนกุยชาย
วัสดุ / อุปกรณ
127 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ไกผัดเม็ดมะมวงหิมพานต
สวนผสม (Ingredients) เนื้ออกไกหั่นลูกเตา ½ X ½ นิ้ว แปงขาวโพด กระเทียมสับละเอียด เม็ดมะมวงหิมพานตอบสุก พริกชี้ฟาแหงทอดหั่น 1 นิ้วเอาเมล็ดออก หอมใหญหั่นสี่เหลี่ยม 2X2 cm. ตนหอมหั่นทอน 1 นิ้ว น้ําปลา น้ําตาลทราย ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ พริกไทยปน น้ํามันพืชสําหรับทอดและผัด บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัดจืด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 200 กรัม 35 กรัม 8 กรัม 100 กรัม 4 กรัม 100 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 10 กรัม 55 กรัม 15 กรัม 2 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. นําไกลงคลุกกับแปงขาวโพดใหทั่ว นําไปทอดใหสุก เหลือง ตักขึ้นพักไว 2. ทอดพริกชี้ฟาแหง เม็ดมะมวงหิมพานตใหเหลือง พักไว 3. ผัดกระเทียมกับน้ํามันใหหอม ใสหอมใหญลงผัดให สุก ปรุงรสดวย น้ําปลา น้ําตาลทราย ซอสพริก ซอส มะเขือเทศ และพริกไทย ผัดใหเขากัน 4. ใสไก เม็ดมะมวงหิมพานตลงไปผัดใหเขากัน ใส พริกทอด ดับไฟใสตนหอมเคลาใหทั่ว ตักเสิรฟ
วัสดุ / อุปกรณ
128 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดปรี้ยวหวาน
ประเภท : ผัดจืด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight ) 20 กรัม 10 กรัม 200 กรัม 50 กรัม 20 กรัม 40 กรัม 80 กรัม 20 กรัม 50 กรัม 30 กรัม 10 กรัม 10 กรัม 6 กรัม 5 กรัม เล็กนอยใชละลายแปง 2 กรัม
น้ํามันพืช กระเทียมสับละเอียด หมูสันในหั่นบาง ๆ ขวางเสนใย หอมใหญหั่นเสี้ยวตามยาว เห็ดหอมแชน้ําตัดโคนผาครึ่ง แตงกวาหั่นสี่เหลี่ยมไมเอาเมล็ด สับปะรดหั่นหนาประมาณ 1 cm. พริกหยวกหั่นเฉียงไมเอาเมล็ด มะเขือเทศทอหั่นเสี้ยวไมเอาไส ซอสมะเขือเทศ น้ําปลา น้ําตาลทราย น้ําสมสายชู แปงมันสําปะหลัง น้ําเปลา ผักชีเด็ดเปนใบ ๆ บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ตั้งกระทะ เจียวกระเทียมใหหอม ใสหอมใหญ 2. ใสเนื้อหมู ผัดจนสุก ใสเห็ดหอม ปรุงรสดวย ซอส มะเขือเทศ น้ําปลา น้ําตาลทราย และน้ําสมสายชู ชิมรส (เพิ่มเครื่องปรุงรสได) ใหไดรสเปรี้ยวเค็มหวาน ถาแหงเติม น้ําเล็กนอย ผัดจนสุก ใสแตงกวา สับปะรด พริกหยวก มะเขือเทศทอ ผัดใหเขากัน 3. ละลายแปงมันกับน้ําเล็กนอยใสในกระทะ ผัดให สวนผสมเขากันและแปงสุก ตักใสจาน ตกแตงดวยผักชี
วัสดุ / อุปกรณ
129
บทปฏิบัติการครั้งที่ 5 ขาวผัด หมี่กะทิ ปกไกสอดไสน้ําแดง
วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวัตถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
130 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ขาวผัด
ประเภท : ผัด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 8 กรัม 20 กรัม 60 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 200 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 10 กรัม ½ ผล 15 กรัม
กระเทียมสับ น้ํามันพืช เนื้ออกไกหั่นลูกเตา 1X1 cm. สับปะรดหั่นลูกเตา 1X1 cm. มะเขือเทศทอหั่นลูกเตาไมเอาไส ถั่วฝกยาวลวกหั่นทอนยาว ½ cm. ขาวสุก น้ําปลา น้ําตาลทราย แตงกวาหั่นแวนเฉียงหนา ½ cm. มะนาว ตนหอม พริกน้ําปลา น้ําปลา พริกขี้หนูสดซอย บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ตั้งกระทะใหรอน ใสน้ํามันพืช เจียวกระเทียมจนเหลือง 2. ใสไก เติมน้ําปลา น้ําตาลทราย ผัดใหสุก 3. ใสขาว ถั่วฝกยาว สับปะรด มะเขือเทศลงผัดใหเขากัน (อยาใหมะเขือเทศเละ) ตักใสจาน เสิรฟคูกับแตงกวา ตนหอม มะนาวฝานและพริกน้ําปลา
10 กรัม 10 กรัม วัสดุ / อุปกรณ
131 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : หมี่กะทิ
ประเภท : ผัด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 1 หอ (200 กรัม) 150 ml. 100 กรัม 70 กรัม 20 กรัม 50 กรัม 20 กรัม 15 กรัม 70 กรัม 70 กรัม 2 ฟอง 10 กรัม
เสนหมี่แหง กะทิ เนื้ออกไกหั่นเตา 1X1 cm. เตาหูเหลืองหั่นสี่เหลี่ยมผืนผาเล็ก ๆ ใบกุยชายหั่นยาว 1 นิ้ว ถั่วงอก น้ําตาลทราย น้ําปลา ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ไขไก น้ํามันพืช บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. นําเสนหมี่แชน้ําจนนิ่ม 2. ทอดเตาหู และไกพอสุกเหลือง ตักขึ้นพักไว 3. ไขไกทอดใหเปนแผนบาง แลวหั่นเปนเสนยาวหนา ประมาณ 1 ซม. 4. นํากระทะตั้งไฟ ใสกะทิ น้ําตาลทราย น้ําปลา ซอส มะเขือเทศ และซอสพริกผสมใหเขากัน ชิมรสตามชอบ นําเสนหมี่ที่แชน้ําไวลงผัดกับน้ําซอสจนเสนนิ่ม ผัดจน สวนผสมเกือบแหง ใสไกและเตาหูที่ทอดไว ใสใบกุยชาย ถั่วงอก ผัดใหเขากัน ยกลง 5. ตักใสจานโรยหนาดวยไขที่หั่นไว เสิรฟคูกับถั่วงอกดิบ ตนกุยชาย พริกปน และน้ําตาลทราย วัสดุ / อุปกรณ
132 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ปกไกสอดไสน้ําแดง
ประเภท : ทอด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight)
ปกไก ปกไก(ทั้งปก) หมูสับ น้ําปลา น้ําตาลทราย ดายขาว +เข็มหรือไมจิ้มฟน น้ําแดง ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ําตาลทราย น้ํามันหอย เกลือ น้ําเปลา อื่น ๆ ผักบุงไทย(ขาว) น้ํามันพืชสําหรับทอด บันทึก :
5 ปก (1/2 ก.ก. ) 200 กรัม 8 กรัม 8 กรัม
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
60 กรัม 60 กรัม 60 กรัม 60 กรัม 2 กรัม 130 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ผสมหมูสับ น้ําปลา น้ําตาลทราย เคลาใหเขากัน 2. ปกไกถอดกระดูกออก(เฉพาะโคนปกบน) โดยหักบริเวณขอ แลวรูดกระดูกออก 3. นําสวนผสมขอ 1 บรรจุใสในปกไก แลวเย็บปดใหสนิท นําไปทอดพอเหลือง นําขึ้นพักใหสะเด็ดน้ํามัน 4. นําปกไกที่ทอดแลวใสหมอ ใสซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ําตาลทราย เกลือ น้ํามันหอย น้ําเปลา ตั้งไฟออนเคี่ยวใหงวด (ใหน้ําระเหยไป 1 ใน 3) 5. ลวกผักบุง หั่นเปนทอนยาวประมาณ 3 นิ้ว จัดเสิรฟโดย วางเรียงผักบุงในจาน ตักปกไกวาง ราดน้ําแดง
100 กรัม วัสดุ / อุปกรณ
133
บทปฏิบัติการครั้งที่ 6 กุงชุบแปงทอด (เทมปุระ) หมูชุบแปงทอด (ทงคัสสึ) ผัดเนื้อน้ํามันหอย
วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวัตถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
134 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : กุงชุบแปงทอด(เทปุระ)
สวนผสม (Ingredients) กุงกุลาดําตัวใหญ แปงสาลีเอนกประสงค แปงชุบทอดโลโบเทมปุระ หอมใหญหั่นแวนหนา ½ cm. หนอไมฝรั่งหั่นทอนยาว 3 นิ้ว ขาวโพดออนผาครึ่งฝก แครอทหั่นแทงยาว 3 นิ้ว น้ําเย็นจัด โชยุ น้ํามันพืชสําหรับทอด
บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ทอด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 400 กรัม 100 กรัม 300 กรัม 20 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 50 กรัม 1 L.
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ลางกุง แกะเปลือกและหัวออก ไวหางดึงสวนที่แข็งของ หางออก ใชไมสะกิดเสนดําออก ลางน้ํา บั้งทองกุงตาม ขวาง แลวกดใหกุงยืดตัวตรง คลุกแปงสาลีเอนกประสงคพอ ทั่ว 2. ลางผักใหสะอาด แลวหั่นตามที่ระบุไว ผึ่งใหแหง 3. ละลายแปงชุบทอดโลโบกับน้ําเย็น ใหขนประมาณ นมขนหวาน 4. ตั้งน้ํามันใหรอน (ใชน้ํามันทวมอาหาร) ใชไฟกลาง นํากุงมาชุบแปงแลวทอด โดยนําดานหลังกุงลงน้ํามัน กุงจะ ตัวงอไมมาก ใชมือจุมแปงชุบทอดเล็กนอยแลวสะบัดลงบน ตัวกุงหรือใชตะเกียบจุมแปงชุบทอดแลวแตะ ๆ ลงบนกุงก็ได ทําจนกระทั่งแปงเกาะกุงฟู ทอดจนแปงเปนสีเหลืองนวล ตักขึ้น พักใหสะเด็ดน้ํามัน 5. นําผักมาชุบแปงชุบทอด นําลงทอดจนแปงเปนสี เหลืองนวลตักขึ้นพักใหสะเด็ดน้ํามัน (ทอดผักไมตองทําให แปงฟูเหมือนกุง) 6. จัดกุงและผักใสจาน โดยจัดวางอาหารลักษณะคลาย ภูเขาไฟฟูจิ เสิรฟคูกับโชยุ วัสดุ / อุปกรณ ตะเกียบสําหรับทอด กลุมละ 1 คู
135 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : หมูชุบแปงทอด (ทงคัสสึ)
ประเภท : ทอด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight)
เนื้อหมูสันนอกหั่นหนา 1 cm. (หั่นชิ้นใหญเหมือนทําสเต็ก) เกลือปน พริกไทยปน กะหล่ําปลีหั่นฝอยเหมือนสลัด ไขไกทั้งฟอง เกล็ดขนมปง แปงสาลีเอนกประสงค น้ํามันพืชสําหรับทอด มายองเนส ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ มะเขือเทศทอหั่นแวน บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
400 กรัม 2 กรัม 2 กรัม 50 กรัม 1 ฟอง 100 กรัม 50 กรัม 50 50 50 50
กรัม กรัม กรัม กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ลางเนื้อหมูใหสะอาด ซับใหแหง เคลากับเกลือและ พริกไทยทั้ง 2 ดาน หมักไว 10 นาที 2. ลางกะหล่ําปลีแลวซอยเปนเสนฝอย ๆ ใสตูเย็นไว 3. นําน้ํามันใสกระทะตั้งไฟใหทวมอาหาร ใชไฟออน 4. ตีไขแดงและไขขาวใหเขากัน นําหมูที่หมักไวคลุกแปง สาลีใหทั่ว นําไปชุบไข แลวคลุกเกล็ดขนมปงพอทั่ว ทอดให สุกเหลือง ตักขึ้นใหสะเด็ดน้ํามัน พอเย็นหั่นเปนชิ้นหนา ประมาณ ½ cm. เรียงใหเนื้อหมูอยูในลักษณะเดิม 5. เสิรฟโดยวางเนื้อหมูดานใดดานหนึ่งของจาน วาง กะหล่ําปลีขางจาน มะเขือเทศทอทับดานขางกองกะหล่ําปลี มายองเนสราดบนหมูใหสวยงาม ซอสพริกกับซอสมะเขือ เทศใสถวยรวมกันโดยตักวางไวอยางละดานของถวยน้ําจิ้ม วัสดุ / อุปกรณ
136 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดเนื้อน้ํามันหอย
สวนผสม (Ingredients) คะนาตนเล็ก เนื้อหมูสันใน น้ํามันพืช กระเทียมสับละเอียด น้ํามันหอย น้ําตาลทราย ซอสปรุงรส น้ําเปลา บันทึก :
ประเภท : ผัดจืด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 150 กรัม 300 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 30 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 50 กรัม
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. เนื้อหมูหั่นชิ้นบาง ๆ ขวางเสนใย 2. ลวกผักคะนาในน้ําที่ใสเกลือและน้ํามันพืชเล็กนอย ทั้งตนใหสุก กรอบ แลวหั่นเปนทอนยาว 3 นิ้ว 3. ตั้งน้ํามันพืชผัดกระเทียมใหหอม นําเนื้อลงผัด ใสน้ํามันหอย ปรุง รสดวยน้ําตาลทราย ซอสปรุงรส เติมน้ําเล็กนอย ตักเสิรฟคูกับคะนา ลวก
วัสดุ / อุปกรณ
137
บทปฏิบัติการครั้งที่ 7 ผัดพริกขิง ปลาราดพริกสามรส ผัดขิง
วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวัตถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
138 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดพริกขิง
ประเภท : ผัดเผ็ด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 20 กรัม 30 กรัม 200 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 150 กรัม 50 กรัม 2 กรัม
น้ํามันพืช น้ําพริกแกงเผ็ด(แดง) เนื้อหมูหรือไกหั่นบาง ๆ น้ําตาลปบ น้ําปลา ถั่วฝกยาวหั่นทอนยาว 1 ½ นิ้วลวก น้ําเปลา ใบมะกรูดหั่นฝอย บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ผัดพริกแกงกับน้ํามันพืชจนหอม ใสเนื้อหมูหรือไกลง ผัด ปรุงรสดวยน้ําตาลปบ น้ําปลา ชิมรสใหกลมกลอม เติมน้ําเล็กนอยถาแหง 2. ดับไฟนําถั่วฝกยาวลวกลงเคลาใหทั่ว ตักใสจานเสิรฟ โรยดวยใยมะกรูดหั่นฝอย
วัสดุ / อุปกรณ
139 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ปลาราดพริกสามรส
สวนผสม (Ingredients) เนื้อปลากะพงขาว แปงขาวโพด พริกชี้ฟาแดงหั่นหยาบ พริกขี้หนูแดงหั่นหยาบ หอมแดงสับหยาบ กระเทียมสับหยาบ รากผักชีหั่น เกลือปน น้ําตาลทราย น้ํามะขามเปยกขน ๆ น้ําเปลา น้ํามันพืชสําหรับทอดและผัด พริกชี้ฟาแดงหั่นเสน ยอดผักชี บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัดเผ็ด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 400 กรัม 40 กรัม 30 กรัม 10 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 8 กรัม 3 กรัม 50 กรัม 35 กรัม 50 กรัม ½ ขวด 2 กรัม 1-2 ยอด
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. โขลกพริกชี้ฟา พริกขี้หนู กระเทียม หอมแดง และรากผักชีใหละเอียด 2. เนื้อปลาหั่นเปนชิ้นประมาณ 20 กรัม คลุกกับ แปงขาวโพด 3. ตั้งกระทะใสน้ํามัน พอรอนนําปลาลงทอดใชไฟ กลาง พอปลาสุกเหลืองออนตักขึ้นซับน้ํามัน ตักใส จาน 4. ตั้งกระทะใสน้ํามันประมาณ 2 ชอนโตะพอรอน นําพริกที่โขลกไวลงผัดใหหอม ปรุงรสดวยน้ําตาล ทราย เกลือ น้ํามะขามเปยก ใสน้ําซุป/น้ําเปลา เคี่ยวพอขนเล็กนอย นํามาราดบนปลาที่ทอดไว ตกแตงดวยพริกชี้ฟาหั่นเสน ยอดผักชี
วัสดุ / อุปกรณ
140 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ผัดขิง
สวนผสม (Ingredients) เนื้ออกไกหั่นขวางเสนใย เห็ดหูหนูสดหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมพอคํา ขิงซอยเสน หอมใหญหั่นเสี้ยวหนา ½ cm. ตนหอมหั่นทอน 1 นิ้ว เตาเจี้ยวเม็ด น้ําตาลทราย กระเทียมสับละเอียด น้ํามันพืช น้ําเปลา บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัดไมเผ็ด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 120 กรัม 120 กรัม 70 กรัม 50 กรัม 30 กรัม 35 กรัม 8 กรัม 7 กรัม 20 กรัม 40 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. นําน้ํามันใสกระทะ เจียวกระเทียมใหหอม ใส หอมใหญลงผัดจนเกือบสุก 2. ใสไกลงผัดใหสุก ใสเห็ดหูหนู เติมน้ํา ใส เตาเจี้ยว ปรุงรสดวยน้ําปลา น้ําตาลทราย ชิมรส ตามชอบ 3. ใสขิงผัดใหเขากัน ดับไฟใสตนหอมคนใหทั่ว ตักใสจาน
วัสดุ / อุปกรณ
141
บทปฏิบัติการครั้งที่ 8 ไกหอใบเตย ฉูฉี่ปลาทูทอด ปลาดุกผัดเผ็ด
วัตถุประสงค 1. นักศึกษาเลือกใชวัตถุดิบเพือ่ ทําอาหารไทยประเภทผัดและทอด ไดอยางถูกตอง 2. นักศึกษาผลิตและอธิบายเทคนิคการทําอาหารไทยประเภทผัดและทอดไดอยางถูกตอง
142 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ไกหอใบเตย
ประเภท : ทอด
สวนผสม (Ingredients)
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 600 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 30 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 5 กรัม 10 กรัม 30-35 ใบ
อกไก ซีอิ๊วขาว น้ํามันงา นมขนจืด น้ําตาลทราย เหลาจีน พริกไทยปน กระเทียม ใบเตย(ขนาดใหญ) น้ํามันสําหรับทอด น้ําจิ้ม น้ําตาลทราย น้ํา ซีอิ๊วดํา เกลือปน งาขาวคั่ว บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
จํานวนที่ได Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) วิธีทํา 1. โขลกกระเทียมใหละเอียด ใสเนื้อไกและสวนผสมทั้งหมด หมักไว 1 ชั่วโมง 2. หอไกดวยใบเตย ใหเปนรูปสามเหลี่ยม นําไปทอดในน้ํามัน รอนจัด ไฟกลางพอสุกตักขึ้นใสตะแกรงสะเด็ดน้ํามัน 3. สวนของน้ําจิ้ม ใหใสน้ําตาลทราย นําตั้งไฟใหเดือดยกลง พอเย็นใสซีอิ๊วดํา เกลือปน งาคั่ว บุบพอแตก ถาชอบรสเปรี้ยว จะใสน้ําสมนิดหนอยก็ได
4 ชอนโตะ 2 ชอนโตะ 2 ชอนโตะ 1 ชอนชา 2 ชอนโตะ วัสดุ / อุปกรณ
143 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ฉูฉี่ปลาทูทอด
สวนผสม (Ingredients) น้ําพริกแกงเผ็ด ปลาทูสด กะทิ น้ําปลา น้ําตาลทราย ใบมะกรูดหั่นฝอย พริกชี้ฟาแดงหั่นเสนฝอย
บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัดเผ็ด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 70 กรัม 500 กรัม 500 ml. 10 กรัม 20 กรัม 2 กรัม 2 กรัม
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ขอดเกล็ดปลาทู ดึงเหงือก ควักไสออกใหหมด ลางใหสะอาด ใชมีดบั้งดานละ 2 บั้งพักใหสะเด็ด น้ํา 2. ทอดปลาทูในน้ํามันทวม ไฟกลางจนกระทั่ง เหลือง ตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ํามัน 3. เคี่ยวกะทิใหแตกมัน (อยาเพิ่งใชกะทิหมด) นํา น้ําพริกลงผัดใหสีสวย เติมกะทิที่เหลือ (เก็บกะทิไว ประมาณ 20 กรัม สําหรับราดตกแตง) ปรุงรส นําปลาทูที่ทอดไวลงในกระทะ ตั้งไฟตอสักพัก ตัก ใสจาน ราดกะทิที่เหลือ โรยใบมะกรูด ตกแตง ดวยพริกชี้ฟาแดงหั่นเสนฝอย วัสดุ / อุปกรณ
144 โปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมอาหารและการบริการ คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รายการอาหาร : ปลาดุกผัดเผ็ด
สวนผสม (Ingredients) ปลาดุกสด พริกขี้หนูแดง พริกชี้ฟาแดง กระเทียมสับหยาบ ใบกะเพรา น้ําปลา น้ําตาลทราย น้ําเปลาหรือน้ําซุป เกลือ (สําหรับคลุกปลา) น้ํามันพืชสําหรับผัด น้ํามันพืชสําหรับทอด บันทึก :
อาจารยผูสอน : พรดารา เขตตทองคํา
ประเภท : ผัดเผ็ด
น้ําหนัก (กรัม) (Weight) 1 ตัว (300 กรัม) 15 กรัม 20 กรัม 10 กรัม 10 กรัม 10 กรัม 15 กรัม 50 ml. 2 กรัม 20 กรัม ½ ขวด
จํานวนที่ได (Portions) : 2 ที่
วิธีทํา (Method of Work) 1. ควักไสปลาดุก ลางใหสะอาด หั่นเปนแวน หนาประมาณ ½ นิ้ว นํามาคลุกเกลือ ผึ่งให สะเด็ดน้ํา นํามาทอดในน้ํามันจนกรอบ พักให สะเด็ดน้ํามัน 2. ลางกะเพราใหสะอาดเด็ดเปนใบ ๆ ผึ่งลมให แหง นํามาทอดในน้ํามันจนกรอบ พักไว 3. โขลกพริกขี้หนู พริกชี้ฟา กระเทียมให ละเอียด 4. ผัดเครื่องที่โขลกจนหอม ปรุงรสดวยน้ําปลา น้ําตาลทราย เติมน้ําเปลา ชิมรสใหออกหวานนํา เล็กนอย เคี่ยวพอขน นําปลาดุกที่ทอดไวลงคลุก ใหเขากัน ตักเสิรฟ โรยใบกะเพราทอดกรอบ วัสดุ / อุปกรณ
View more...
Comments